Winamp Logo
Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล) Cover
Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล) Profile

Luangpor Paisal Visalo‘s Podcast (ธรรมะ จาก หลวงพ่อไพศาล วิสาโล)

Thai, Religion, 1 season, 417 episodes, 1 day, 10 hours, 7 minutes
About
เสียงบรรยายธรรมของหลวงพ่อไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ
Episode Artwork

25670614pm--ยิ่งกดข่ม ใจยิ่งทุกข์

14 มิ.ย. 67 - ยิ่งกดข่ม ใจยิ่งทุกข์ : จะดีกว่าถ้าเกิดว่ามันมีความรู้สึกหรืออารมณ์ใดเกิดขึ้นก็แค่รับรู้มัน อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่าให้รู้ซื่อ ๆ คืออันนี้แหละที่เคยพูดว่านักปฏิบัติเราต้องเป็นผู้ใฝ่รู้ รู้ในที่นี้คือรู้แบบรู้ซื่อ ๆ รู้โดยไม่ตัดสินว่า ดีหรือชั่ว เพราะถ้าตัดสินว่ามันชั่วก็จะเผลอกดข่มมันเอาไว้ อย่างที่เกิดขึ้นกับ 2 ตัวอย่างหลัง แต่ถ้ารู้โดยที่ไม่ต้องไปตัดสินว่าดีหรือชั่ว ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ แค่รู้ซื่อ ๆ มันโกรธก็รู้ว่าโกรธ มันอิจฉาก็รู้ว่าอิจฉา มันอยากได้หรือมีจิตปฏิพัทธ์กับสามีของพี่สาวก็รู้ ทำตามมันก็ไม่ได้ เกิดข้อเสีย เกิดปัญหาตามมา แต่ถ้าไปกดข่มมันเอาไว้ก็มีปัญหา การรู้ซื่อ ๆ นี้มันช่วยได้เยอะทีเดียว   แล้วทุกวันนี้คนจำนวนมากมีความทุกข์เพราะกดข่มความคิดที่ไม่ดี ที่มันไม่ควรจะเกิดในใจของตัว อาจจะไม่ใช่โกรธ หรือว่ามีราคะ หรืออิจฉา แต่อาจจะรู้สึกไม่ดีที่มีเสียงจ้วงจาบครูบาอาจารย์ มีเสียงต่อว่าพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ หรือบางทีก็จ้วงจาบพระพุทธเจ้า พยายามกดข่มมันเอาไว้ ไม่สำเร็จสักราย แล้วก็ไม่มีความสุขด้วย จนกว่าจะยอมรับว่า มันมีความคิดแบบนี้ ไม่ปฏิเสธ ไม่ผลักไส แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรา   พอไปคิดว่ามันเป็นเราเมื่อไหร่ เสร็จเลย มันจะรู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ถ้ามองว่ามันไม่ใช่เรา มันเป็นเรื่องที่คิดขึ้นได้ ความคิดที่เลวร้าย หรือ ความคิดแบบอุบาทว์ มันไม่ใช่เรา ที่จริงถ้ามีสติรู้ซื่อ ๆ มันก็ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเป็นความคิดอุบาทว์ มันก็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วก็จะผ่านเลยไป 
9/17/202426 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25670613pm--ใฝ่รู้ อย่าใฝ่เสพ

13 มิ.ย. 67 - ใฝ่รู้ อย่าใฝ่เสพ : ถ้าสร้างนิสัยใฝ่รู้จะนําไปสู่นิสัยใฝ่ธรรม ถ้าเราใฝ่รู้ ขยันรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับกายและใจ ยิ่งรู้ก็ยิ่งสนุก ยิ่งเพลิดเพลิน และยิ่งเกิดฉันทะในการเพียร ในการทำ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะมีความฟุ้งซ่าน บางครั้งใจไม่สงบเลย แต่ถ้าใฝ่รู้แล้ว ไม่สงบก็รู้ว่าไม่สงบ ฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน นี่ถือว่าได้กําไร แต่ถ้าใฝ่เสพ ใฝ่เสพความสงบ พอฟุ้งซ่าน พอมีความคิดมาก ๆ หงุดหงิดหัวเสีย บางทีจะท้อ ไม่อยากปฏิบัติ ทำแล้วฟุ้งซ่าน ทำทีไรก็ฟุ้งซ่าน ความคิดเยอะเหลือเกิน แต่นักปฏิบัติที่ใฝ่รู้ ความฟุ้งซ่านก็ให้ความรู้กับเรา เพราะว่าดูจิตก็เห็นธรรม จิตที่ฟุ้งซ่านก็สอนธรรมให้กับเราได้เยอะแยะ เช่นเดียวกับร่างกายที่ป่วยก็สอนธรรมให้กับเราได้เหมือนกัน
9/16/202425 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670612pm--ในบวกมีลบ ในลบมีบวก

12 มิ.ย. 67 - ในบวกมีลบ ในลบมีบวก : อาจารย์พุทธทาสท่านก็บอกว่าความเจ็บป่วยมาเตือนให้ฉลาด ป่วยทุกครั้งก็ฉลาดทุกที เพราะว่าความเจ็บป่วยเขาสามารถสอนธรรมให้เราเห็นเรื่องความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ซึ่งถ้าเราเข้าใจก็พ้นทุกข์ได้ ในทุกข์นี่มีหนทางแห่งความพ้นทุกข์อยู่ เหมือนกับสวิตช์ไฟ สวิตช์ไฟจะใช้ปิดจนห้องมืดก็ได้ หรือจะเปิดเพื่อห้องสว่างก็ได้ หรือเหมือนกับประตู ประตูมันจะขังเราก็ได้ หรือประตูมันจะเปิดสำหรับเป็นอิสระก็ได้ รูกุญแจก็เหมือนกัน รูกุญแจนี่มันสามารถจะขังเรา แต่รูกุญแจรูเดียวกันก็สามารถจะเปิดให้เราพบอิสรภาพหรือออกจากทุกข์ได้   ฉะนั้นเวลาเจอทุกข์ อย่าจมอยู่กับความรู้สึกลบ เพราะว่าในทุกข์มันก็มีทางออกจากทุกข์ แม้กระทั่งสิ่งที่เราไม่ปรารถนา เช่น ความคิดฟุ้งซ่านในเวลาปฏิบัตินี่มีประโยชน์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านเทศน์ว่า มองกายเห็นจิต มองคิดเห็นธรรม คิดนี่หมายถึงความคิดฟุ้งซ่าน ถ้าเราดูดีๆ ก็เห็นธรรมจากความคิดฟุ้งซ่านได้ ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นโทษ ก่อความว้าวุ่นกับเรา อันนี้เรียกว่าในลบมีบวก ขณะเดียวกันเมื่อเราเจอบวก เราก็อย่าไปหลงกับมัน เพราะว่าในบวกมันก็มีลบแทรกอยู่เหมือนกัน 
9/15/202424 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25670609pm--เผชิญความป่วยไข้ด้วยใจที่ปล่อยวาง

9 มิ.ย. 67 - เผชิญความป่วยไข้ด้วยใจที่ปล่อยวาง 
9/14/20241 hour, 23 minutes, 43 seconds
Episode Artwork

25670604pm--ทำอะไรใจไม่ลืมเป้าหมาย

4 มิ.ย. 67 - ทำอะไรใจไม่ลืมเป้าหมาย : หลายคนอยากจะทำงานให้มันได้ดี ได้เร็ว ได้สะดวก ก็ต้องมีรถ มีรถเพื่ออะไร เพื่อจะได้ทำงานได้ดี ได้สะดวก แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นว่าทำงานเพื่อจะได้มีเงินผ่อนรถ มีเงินค่าน้ำมันรถ มีเงินค่าซ่อมรถ ดูแลรถ มันกลับกันเลยนะ แต่ก่อนนี่รถมีไว้เพื่อจะได้ทำงานสะดวก แต่ตอนหลังนี่กลับกลายเป็นว่าทำงานเพื่อจะได้มีเงินเอาไว้ผ่อนรถ สิ่งที่เคยเป็นเป้าหมาย มันกลับลดระดับกลายเป็นอุปกรณ์ไปแล้ว สิ่งที่เราคิดว่าเป็นอุปกรณ์ที่จะส่งเสริมเป้าหมาย มันกลับกลายเป็นเป้าหมายในตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วเป็นอย่างนี้กันเยอะเพราะว่าอะไร เพราะว่าเราไม่ค่อยได้ตั้งคำถาม ไม่ค่อยได้ตรวจสอบ ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ใคร่ครวญว่าเราทำไปเพื่ออะไร อันนี้เรียกว่าขาดสติก็ได้ ทำไปๆ มันลืม ลืมว่าเราทำไปเพื่ออะไร หลายคนสนใจภาวนา แล้วคิดว่าจะภาวนาได้มันต้องหาที่สงบๆ อาศัยสถานที่สงบเพื่อจะเกื้อกูลต่อการภาวนา   แต่ไปๆ มาๆ ไม่ใช่อาศัยความสงบเพื่อเป็นปัจจัยส่งเสริมการภาวนา กลับกลายเป็นว่าภาวนาเพื่อจะเอาความสงบ พอเจอความไม่สงบเข้าก็ไม่พอใจ รู้สึกอึดอัด คับแค้น ลืมไปว่าความสงบนี่ไม่ใช่เป้าหมายของการภาวนา เป็นสิ่งที่เสริมอำนวยให้การภาวนาก้าวหน้า   คนเราถ้าเราไม่ระวัง ไม่มีสติ สิ่งที่คิดว่าจะเป็นเป้าหมาย มันกลายเป็นเรื่องรองไปเสียแล้ว เหมือนกับที่เขาพูดว่าเรากินเพื่ออยู่ แต่ไปๆ มาๆ อยู่เพื่อกิน มันก็ไม่ต่างจากคนที่มีรถเพื่อจะได้ทำงานสะดวก แต่ไปๆ มาๆ กลับทำงานเพื่อจะได้มีเงินผ่อนรถ มีเงินค่าน้ำมันรถ ทำงานหนักเพื่อครอบครัว แต่ไปๆ มาๆ ทิ้งครอบครัวเพื่อจะได้ทำงานเยอะๆ อันนี้เพราะขาดสติ มันก็เลยเอาสิ่งที่เป็นมรรควิธีกลายเป็นเป้าหมาย สิ่งที่เป็นเป้าหมายก็กลายเป็นเรื่องรองไปเสีย   ฉะนั้นเวลาเราทำอะไร การมีสติหรือมีการใคร่ครวญ นี่สำคัญ ว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ บางทีเรามาบวชเพื่อปฏิบัติ ไปๆ มาๆ บวชเพื่อจะหาลาภสักการะ ลืมไปเลย การปฏิบัติเป็นเพียงแค่สิ่งที่เสริมภาพลักษณ์เพื่อให้มีลาภสักการะมากขึ้น แบบนี้ก็มีเยอะนะ อันนี้เป็นเพราะว่าเพลินกับความสะดวกสบาย เพลินกับความสุขที่ลาภสักการะนำมาให้ หรือไม่เช่นนั้นก็เพลินกับสิ่งที่กำลังทำ จนลืมไปว่าเราทำไปเพื่ออะไร ทำเพื่อครอบครัวหรือเปล่า หรือว่าทิ้งครอบครัวเพื่อจะได้ทำงานได้มากๆ 
9/11/202428 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670603pm--บำรุงใจเหมือนดูแลสวน

3 มิ.ย. 67 - บำรุงใจเหมือนดูแลสวน : จิตของเรา จะว่าไปก็ไม่ต่างจากสวนหรือไม่ต่างจากพื้นที่ที่สามารถจะปลูกต้นไม้นานาชนิดได้ การฝึกจิตถ้าเราคิดว่า จิตของเราบังคับบัญชาได้ สามารถจะบงการให้เป็นไปดั่งใจ ก็คงจะไม่ต่างจากการคิดแบบช่างไม้ แล้วถ้าเราทำกับจิตของเรา เหมือนกับช่างไม้ทำกับไม้ ก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะว่าจิตนี้บังคับไม่ได้ ไม่สามารถจะปรับแต่งให้เป็นไปดั่งใจได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การส่งเสริม ฝึกฝนให้จิตได้เจริญงอกงาม โดยสอดคล้องกับธรรมชาติของเขา ซึ่งใจหรือจิตเป็นอนัตตา ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้ จะให้จิตเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ใจเรา จิตบังคับไม่ได้ แต่ฝึกฝนได้ อำนวยส่งเสริมเกื้อกูลให้เป็นไปในทางที่ดีงาม นี่ทำได้   ก็ไม่ต่างจากคนที่ปลูกต้นไม้ ต้นทุเรียน ต้นมะม่วง เราจะบังคับให้เป็นต้น ให้ออกดอกแบบอื่น ออกผลแบบอื่น มันทำไม่ได้ แต่ว่าเราสามารถจะสนับสนุนให้เขาเติบโต ใส่ปุ๋ยหรือว่าตัดแต่งกิ่ง รวมทั้งจัดหาสิ่งแวดล้อมที่เกื้อกูล นี่ทำได้   เวลาเราฝึกจิต ให้เราลองมองแบบนี้บ้างว่าเหมือนกับปลูกต้นไม้ เหมือนกับทำสวน ไม่ใช่ว่าจะอยู่ในการบังคับบัญชาของเราได้ นอกจากขึ้นอยู่กับต้นไม้แต่ละชนิด แต่ละพันธุ์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศ มีเหตุปัจจัยมากมายที่เราต้องคำนึง ไม่ได้อยู่ที่ใจเรา 
9/10/202427 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670602pm--สิ่งชี้วัดความก้าวหน้าของการปฎิบัติ

2 มิ.ย. 67 - สิ่งชี้วัดความก้าวหน้าของการปฎิบัติ : ถ้าเราเจริญสติได้ดี แม้จะมีความหงุดหงิดขึ้นก็ยังรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้ รักษาใจให้สงบได้ เพราะอะไรเพราะมีสติเห็นมัน ไม่เข้าไปเป็นหรือไม่เข้าไปยึด ไม่ไปผลักไสมันด้วย บางคนพอเวลาไม่มีความฟุ้ง ใจก็สงบ แต่พอมีความคิดเกิดขึ้นใจ ไม่สงบก็เลยเข้าไปกดข่มมัน ก็เลยยิ่งไม่สงบเข้าไปใหญ่ ยิ่งหงุดหงิดเพราะว่ากดข่มเท่าไหร่มันก็ไม่ไป มีความโกรธ มีความหงุดหงิดเกิดขึ้นไม่ได้แปลว่าใจจะต้องว้าวุ่น เป็นทุกข์เสมอไป อยู่ที่ว่า เห็นมันไหม เห็นได้ไวพอหรือเปล่า เพราะฉะนั้นความก้าวหน้าของการปฏิบัติจะต้องวัดตรงนี้ด้วย วัดว่าสงบได้ไม่ใช่เฉพาะเวลาปฏิบัติ แต่ว่าสงบได้แม้มีสิ่งกระทบ มีสิ่งเร้า ถ้าหากว่าสงบได้เมื่อไม่มีสิ่งเร้า ไม่มีสิ่งกระทบ อันนี้ใคร ๆ ก็ทำได้ไม่ยาก นักปฏิบัติต้องทำได้มากกว่านั้นคือว่าแม้เจอสิ่งเร้า เจอสิ่งกระทบ ตา หู จมูก ไม่ว่าจะเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือความคิดอารมณ์ที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่าธรรมารมณ์ ใจก็สงบได้ ตรงนี้แหละคือสิ่งที่วัดความก้าวหน้าของการปฏิบัติ ซึ่งแน่นอนถ้าเกิดว่าเข้าใจเรื่องหรือเห็นเรื่องรูป เรื่องนาม เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นเรา เป็นของเราก็ช่วยทำให้ใจสงบได้ง่าย ไม่ใช่สงบด้วยสติอย่างเดียว แต่สงบด้วยปัญญาด้วย 
9/9/202427 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670601pm--สอนคนอื่น อย่าลืมดูใจตนเอง

1 มิ.ย. 67 - สอนคนอื่น อย่าลืมดูใจตนเอง : ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ฉะนั้นหมั่นเตือนตนอยู่เสมอ ทำอะไรก็ตามมันไม่สำคัญเท่ากับว่าทำอย่างไร แม้จะทำเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะ เรื่องบุญกุศล แต่ว่าถ้าขาดสติหรือทำด้วยความยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็สามารถจะเกิดโทษได้ เตือนใจเสมอเวลาเจอความไม่ถูกต้อง อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ รักษาใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปจัดการคนอื่นเพื่อให้เขาทำถูกต้อง ถ้าขืนไปจัดการคนอื่นโดยที่ไม่ทันดูใจของตัว ไม่ทันรักษาใจของตัวให้ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ทำกับคนอื่นก็จะกลายเป็นความไม่ถูกต้องหนักกว่าเดิมก็ได้   เรื่องนี้มันเป็นอุทธรณ์สอนใจที่ดีโดยเฉพาะกับคนที่สนใจธรรมะ นักปฏิบัติธรรม จะได้ไม่หลงตัวลืมตน ว่ามาปฏิบัติธรรมว่ามาแสดงธรรม แล้วก็ลืมมองตัวเองไป 
9/8/202425 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25670531pm--ใฝ่ทำดีกว่าใฝ่เสพ

31 พ.ค. 67 - ใฝ่ทำดีกว่าใฝ่เสพ : คนเราถ้าเป็นคนที่ใฝ่รู้ แค่ได้ความรู้เขาก็พอใจแล้ว คะแนนจะเป็นอย่างไรไม่สนใจ หรือไม่ใช่เรื่องสำคัญ และกรณีนี้พอโตขึ้นแล้วเขาจะมีความสุขจากการที่ได้ทำความดี ซื่อสัตย์สุจริต ภูมิใจในความดีที่ทำ เรื่องเงินเรื่องทองจะเป็นเรื่องเล็กน้อย คนเราถ้าเอาความสุขไปผูกกับเงิน ไปผูกกับชื่อเสียง จะหาความสุขไม่ได้เลย อย่างที่เราเห็น ดาราที่มีชื่อเสียงร่ำรวยหลายคน ฆ่าตัวตายเพราะว่าถูกต่อว่า ถูกสื่อมวลชนวิจารณ์ว่าเล่นไม่ได้เรื่อง หรือว่าเป็นเพราะอกหัก แฟนทิ้ง อันนี้เพราะว่าไม่เข้าใจว่าความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ไปเอาความสุขของตัวไปอยู่ผูกติดอยู่กับสิ่งของ อยู่กับชื่อเสียง อยู่กับเงินทอง หรือแม้แต่อยู่กับคนอื่น เอาความสุขหรือคุณค่าไปผูกติดกับคนอื่น พอเขาก็ทิ้งเรารู้สึกหมดคุณค่าทันที แต่ถ้าหากว่าคนเราพบว่าความสุขอยู่ที่ใจ อยู่ที่การทำความดี อยู่ที่ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ความสุขที่ผูกติดอยู่กับความดีในตัวไม่มีสูญหายไปง่าย ๆ ใครเขาจะทิ้ง ใครเขาจะดูถูกอย่างไร ตัวเองก็ยังมีความสุขความภูมิใจในสิ่งที่ทำ แม้จะไม่รวยแต่ก็มีความสุข   นี่แหละคือสิ่งที่ศาสนาจะสอนเราได้ จะนำทางให้เราพบความสุขอย่างนี้ แล้วก็การมาวัดก็สามารถช่วยทำให้เราได้พบกับความจริงข้อนี้ได้ วันนี้นักเรียนอาจจะยังไม่เห็น เพราะยังคิดว่าความสุขอยู่ที่การกิน ดื่ม เที่ยว เล่น ช็อป มีแฟน แต่ให้จำในสิ่งที่หลวงพ่อพูดเอาไว้วันนี้ พอถึงวันที่พวกเธอโตมากกว่านี้และในยามที่เจอกับความไม่สมหวังในชีวิต เจอกับความพลัดพราก อาจจะได้คิด แล้วถึงตอนนั้นก็อาจจะรู้วิธีที่จะหาทางออกจากความทุกข์ได้
9/7/202428 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25670528pm--อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้

28 พ.ค. 67 - อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ 
9/6/202451 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670527pm--เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์

27 พ.ค. 67 - เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ 
9/5/20241 hour, 17 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25670526pm--สร้างสมดุลชีวิตด้วยสติ

26 พ.ค. 67 - สร้างสมดุลชีวิตด้วยสติ 
9/4/20241 hour, 10 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25670524pm--โกรธก็ได้ ใจไม่ทุกข์

24 พ.ค. 67 - โกรธก็ได้ ใจไม่ทุกข์ : แต่ยิ่งเราไม่ยอมรับ ยิ่งเราผลักไสมัน มันก็ยิ่งมีอำนาจเหนือจิตใจของเรา วิธีที่จะทำให้มันหมดพิษสงก็คือยอมรับมัน หรือว่าถ้าพูดแบบภาษาธรรมะก็คือว่าแค่เห็นมันเฉย ๆ รู้ซื่อ ๆ หรือยอมรับมันได้ มันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ก็คือว่าไม่ผลักไส ไม่ต่อต้าน ไม่กดข่ม แล้วถ้าเราใช้ท่าทีนี้กับสิ่งอื่นด้วย ไม่ใช่เฉพาะกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเซ็ง ความเบื่อ แต่ยังใช้กับเสียงที่มากระทบหู หรือภาพที่กระทบตา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา หรือแม้กระทั่งความเจ็บปวดทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น ถ้าเรายอมรับได้ ใจไม่ผลักไสอยู่ลึก ๆ อันนี้ท่านเรียกว่า “เห็น ไม่เข้าไปเป็น” อำนาจที่มันมีต่อจิตใจของเราทำให้ทุกข์ใจก็น้อยลง จะเหลืออยู่ก็แค่ความทุกข์กาย แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว ความซังกะตายก็เหมือนกัน จริง ๆ มันก็ไม่ได้ทำร้ายใจเราเท่าไหร่ แต่ที่มันทำร้ายจิตใจผู้หญิงคนนั้นมากคือเพราะไม่ยอมรับ ความซังกะตายไม่ได้ทำร้ายเรา แต่การที่เราไม่ยอมรับความซังกะตาย ความรู้สึกเฉาต่างหากที่ทำร้ายเรา เหมือนกับนอนไม่หลับ นอนไม่หลับนี้ก็ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเรา แต่ที่ทุกข์กันมากก็เพราะว่าไม่ยอมรับ เวลานอนไม่หลับก็เกิดความวิตกกังวล พยายามข่มตาให้หลับ ความกลัวว่าจะไม่หลับ หรือความอยากให้หลับ แล้วพอไม่หลับก็เลยวิตกกังวล ตัวนี้ต่างหากที่สร้างปัญหา   พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเรามากเท่ากับปฏิกิริยาหรือท่าทีที่เรามีต่อสิ่งนั้น ถ้าเราแค่ดู เห็น รู้ซื่อ ๆ หรือเป็นมิตรกับมัน มันก็หมดพิษสงลง อันนี้คือสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้หรือทดลองดูได้ ปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันของเรา 
9/3/202427 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25670523pm--ฟังธรรมอย่างไรใจเปลี่ยนแปลง

23 พ.ค. 67 - ฟังธรรมอย่างไรใจเปลี่ยนแปลง : การตั้งคำถามกับตัวเองเวลาฟังธรรมนี้ ช่วยให้เกิดการปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นฟังแล้วก็ไม่เกิดการปฏิบัติ หรืออย่างน้อยก็เกิดปัญญา รู้จักใคร่ครวญ แล้วทำให้เกิดความเฉลียวใจ แล้วส่วนใหญ่ฟังก็ไม่ค่อยได้ถามตัวเองว่าจริงไหม ที่ท่านพูดจริงไหม แล้วการใคร่ครวญก็ไม่ใช่แค่ใช้เหตุใช้ผลอย่างเดียว แต่ว่าเอาประสบการณ์ตัวเองมาเทียบหรือตอบโดยอาศัยประสบการณ์ตัวเอง จริงไหม แล้วเวลาท่านพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก เราก็ต้องถามตัวเองว่า “เออ เราเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า” “เราเป็นอย่างที่ท่านว่ามาไหม” แล้วเวลาท่านแนะนำทางออกหรือข้อที่ควรปฏิบัติ ก็ควรจะถามตัวเองด้วยว่า “แล้วเราได้ทำอย่างนั้นบ้างหรือเปล่า” หรือคิดจะไปทำบ้างไหม   ฉะนั้นถ้าเราไม่ถามตัวเองอย่างน้อย 3 คำถาม การฟังธรรมก็ไม่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง แล้วนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนมากทีเดียว การฟังธรรมก็เป็นเพียงแค่การทำให้ใจเพลิน ฟังแล้วเพลินดี ก็คงไม่ต่างจากวัยรุ่นฟังเพลง แต่ว่าคนแก่หรือว่า สว. ก็ฟังธรรม เหมือนกันตรงที่ว่าฟังแล้วเพลิน แต่ว่าไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาอย่างจริงจัง
9/2/202424 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25670522pm--ประโยชน์ที่ควรได้จากการเป็นชาวพุทธ

22 พ.ค. 67 - ประโยชน์ที่ควรได้จากการเป็นชาวพุทธ : แต่ไม่ว่าจะทำดีแค่ไหน ความทุกข์บางอย่างก็ยังสามารถมาถึงตัวเราได้ เช่นความแก่ ความป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย รวมทั้งความตาย ไม่ต้องพูดถึงคำต่อว่าด่าทอ หรือว่าความล้มเหลว ความไม่สมหวัง สิ่งเหล่านี้แม้เราจะเจอ แต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าเรามีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบ หรือดียิ่งกว่านั้นคือรู้ทันการปรุงแต่ง จนกระทั่งไม่ว่าเห็น ไม่ว่าได้ยิน ก็สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน หรือแม้มีอารมณ์เกิดขึ้นก็แค่รู้ซื่อๆ ใจก็ไม่ทุกข์ นี่เป็นโอกาสแห่งการพ้นทุกข์ที่เราทุกคนสามารถทำได้ แล้วเราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราได้ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ศึกษาว่าพระองค์ทรงค้นพบอะไร และอะไรทำให้พระองค์ทรงออกจากทุกข์ได้ และที่พระองค์ชี้ทางออกจากทุกข์ให้กับเรา ก็คือชี้เรื่องนี้แหละ   ฉะนั้นถ้าเรารู้จักใคร่ครวญและนำไปปฏิบัติ ก็เท่ากับว่าเราได้ประโยชน์จากการเป็นชาวพุทธ เราได้ประโยชน์จากการที่มีพระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดาของเรา รวมทั้งได้ประโยชน์สูงสุดจากศาสนาที่เรานับถือ ไม่อย่างนั้นเราก็ได้ประโยชน์อย่างไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สุดท้ายเราก็ไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเกิดมาเป็นมนุษย์ 
9/1/202437 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670521pm--อยู่กับความรู้สึกตัวให้เป็น

21 พ.ค. 67 - อยู่กับความรู้สึกตัวให้เป็น : ความรู้สึกตัว ถ้าเราอยู่กับมัน หรือถ้าเรากลับมารู้สึกตัวบ่อย ๆ การอยู่กับตัวเองเป็นเรื่องง่าย อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้ว้าวุ่น หงุดหงิด อยู่กับตัวเองคนเดียวก็ไม่ได้เหงาอะไร แล้วถึงเวลาที่เราต้องอยู่กับตัวเองจริง ๆ หรือถึงเวลาที่เราต้องอยู่คนเดียว เพราะว่าคนที่คุ้นเคยล้มหายตายจากไป หรือว่าต้องไปนอนอยู่คนเดียวในโรงพยาบาล ก็อยู่ได้ หรือถึงแม้อยู่บ้าน ไม่มีคู่ครอง ก็ไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องมีใครมาอยู่ใกล้ ๆ เพราะทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ อาการแบบนี้มันก็ไม่มี อยู่กับตัวเองหรืออยู่คนเดียว ไม่ใช่ไม่เหงา ไม่เบื่อ แต่ว่าความเหงาความเบื่อทำอะไรไม่ได้เพราะว่ารู้สึกตัว ยอมรับมัน ไม่ผลักไสมัน อนุญาตให้มันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าการผลักไส การกดข่ม การไม่ยอมรับอารมณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ มันก็เป็นตัวการสร้างปัญหา   อย่างการปฏิบัติที่นี่ เราไม่เน้นเรื่องการไปกดข่มความคิด ไปผลักไสอารมณ์ อะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นก็ยอมรับมัน อนุญาตให้มันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าเรามีวิชา วิชาอะไร วิชารู้ซื่อ ๆ เห็นมัน เห็นมัน เมื่อรู้แล้วว่ามันมีอยู่ ก็แค่รู้ซื่อ ๆ ไม่ผลักไส ก็ทำให้ไม่เข้าไปเป็น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกตัวได้   การปฏิบัติ ถ้าเราอยู่กับตัวเองเป็น มันไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเหงา ไม่มีความเบื่อ ไม่มีความเซ็ง มันมีแต่ว่าอยู่กับมันได้ เป็นมิตรกับมันได้ คนเราถ้าอยู่กับตัวเองเป็นคืออยู่กับความรู้สึกตัวแล้วนี้ มันก็อยู่กับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ โดยที่ไม่ถูกมันเบียดเบียน ครอบงำ ไม่ใช่ว่าไม่มีอารมณ์เหล่านี้ มีแต่มันทำอะไรไม่ได้ เพราะต่างคนต่างอยู่ อยู่กับความรู้สึกตัวเป็น ก็อยู่กับตัวเองได้ อยู่กับความเหงา อยู่กับความเบื่อ ก็อยู่ได้ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
8/31/202427 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25670519pm--ธรรมนำชีวิตให้ผาสุก

19 พ.ค. 67 - ธรรมนำชีวิตให้ผาสุก : ถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรที่เราจะยึดมั่นเป็นเรา เป็นของเราได้เลย ไม่ว่าจะเป็นลาภสักการะ ชื่อเสียงเกียรติยศ หรือแม้กระทั่งร่างกายนี้ ก็ไม่อาจยึดได้ว่าเป็นเรา เป็นของเราได้ ความที่ท่านเข้าใจ หรือเข้าถึงสัจธรรมความจริงนี้แหละ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ท่านเปี่ยมด้วยคุณธรรมมากมายหลายประการ ที่เราทุกท่านเมื่อได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกประทับใจ​ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราระลึกนึกถึงท่านแม่ชีสุขี ก็อย่าพึงนึกถึงแต่เพียงแค่บุญที่ท่านบำเพ็ญ แต่ให้นึกถึงธรรมที่ท่านได้ปฏิบัติด้วย ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงบุญ จนบางทีลืมธรรมะไป เพราะเราคิดว่าถ้าเราได้บุญเยอะๆ เราก็จะได้โชคได้ลาภ มีอายุยืน มีสุขภาพดี เพราะเราเชื่อว่า บุญนั้นย่อมอำนวยให้เกิดอายุ วรรณะ สุขะ พละ รวมทั้งปฏิภาณธนสารสมบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา จึงอยากได้บุญกันมากๆ จนกระทั่งจำนวนไม่น้อย ลืมธรรมะไป
8/25/202450 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25670518pm--เมืองร่มรื่น ใจร่มเย็น เป็นรมณีย์

18 พ.ค. 67 - เมืองร่มรื่น ใจร่มเย็น เป็นรมณีย์ : ใจรมณีย์คืออะไร ใจรมณีย์ คือ ใจที่ร่มเย็น สงบเย็นได้ด้วยธรรม เราเย็นกายด้วยร่มไม้ และเราสามารถจะเย็นใจได้ด้วยร่มธรรม ร่มไม้สามารถจะปลุกกระตุ้นให้ร่มธรรมในใจของเราเจริญงอกงามได้ แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าเกิดว่าเราอาศัยความร่มรื่นของต้นไม้มาใช้ในการฝึกจิต เพื่อทำให้ร่มธรรมในจิตใจของเราเจริญงอกงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ ใจที่เป็นรมณีย์ ไม่ใช่แค่ถิ่นรมณีย์ที่ภายนอก ใจรมณีย์ ไม่ใช่หมายถึงใจที่สงบเย็นเพราะร่มธรรมเท่านั้น แต่ยังอาศัยธรรมะช่วยเปลี่ยนทุกข์ให้การเป็นสุขได้ เหมือนกับต้นไม้สามารถเปลี่ยนแสงแดดที่ร้อนให้กลายเป็นร่มเงาที่เย็น ต้นไม้สามารถเปลี่ยนสิ่งปฏิกูล ขยะ ให้กลายเป็นใบไม้ที่เขียวขจี ดอกไม้ที่สวย ผลไม้ที่หอมหวาน   ใจของเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าใจของเราเป็นรมณีย์ ก็เพราะสามารถเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ได้ เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นปัญญา ก็เกิดขึ้นได้ ใจที่เป็นรมณีย์ คือใจที่ไม่เพียงแต่เป็นผู้รับ แต่ยังเป็นผู้ให้ เหมือนต้นไม้ที่ไม่เพียงแต่รับเอาปุ๋ยจากดิน แต่ยังทิ้งกิ่ง ทิ้งใบ เพื่อเป็นปุ๋ยกลับคืนสู่ดิน เป็นการตอบแทนผืนดินที่ช่วยหล่อเลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ไม่เพียงแต่รับเอาน้ำจากฟ้ามาบํารุงกิ่งก้านและใบ แต่ยังคายน้ำคืนสู่ธรรมชาติ คืนสู่ฟ้า เป็นการตอบแทน 
8/24/202434 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25670516pm--ธรรมสั้นๆที่ปฎิบัติได้แม้ไม่มีเวลา

16 พ.ค. 67 - ธรรมสั้นๆที่ปฎิบัติได้แม้ไม่มีเวลา : คนที่บอกว่าไม่มีเวลา ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม แต่ที่จริงแล้ว สามารถจะมีสติในการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ไม่ต้องใช้เวลาอะไรเลย ไม่ต้องสละเวลาเพิ่มเติม เพราะทุกวันนี้ ก็รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่แล้ว ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เพียงแต่เติมสติลงไป การกินก็เหมือนกัน เรากินอยู่แล้ว ฆราวาสก็ 3 มื้อ ก็เติมสติลงไปในการบริโภค ทำงานก็ทำอยู่แล้ว ก็เติมสติลงไปในการทำงาน อปัณณกปฏิปทานี้ จะว่าไปแล้ว มันเป็นธรรมที่สำคัญ ที่ถูกมองข้ามไป เพราะว่าสามารถจะเอามาใช้ในการดำเนินชีวิตได้ แล้วก็เป็นการปฏิบัติที่ไม่มีคำว่าผิด อปัณณก แปลว่าไม่ผิดอยู่แล้ว เป็นทางสายกลาง เป็นการปฏิบัติธรรม ที่สามารถจะทำได้ ในชีวิตประจำวัน มันไม่ต้องการเวลาเพิ่มเติม เพราะว่าทำอยู่แล้ว   ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ทางทวารทั้ง 6 ไม่ว่าจะเป็นการกิน หรือว่าการทำงาน เพียงแต่เติมสติลงไป ให้เป็นอินทรียสังวร ให้เป็นโภชเน มัตตัญญุตา ให้เป็นชาคริยานุโยค แล้วมันก็ช่วยทำให้ไม่เพียงแต่การงานดำเนินด้วยดี แต่ยังช่วยทำให้ความทุกข์บรรเทาเบาบาง และเป็นกำลังในการสนับสนุนให้เกิดการเห็นธรรมที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ 
8/23/202422 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25670515pm--สอนอะไร ควรทำสิ่งนั้นให้ได้

15 พ.ค. 67 - สอนอะไร ควรทำสิ่งนั้นให้ได้ : เวลาเราจะแนะนำใคร ไม่ว่าเรื่องอะไร ออกกำลังกาย กินอาหารสุขภาพ หรือว่าใช้โทรศัพท์มือถือให้น้อยลง เล่นเกมให้น้อยลง รวมทั้งการนั่งสมาธิ เจริญสติ มันต้องกลับมามองที่ตัวเองก่อนนะว่า “ทำได้หรือยัง” หรือ “ได้ลองทำบ้างหรือเปล่า” เชื่อจริง ๆ หรือเปล่าอย่างที่พูดว่ามันมีคุณค่าจริง ๆ หรือไปฟังเขามาแต่ไม่ได้เชื่อจริง เพราะถ้าเชื่อจริงก็ต้องทำด้วยตัวเองแล้ว แต่พอไม่ได้เชื่อจริงก็เลยไม่ได้ทำ แต่อยากให้คนอื่นทำ เสร็จแล้วคนอื่นเขาก็รู้นะว่าคนพูด คนแนะนำนี้ก็ไม่ได้เชื่อจริง พูดอย่างทำอย่าง เขาก็ไม่ฟัง   แต่ถ้าเกิดว่าเราจริงจังหรือจริงใจในสิ่งที่พูด ในสิ่งที่แนะนำ เราต้องทำให้ได้ก่อน หรือพยายามทำแล้วเราถึงจะแนะนำคนอื่นได้เต็มปาก เราปล่อยวางได้แล้วไม่มากก็น้อย เราถึงแนะนำให้คนอื่นปล่อยวางบ้าง หรือว่าเราได้ทำสมาธิเจริญสติมาพอสมควร แล้วก็รู้รสชาติ รู้ความยากลำบากของมันว่ามันเป็นอย่างไร เราถึงจะแนะนำเขาได้ ไม่งั้นมันก็จะเป็นคำพูดที่ไม่มีความหมาย หรือกลายเป็นการกระทำแบบนกแก้วนกขุนทองแบบที่เด็กคนนั้นพูด 
8/22/202424 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25670508pm--ทางออกจากทุกข์ อยู่ที่ใจเรา

8 พ.ค. 67 - ทางออกจากทุกข์ อยู่ที่ใจเรา : ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับสายตาเหยียดหยามของคนทั้งโลก แต่จู่ๆ แกก็ได้คิด ว่าเราเปลี่ยนความคิดของใครไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนความคิดของเราเองได้ แทนที่เราจะไปเรียกร้องให้คนอื่นเขามองเรา ชื่นชมเรา เราก็หันมาเข้าใจเขาแทนว่าทำไมเขามองเราแบบนี้ ปรากฏว่าแกหายทุกข์เลย แทนที่จะไปเรียกร้องใครให้เป็นไปดั่งใจ ก็กลับมาปรับใจตัวเอง อันนี้คือวิถีหรือวิสัยของนักปฏิบัติธรรม เราอย่าคาดหวังให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจเรา เราอย่าไปคาดหวังว่าทุกอย่างรอบตัวต้องสงบ ต้องเรียบร้อย ถูกต้อง ถูกระเบียบ เราถึงจะมีความสุขหรือจะมีความสงบได้ อย่าไปเรียกร้องความสงบจากโลกภายนอก เพราะว่าแม้แต่วัดนี้ก็ยังมีเสียงรบกวน เสียงประทัด เสียงดังอยู่เรื่อยๆ แต่ถึงแม้โลกรอบตัวจะดังอย่างไร แต่ใจเราสงบได้ เพราะเรารู้จักฝึกใจ แม้โลกมันจะแปรปรวนอย่างไร แต่ใจเราสงบเย็นได้ หากว่าเรามาฝึกที่ใจ   เวลาเราเจออะไรต่ออะไรไม่เป็นไปดั่งใจ เจอความไม่ราบรื่น ไม่ปกติ เจอเสียงดัง เจอคนทำตัวน่าระอา แทนที่เราจะปล่อยใจให้ทุกข์ ก็กลับมาฝึกว่าเราจะรักษาใจไม่ให้ทุกข์ได้อย่างไร เป็นเพราะเราวางใจผิดหรือเปล่า เราจึงทุกข์ เราจึงโมโห เราจึงหงุดหงิด เป็นเพราะเราคาดหวังจากคนอื่นหรือเปล่า แต่พอเรามาปรับที่ใจของเรา เรายังสามารถพบความสงบได้ ตัวอย่างของคนที่พูดมานี่เขาไม่ได้เป็นนักปฏิบัติธรรมเลยนะ แต่ว่าเขาพบว่าเขาออกจากทุกข์ได้ เพราะว่าเขาปรับที่ใจ แก้ที่ใจ ลดความคาดหวัง หรือแก้ที่ใจของตัว   ฉะนั้นเวลาเราเจอปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ให้ถือว่ามันเป็นแบบฝึกหัด ให้เรากลับมาดูใจของเรา แล้วก็ลองปรับ ลองแก้ที่ใจของเรา ไม่ว่าจะเป็นการรู้จักไม่ใส่ใจ ไม่ไปผลักไสสิ่งต่างๆ หรือว่าไม่คาดหวังว่ามันจะต้องเป็นไปดั่งใจ แล้วเราก็จะพบว่ากุญแจออกจากทุกข์ มันอยู่ที่ใจเรานั่นเอง 
8/21/202426 minutes, 17 seconds
Episode Artwork

25670507pm--หาประโยชน์จากความวิตกกังวล

7 พ.ค. 67 - หาประโยชน์จากความวิตกกังวล : เมื่อใดก็ตามที่เรามีความกลัวก็ดี ความวิตกกังวลก็ดี ความโกรธก็ดี อย่าไปมองว่ามันเป็นอารมณ์ที่แย่อย่างเดียว มันมีประโยชน์ มันสามารถจะบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเราได้เยอะเลย เป็นการชี้ช่องให้เราเห็นว่า เรายังมียึดติดถือมั่นที่ตรงไหน และถ้าเราใส่ใจการปฎิบัติธรรม เราก็จะพยายามลดละตรงนั้นให้มันเบาบางลง แม้ว่าจะลดละไม่ได้ทั้งหมด และสิ่งที่ได้คืออะไร คือความอิสระ ความเบา ฉะนั้น ถ้าเราไม่มีความยึดติดถือมั่นในหน้าตา ใครเขาจะต่อว่านินทาเรา เราก็ไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร หรือว่าถ้าเราไม่ยึดติดในทรัพย์ หรือยึดแต่น้อย เราก็ไม่ห่วงว่าเศรษฐกิจมันจะเป็นอย่างไร เพราะว่าถึงอย่างไรเราก็อยู่ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยมาก ดังนั้น เราต้องรู้จักใช้ความวิตกกังวลให้เป็นประโยชน์ เอามาเป็นเครื่องสอนบ่งบอกว่าเรายังสอบตกในเรื่องอะไร และเราจะฝึกตนพัฒนาตนในเรื่องไหนได้บ้าง 
8/20/202424 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670506pm--ผู้รู้จักคอยย่อมมีความสำเร็จเป็นรางวัล

6 พ.ค. 67 - ผู้รู้จักคอยย่อมมีความสำเร็จเป็นรางวัล : การรู้จักอดทนรอคอยนี่สำคัญมาก คือหมายความว่ายอมลำบาก ยอมเหนื่อยวันนี้ เพราะเชื่อว่าผลพวงข้างหน้า มันก็คือความสำเร็จ ความสำเร็จมันจะเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะกับคนที่รู้จักคอยเท่านั้น ถ้าไม่รู้จักคอยแล้วมันก็ได้แค่ความสุขชั่วครู่ชั่วยาม เพราะฉะนั้นฝึกเอาไว้ สะสมนิสัยให้รู้จักอดทนรอคอย ซึ่งมันไม่ใช่แค่ขันติอย่างเดียว มันต้องมีสติด้วย เพราะถ้าไม่มีสติมันก็จะพ่ายแพ้ต่อกิเลส ต่อสิ่งล่อเร้าเย้ายวน ต่อนิวรณ์ 5 ไม่ว่าจะเป็น กามฉันทะ พยาบาท อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน หรือว่าในความง่วงเหงาหาวนอน รวมทั้งความลังเลสงสัยวิจิกิจฉา เราจะฝ่าทะลุนิวรณ์ 5 หรืออุปสรรคของการปฏิบัติ มันต้องมีความรู้จักอดทนรอคอย โดยมีสติเป็นตัวนำ แล้ววิริยะเป็นตัวผลัก มันถึงจะประสบความเจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ 
8/19/202426 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25670505pm--เป็นมิตรกับความเบื่อ

5 พ.ค. 67 - เป็นมิตรกับความเบื่อ : แต่ในเมื่อเราเจริญสติ เรามาฝึกจิตกันแล้ว ก็ต้องมีความสามารถมากกว่าคนทั่วไป ในการที่จะรู้ทันความเบื่อ หรือไม่ปล่อยให้ความเบื่อครอบงำ ในแง่หนึ่ง เราก็เหมือนคนทั่วไป เราก็มีความเบื่อ มีความเศร้า มีความโกรธ ไม่ต่างจากคนอื่น แต่ที่เราต่างจากคนอื่นก็คือว่า เรามีความสามารถในการรักษาใจไม่ให้อารมณ์พวกนี้มาครอบงำได้ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติธรรมแล้ว จะไม่มีความเบื่อ ไม่มีความเหงา ไม่มีความหงุดหงิด ไม่มีความคับข้องใจ ไม่มีราคะ ไม่ใช่ มันมีเหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ แต่มีแล้วมันทำอะไรเราไม่ได้ สามารถจะยกจิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ หรือวางใจเป็นกลางกับสิ่งเหล่านี้​ เบื่อก็รู้ว่าเบื่อ และวางใจเป็นกลางกับมันได้ หรือยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เป็นมิตรกับมัน เป็นมิตรกับความเบื่อ   อันนี้มันเป็นการบ้าน สำหรับนักปฏิบัติ ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ไม่ใช่เฉพาะผู้ฝึกใหม่ แม้กระทั่งผู้ที่ฝึกมานาน มันก็หนีพวกนี้ไม่พ้น อารมณ์พวกนี้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร ซึ่งที่สำคัญก็คือการมีสติ เห็นมัน แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ก็ได้ หรือว่าเป็นมิตรกับมันเสียเลย โอบกอดความเบื่อ   เหมือนกับที่ท่านติช นัท ฮันห์ สอนไว้ โอบกอดความโกรธ โอบกอดความทุกข์ พอเราเป็นมิตรกับมัน ไม่ผลักไสมัน มันก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ แล้วจะว่าไป มันก็ทำให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้า และทำให้เราสามารถจะปฏิบัติได้ต่อเนื่อง แล้วก็เกิดความเจริญงอกงามยิ่งขึ้น 
8/18/202426 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670504pm--ดูแลใจให้เป็นอิสระจากอารมณ์

4 พ.ค. 67 - ดูแลใจให้เป็นอิสระจากอารมณ์ : แม้ว่าจะมีสิ่งต่างๆ ที่ไม่น่าพอใจมากระทบ เสียงต่อว่ามากระทบหู แต่ว่าเราไม่ใส่ใจ มันก็ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความหงุดหงิด หรือเรารู้จักปรุงแต่งในทางบวก เราก็ไม่โกรธ หรือเรารู้ทัน ว่าเราชอบมีความรู้สึกลบต่อสิ่งนี้ เช่น เขาเรียกเราว่าลุง ว่าป้า เราก็รู้นะ ว่าเป็นเพราะเราไม่ชอบความแก่ ใครมาเรียกลุงเรียกป้า เราก็เลยโกรธ แต่พอเรารู้ทันความคิดปรุงแต่งนี้ ก็วางใจเป็นกลางได้ ใครเขาเรียกลุงเรียกป้าก็ไม่โกรธ ก็ไม่ทุกข์แล้ว ฉะนั้นใครเขาจะพูดอย่างไร เราไม่ทุกข์ เพราะว่าเรารู้ทันความคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในใจ หรือถึงเกิดความโกรธขึ้นมา เกิดความไม่พอใจขึ้นมา เราก็รู้ทันอารมณ์นั้น ไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ ก็ไม่ทุกข์เหมือนกัน 
8/17/202427 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25670503pm--ทักท้วงความกลัว

3 พ.ค. 67 - ทักท้วงความกลัว : เพราะไม่เห็นคุณค่าของปัจจุบันเพราะก็ไปหวังความสุขจากอนาคต เพราะไปวาดภาพสวยงาม ทั้ง ๆ ที่ถ้าเกิดว่าสมหวังจริง ๆ ก็ไม่ได้สุขอย่างที่คิดเท่าไหร่ ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันนี่มันจะทำให้เรานี่ไม่ไปหลงเพลินกับภาพฝันในอนาคต แล้วก็ทำให้เราไม่กลัวไม่วิตกมากกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า คนเดี๋ยวนี้เครียดมาก วิตกกังวลมาก จนจะประสาทไปเพราะความที่ปรุงแต่ง วาดภาพอนาคตในทางลบทางร้าย ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง หรือว่าอยู่ในสถานะใดก็ตาม แม้กระทั่งเป็นคนไข้ไปให้หมอตรวจ ยังไม่ทันรู้ผลเลยใจก็ห่อเหี่ยวเสียแล้ว เพราะไปวาดภาพว่า ผลมันคงจะออกมาในทางที่เลวร้าย หรือถ้าเป็นอย่างที่หมอว่า เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ฉันคงตายแน่ ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างนั้น อาจจะไม่เกิดขึ้นหรือถึงเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด แต่เป็นว่าคนเราไปเชื่อความคิด ไปปล่อยให้ความวิตกกังวลที่ชอบปรุงแต่งขยายความให้เกินจริง มันก็เลยไม่มีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน   ใจเรามันมีความสามารถในการขยายผลทั้งในทางบวกทางลบได้มาก แล้วถ้าเราเชื่อมัน ไม่รู้จักทักท้วง ไม่ว่าทางบวกหรือทางลบนี่เราก็อาจจะเสียผู้เสียคน หรือว่าเป็นทุกข์ได้ ฉะนั้นกลับมาอยู่กับปัจจุบัน พึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ แล้วก็เห็นความสุขจากสิ่งที่มีอยู่ อย่าไปหลงเชื่อกับภาพฝันในอนาคตมาก หรือไปวิตกกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะหนึ่งมันก็ไม่ได้สวยอย่างที่คาดแล้วมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นึก 
8/16/202424 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25670502pm--อย่าเชื่อความคิดไปเสียหมด

2 พ.ค. 67 - อย่าเชื่อความคิดไปเสียหมด 
8/15/202425 minutes, 17 seconds
Episode Artwork

25670501pm--ปัญญาก่อนถึงสมาธิ

1 พ.ค. 67 - ปัญญาก่อนถึงสมาธิ : ความคิดอารมณ์เกิดขึ้น เรายังไม่ทุกข์ อยู่ที่ว่าเราจะปฏิบัติกับมันอย่างไร ถ้าปฏิบัติถูกก็ไม่ทุกข์ ถ้าปฏิบัติผิดก็ทุกข์เลย นี่ก็คือความรู้ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการปัญญา จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่ามีสมาธิก่อนแล้วจึงจะเกิดปัญญา ก่อนที่จะถึงสมาธิ ก่อนที่จะถึงความสงบ ปัญญาก็เกิดขึ้นได้ แต่มันเป็นปัญญาในระดับย่อย ยังไม่ใช่เป็นปัญญาชนิดที่จะรื้อถอนความทุกข์ได้ แต่ก็เป็นปัญญาที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐาน เป็นเหมือนกับอิฐก้อนแรก ๆ ที่เป็นฐานให้กับปัญญาที่สำคัญในระดับที่เรียกว่าวิปัสสนา อันนี้คือสิ่งที่นักปฏิบัติต้องช่างสังเกต อย่าไปมองแต่เป้าหมายข้างหน้าคือ ความสงบ ระหว่างทางมีอะไรให้เราได้เรียนรู้เยอะแยะเลย เหมือนกับคนที่เป็นนักเดินทาง เขาจะไม่มุ่งจดจ่อที่จุดหมายปลายทาง แต่เขาจะสนใจเส้นทางหรือระหว่างทางด้วย ทัศนียภาพระหว่างสองข้างทางมีอะไรให้เรียนรู้ มีอะไรให้ชื่นชมเยอะ   ไม่ใช่ว่าจะต้องไปถึงจุดหมายแล้วถึงจะได้พบกับสิ่งดี ๆ สองข้างทางหรือสิ่งที่เป็นปัจจุบัน มันก็มีอะไรให้เราได้เรียนรู้มากมาย อันนั้นแหละคือปัญญาอย่างหนึ่งเหมือนกัน ที่มันจะมีคุณค่าต่อการปฏิบัติและต่อชีวิตของเรา 
8/14/202424 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25670429am--คุณค่าของสังฆทานและการพิจารณาผ้าบังสุกุล

29 เม.ย. 67 - คุณค่าของสังฆทานและการพิจารณาผ้าบังสุกุล : เมื่อเราให้ทาน อานิสงส์ประการหนึ่งก็คือ ช่วยลดความตระหนี่ อันนี้คืออานิสงส์ที่คนไม่ค่อยได้นึกถึง ไปนึกถึงเรื่องโชค เรื่องลาภ ยศ ทรัพย์ สรรเสริญ แต่ว่าลืมนึกว่าหรือไม่ตระหนักว่า มันเป็นสิ่งที่ช่วยลดความตระหนี่ ลดความตระหนี่ก็คือ ลดความยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นของเรา ลดความโลภที่อยากได้สิ่งนั้นเยอะ ๆ มาก ๆ ถ้าเราให้ทานเป็น ความตระหนี่ก็จะลดลง ความโลภก็จะบรรเทาลง ความยึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นว่าเป็นของเราหรือตัวเราก็จะน้อยลง และต่อไปถ้าเราวางใจให้ดี มันจะช่วยลดความยึดมั่นในตัวกู ลดในสิ่งที่ทางพระเรียกว่ามานะคือกิเลสได้ เพราะบ่อยครั้งเราทำบุญ ทำความดี เราก็อยากจะให้คนชื่นชมสรรเสริญ ความชื่นชมสรรเสริญมีความหมายต่อเราเพราะมันไปตอบสนองตัวกู เราอยากจะให้คนเห็นว่าเราเป็นคนใจบุญ เป็นคนดี ตรงนี้คือกับดักของคนที่ชอบทำบุญ ชอบทำความดี คืออยากเป็นคนดี อยากให้คนยกย่องสรรเสริญ   หลายคนเป็นทุกข์เพราะทำดีแล้วไม่มีคนเห็น ดังนั้นเวลาทำบุญก็อยากจะให้คนเห็น เขาจะได้ชื่นชมสรรเสริญ แล้วเดี๋ยวนี้มันมีช่องทางในการที่จะสนองอัตตาหรือตัวมานะ มีเยอะมาก เช่น ถวายทาน เป็นเจ้าภาพกฐิน เป็นเจ้าภาพผ้าป่า ก็อยากประกาศให้โลกรู้ว่า ฉันมาทำบุญนะ ประกาศอย่างไร ก็ถ่ายภาพขึ้น Facebook บางทีถวายเงินไปแล้ว เพื่อนที่นัดแนะไว้ให้ถ่ายภาพ ลืมถ่ายภาพ โมโหเพื่อน หรือบางทีลืมเอากล้องมา โมโหอีก โมโหตัวเอง เดี๋ยวนี้ทำอะไรต้องถ่ายเพื่อประกาศให้โลกรู้ รวมทั้งทำบุญ ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน 
8/13/202424 minutes, 14 seconds
Episode Artwork

25670426pm--มรณสติกถา

26 เม.ย. 67 - มรณสติกถา
8/12/202446 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25670425am--วางแผนก่อนตาย

25 เม.ย. 67 - วางแผนก่อนตาย : โดยทำพินัยกรรม และจะให้ดี ต้องทำพินัยกรรมชีวิตด้วย ซึ่งเรื่องหนึ่งในการทำพินัยกรรมนั้น เราจะต้องคิดแล้วระบุไว้คือ จะให้ทำอย่างไรกับตัวเราหากว่าเราอยู่ในระยะท้าย ไม่สามารถตัดสินใจได้ หรือไม่สามารถสื่อสารได้ ซึ่งข้อนี้เรียกว่า Living Will ที่เหลือเป็น Will ธรรมดา หรือพินัยกรรมธรรมดา ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ธรรมดาถ้าหากว่าเราทำให้เรียบร้อย เราจะได้ไม่มีความกังวลเมื่อเราใกล้จะสิ้นลม ก็จะช่วยลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลานของเราแม้จะไม่ใช่ในเรื่องของทรัพย์สมบัติก็ตาม   ยกตัวอย่างเช่น งานศพ เดี๋ยวนี้งานศพ ทำกันฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมาก โดยเฉพาะคนที่รวย คนที่มีสถานภาพทางสังคม บ่อยครั้งเป็นไปเพื่อหน้าตาของเจ้าภาพ แต่เราจะเรียกว่าผู้เป็นเจ้าของงาน เขาจัดงานศพให้เรา เราอยากให้งานศพของเราเป็นงานที่มีสาระ ถ้าเราไม่ระบุไว้ ลูกหลานหรือทายาทที่ยังอยู่ เขาก็คิดว่าทำเต็มที่ให้สมเกียรติของเรา ซึ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนาก็ได้ เราอยากจะได้งานศพมีน้อยวัน 3 วัน ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่ทำลายหรือผลาญทรัพยากรเป็นต้น 
8/11/202441 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25670423pm--ธรรมรักษาใจ

23 เม.ย. 67 - ธรรมรักษาใจ 
8/10/202430 minutes, 43 seconds
Episode Artwork

25670421pm--ทำเล่นๆและทำเยอะๆ

21 เม.ย. 67 - ทำเล่นๆและทำเยอะๆ : การปฏิบัติธรรมของพวกเราก็เหมือนกัน คนที่ทำมากจะได้เปรียบ เพราะว่าสติจะเติบโตได้เร็ว ถึงแม้ว่าใหม่ ๆ จะฟุ้งเสียเยอะ ทำเล่น ๆ แต่ทำเรื่อย ๆ ทำเยอะ ๆ กว่าจะรู้ตัวก็คิดไปแล้ว 10 เรื่อง แต่ว่าพอทำเยอะ ๆ บ่อย ๆ จะเห็นความก้าวหน้า แต่ก่อน คิด 10 เรื่องถึงจะรู้ตัวว่าเผลอไปแล้ว แต่พอทำไป ๆ ความคิดสั้นลง คิดไปได้ 8 เรื่องก็รู้ตัวแล้ว ทำไปอีก เดินจงกรมไปอีกหลายร้อยเที่ยว คราวนี้ความคิดสั้นลง เหลือแค่ 5 เรื่องก็รู้ตัวแล้ว และสุดท้าย คิดเรื่องเดียวยังไม่ทันจะจบเลยก็รู้แล้ว นี่เรียกว่าสติเร็ว รู้ทันความคิดได้เร็ว โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ปล่อยให้สติทำงานเอง ไม่ได้คิดจ้อง ไม่ได้จ้องความคิด ไม่ได้พยายามบังคับความคิด เพราะทำเล่น ๆ   ทำเล่น ๆ แต่ว่าทำเยอะ ๆ ทำบ่อย ๆ ก็รู้เอง สติได้โอกาสทำงานบ่อย ๆ พอสติได้ทำงานบ่อย ๆ หรือว่าถูกใช้งานบ่อย ๆ ก็จะคล่องแคล่ว กลายเป็นว่า ทีแรกเอาปริมาณไว้ก่อน เน้นปริมาณเป็นหลัก แต่ผลสุดท้ายได้คุณภาพ จิตมีคุณภาพ คือ มีสติ อันนี้ยังไม่ต้องเชื่อ ลองไปทำดู ทำเล่น ๆ แต่ทำเยอะ ๆ ทำมาก ๆ แล้วยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น แล้วเราจะเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับใจเราในที่สุด 
8/9/202424 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670420pm--สิ่งดีๆทำให้เป็นเรื่องง่าย

20 เม.ย. 67 - สิ่งดีๆทำให้เป็นเรื่องง่าย : เวลาสวดมนต์ หรือว่าเวลาฟังธรรม หรือว่าเวลาเจริญสติ ใจนึกถึงสิ่งที่จะทำต่อไป เดี๋ยวจะต้องไปเช็ค Mail เดี๋ยวจะต้องโทรศัพท์ไปคุยกับแม่ พอใจคิดถึงเรื่องที่จะต้องทำต่อไปหรือทำลำดับถัดไป เกิดความรุ่มร้อน อยากจะรีบทำให้เสร็จ ๆ จะได้ไปทำสิ่งที่อยากจะทำในลำดับถัดไป อันนี้เราต้องวางใจ คือ ต้องวางสิ่งที่อยากจะทำลำดับถัดไป คืออะไร สำคัญแค่ไหน วางเอาไว้ก่อน ให้เราเอาใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเจริญสติ ทำสมาธิ สวดมนต์ ฟังธรรม หรือว่าออกกำลังกาย ให้ใจอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าทำ แต่ว่าเป็นแค่รูปแบบ แต่ว่าใจไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ   แล้วขณะเดียวกัน ต้องตระหนักว่าสิ่งที่เป็นอุปสรรคกับการทำสิ่งดี ๆ ก็คือ กิจวัตรเดิม ๆ ซึ่งเป็นการทำเพื่อสนองกิเลส หลายคนไม่สามารถทำสิ่งดี ๆ ได้ เพราะว่าใจยังติดอยู่กับ หรือหวนนึกถึงการเล่นเกม การดูหนัง การออนไลน์ แล้วหลายคนจะพบว่าห้ามใจลำบาก รู้ว่าไม่ดี แต่ว่าห้ามลำบาก   ที่จริงไม่ใช่เฉพาะการทำวัตรสวดมนต์ การเจริญสติ การออกกำลังกาย แม้กระทั่งการทำงาน หลายคนไม่มีสมาธิกับการทำงาน ไม่มีสมาธิกับการศึกษาหาความรู้เลย ไม่ว่าเตรียมสอบ หรือเตรียมทำวิทยานิพนธ์ เพราะว่าติดเกม ติดโทรศัพท์มือถือ รู้ว่าไม่ดี แต่ห้ามไม่ได้ ถึงตอนนี้ต้องรู้จักทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องยาก สิ่งดีต้องทำให้เป็นเรื่องง่าย สิ่งไม่ดีต้องทำให้เป็นเรื่องยาก 
8/8/202427 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25670419pm--ได้ดีชีวิตงามเพราะความทุกข์

19 เม.ย. 67 - ได้ดีชีวิตงามเพราะความทุกข์ : ไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรม ความทุกข์มันมีประโยชน์ ไม่เจอความทุกข์เสียเลยมันก็ไม่ดี แต่ถ้าเจอความทุกข์หนักไปก็อาจจะไม่รอด ถ้าเจอความทุกข์พอประมาณก็สามารถที่จะเป็นเครื่องหนุนส่งให้ชีวิตนี้เจริญงอกงามได้ ไม่ใช่เฉพาะในทางโลก แต่ว่ารวมถึงในทางธรรม เพราะฉะนั้นชาวพุทธจริง ๆ ไม่กลัวทุกข์ เพราะว่าถ้าไม่เจอทุกข์ จะรู้ธรรมหรือเห็นธรรมได้อย่างไร แต่ถ้ารู้จักพุทธศาสนาอย่างผิวเผิน คิดแต่จะหนีทุกข์อย่างเดียว ทำบุญเพื่อหนีทุกข์ เพราะคิดว่าบุญนี้จะทำให้มีโชคมีลาภ ไม่เจ็บไม่ป่วย ทั้งที่มันก็สวนทางกับความเป็นจริง   แต่ถ้าหากว่าเข้าใจธรรมะอย่างแท้จริง ก็จะรู้ว่าทุกข์นี้มีประโยชน์ เพราะว่าถ้ารู้ทุกข์ก็สามารถพ้นทุกข์ได้ ท่านติช นัท ฮันห์ ถึงกับเขียนเป็นคติธรรมสั้น ๆ เป็นภาษาอังกฤษ No Mud, No Lotus ไม่มีโคลนตมก็ไม่มีดอกบัว คือไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการรู้ธรรมหรือตรัสรู้   เพราะฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราเจอทุกข์ให้ถือว่าได้ของดี แม้จะเจอทุกข์หนักๆ แต่ถ้าหากว่ามีธรรมะ ทุกข์หนักๆ ก็สามารถจะกลายเป็นแรงผลักให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเจอทุกข์แบบพอประมาณ แต่อันนี้ก็ต้องอาศัยกัลยาณมิตรช่วยด้วย เจอทุกข์หนักๆ แต่มีกัลยาณมิตรก็สามารถที่จะเกิดสติได้ปัญญาได้ 
8/7/202427 minutes, 1 second
Episode Artwork

25670418pm--ไฟป่าสอนธรรม

18 เม.ย. 67 - ไฟป่าสอนธรรม : ไฟก็มีประโยชน์เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างเดียว มีประโยชน์สำหรับการรักษาป่าด้วย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าไฟมันยังช่วยทำให้เมล็ดหรือเม็ดของต้นไม้หลายชนิดมันสามารถจะเติบโตเป็นต้นกล้าได้ ถ้าไม่มีไฟเผามัน มันก็ไม่แตกเป็นต้นกล้านะ มันต้องโดนไฟเผา มันถึงจะแตกเป็นต้นกล้า แล้วก็ทำให้เกิดต้นไม้รุ่นต่อไป มันก็สอดคล้องกับความจริงที่ว่า ไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์ ตัณหาก็ดี หรือว่าความคิดฟุ้งซ่านก็ดี ความหลงก็ดีมีประโยชน์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดอยู่เสมอ อย่างเช่นความโกรธ ท่านก็เคยสอนว่ามันทำให้เราเห็นสัจธรรม ความโกรธก็ทำให้เราเห็นสัจธรรม ถูกต่อว่าก็เห็นสัจธรรมได้   ความหลงก็เป็นเชื้อให้เกิดความรู้ตัว เปลี่ยนความหลงให้กลายเป็นความไม่หลง เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ หรือที่หลวงพ่อเทียนบอกว่า “ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้” หมายความว่ายิ่งคิดฟุ้งซ่าน ก็ยิ่งรู้ตัวได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น แล้วเราก็ต้องรู้จักใช้ของเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ แล้วรู้จักเกี่ยวข้องกับมันให้ถูกวิธี 
8/6/202430 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25670417pm--อย่าหลงเชื่อความคิดที่สนองกิเลส

17 เม.ย. 67 - อย่าหลงเชื่อความคิดที่สนองกิเลส : คนเราเมื่อมีความเชื่อ มีความคิดใดก็ตาม แม้จะเจอข้อมูลที่หักล้าง ที่ขัดแย้งก็ไม่เปลี่ยนใจ ข้อมูลไม่ได้ช่วยทำให้คนเราเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนความเห็นได้เลย เพราะว่าเชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่าความคิดของฉันดี เจอข้อมูลที่แตกต่างที่ขัดแย้งก็ไม่สนใจ สนใจแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความเห็นเดิมของฉัน คนเราเป็นอย่างนี้ ซึ่งมันชี้ให้เห็นว่า คนเรามีความยึดมั่นในความคิดความเชื่อของตัวมาก และมีโอกาสที่จะคล้อยตาม คล้อยตามยังไม่พอ ปกป้องด้วย ทั้ง ๆ ที่อาจจะเป็นความเห็นที่ผิดก็ได้ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องระวัง   เพราะฉะนั้นการที่เรารู้ทันความคิด แล้วรู้จักทักท้วงความคิด มันเป็นสิ่งที่จำเป็นมากเลย เพราะไม่อย่างนั้นเราจะหลงเชื่อความคิดตะพึดตะพือ เพียงแค่ว่าเป็นความคิดของฉันก็หลงเชื่อแล้ว และก็ปกป้องทั้งที่มันอาจจะผิดก็ได้ การเจริญสติทำให้เรามีโอกาสที่จะรู้ทันความคิด แล้วก็ทักท้วงความคิดด้วย ไม่หลงเชื่อง่าย ๆ แล้วก็ทำให้เราสามารถจะเป็นอิสระจากความคิด หรือว่าเปิดโอกาสให้ความคิดหรือความเห็นที่มาจากปัญญาจริง ๆ มันทำงาน เข้ามาเป็นตัวนำพาชีวิตเราไปสู่ทางที่ถูกต้องได้ ไม่ใช่หลงเชื่อแต่ความคิดหรือเหตุผลที่กิเลสสรรหา หรือปกป้องความคิดที่มันผิดพลาด เพียงเพราะเป็นความคิดของกูเท่านั้น 
8/5/202428 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670416pm--อันตรายอยู่ที่ใจเรา

16 เม.ย. 67 - อันตรายอยู่ที่ใจเรา : บางทีสิ่งที่เราวิตกกังวลก็ไม่ใช่เรื่องอะไร ก็เป็นเรื่องที่เราแต่งขึ้นมาเองทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆไม่ได้น่ากลัว แต่มาปรุงแต่งและขยายความสร้างภาพให้รุนแรงขึ้น ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วยจริงๆ บางคนเดินกลางแดดไม่มีอะไรเท่าไหร่ แต่พอคิดว่าเดินกลางแดดแล้วต้องเป็นไข้ ต้องปวดหัว ปรากฏว่าเป็นจริงๆ ไม่ใช่ความร้อนของแดด แต่เป็นเพราะความวิตกกังวล วิตกกังวลเรื่องอะไร หรือวิตกกังวลว่าจะเป็นอะไร มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เจอที่ประสบนี้เล็กน้อยมาก แต่สิ่งที่วิตกกังวลในใจต่างหากที่มันทำร้ายเรา เพราะฉะนั้นอะไรที่มันยังไม่เกิดขึ้นก็อย่าไปวิตกกังวลมาก เราเตรียมใจเผื่อไว้ว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไปเอาจริงเอาจังกับมันจนกระทั่งเกิดความวิตกกังวลอย่างหนัก   อะไรที่ยังไม่เกิด อย่าพึ่งไปวิตกกังวลกับมัน เพราะว่ามันอาจจะไม่เกิดก็ได้ หรืออาจจะไม่รุนแรงอย่างที่คิดก็ได้ อันนี้เป็นข้อเตือนใจสำหรับคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์ หรือกำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่ชวนให้ทุกข์ แต่ถ้าใครมีชีวิตที่ราบรื่นปกติ เตือนใจไว้หน่อยก็ดี ว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ หมายถึงสิ่งที่ไม่คาดคิด สิ่งที่ไม่ปรารถนาก็เกิดขึ้นได้   ถ้าทำได้สองอย่างนี้ก็จะช่วยทำให้การวางจิตวางใจของเราอยู่ในสภาวะจิตที่สมดุล เจอทุกข์ก็เตรียมตัวรับมือไว้แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ประสาทจนกระทั่งความวิตกกังวลมาเล่นงานเราเสียย่ำแย่ 
8/4/202426 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25670415pm--สงบได้เพราะใจกลับมาไว

15 เม.ย. 67 - สงบได้เพราะใจกลับมาไว : (การดักจ้องความคิด) ทำแบบนี้บ่อยๆ ก็จะเครียด อย่าไปทำแทนสติ เราต้องให้สติทำงาน แม้จะช้าแต่ว่าเขาก็จะเติบโต เขาก็จะเรียนรู้ได้ เหมือนกับเราให้ลูกซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ใหม่ๆ ลูกก็ทำไม่สะอาดหรอก ใช้เวลานาน พ่อแม่บางคนเห็นลูกทำงานช้าแล้วก็ไม่ละเอียดลออ เลยทำเองเลย เร็ว ผลงานออกมาดี จานก็สะอาด แต่ลูกก็ไม่ได้ฝึกเลย แล้วเราก็เหนื่อยเพราะว่าเราก็ต้องทำหลายอย่าง เราต้องให้โอกาสลูกได้ทำเอง แม้ว่าจะช้า แม้ว่าจะไม่เนี้ยบ แต่ว่าถ้าเราให้เขาได้ทำบ่อยๆ เขาจะทำได้ดีขึ้น แล้วก็จะทุ่นแรงเรา เราก็จะได้ไปทำอย่างอื่น เราก็จะเหนื่อยน้อยลง เพราะฉะนั้นในการฝึกให้มีความระลึกได้ หรือฝึกให้จิตกลับมา ต้องให้สติ เขาทำของเขาเองนะ แล้วพอสติพาจิตออกมาจากความคิด ต่อไปไม่ใช่แค่ความคิดอย่างเดียว อารมณ์นานาชนิดที่จิตมันเคยเผลอจมเข้าไป สติก็จะดึงจิตออกมาจากอารมณ์นั้น กลับมาอยู่กับปัจจุบัน แล้วสิ่งที่ตามมาคือความสงบ   แต่ก่อนนี้ว้าวุ่น รุ่มร้อน เพราะความโกรธ เพราะความเครียด เพราะความเศร้า แต่ตอนหลังอารมณ์พวกนี้มันจะบรรเทาลง เราจะทุกข์น้อยลง ใจเราจะสงบมากขึ้น เพราะว่าสตินี้พาจิตกลับมาสู่ปัจจุบันได้เร็ว อารมณ์พวกนี้มันก็เลยไม่รบกวน รังควาน หรือเผาลนจิตนานเหมือนเมื่อก่อน เป็นความสงบที่เกิดขึ้นจากการที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ เป็นความสงบที่เกิดจากการที่จิตกลับมาสู่ปัจจุบันได้เร็ว ให้เราฝึกแบบนี้แหละ 
7/31/202426 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25670414pm--ความตั้งใจดีสำเร็จได้ด้วยตัวช่วย

14 เม.ย. 67 - ความตั้งใจดีสำเร็จได้ด้วยตัวช่วย : ถ้าต้องการสร้างนิสัยใหม่ ก็ต้องไปใช้อาศัยสิ่งแวดล้อมใหม่ เช่นไปร้านใหม่ พอไปร้านใหม่ มันก็จะไม่ไปมองหาแต่ของชอบที่เคยกิน แต่ว่าอยากจะเลิกกินเพราะว่าไม่ดีต่อสุขภาพ นี่ก็เป็นตัวช่วยซึ่งมันทำให้นิสัยความเคยชินใหม่ๆ นี้เกิดขึ้นได้ มันก็คล้าย ๆ กับคนที่เวลามาวัด แล้วเลิกบุหรี่ได้ เลิกเหล้าได้ แต่พอกลับไปบ้านทีไร หวนกลับไปสู่นิสัยเดิม เพราะว่านิสัยเดิมมันไปผูกติดกับสถานที่ พอกลับไปสถานที่เดิม นิสัยเดิมก็เกิดขึ้น มันก็ถูกกระตุ้นเร้าทันที   เขาจึงบอกว่าถ้าอยากจะเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกการพนัน มันต้องเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม เพราะถ้าไปอยู่สิ่งแวดล้อมเดิม นิสัยเดิมก็จะเลิกยาก นิสัยใหม่ก็จะสร้างขึ้นได้ยากเหมือนกัน อันนี้เป็นตัวช่วยที่ควรจะเอามาใช้เพื่อเสริมความตั้งใจ อย่าไปคิดว่าความตั้งใจอย่างเดียวมันจะพอ มันต้องมีตัวช่วยที่จะทำให้เราสามารถทำอย่างที่ตั้งใจได้ รวมทั้งการสร้างสิ่งแวดล้อม   อันนี้คือเหตุผลที่พระจึงมีวินัยซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยทำให้ความตั้งใจของพระที่มาบวชมันสัมฤทธิ์ผล มีความตั้งใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสิ่งแวดล้อมที่มันเกื้อกูลด้วย แต่ว่าฆราวาสจะให้มีสิ่งแวดล้อมแบบพระก็ยาก   แต่ว่าเราสามารถที่จะสร้างตัวช่วยของเราเอง ที่จะทำให้เราสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ ทำให้ปณิธานนี้มันเป็นจริง ไม่ว่าเป็นการออกกำลังกาย การสวดมนต์ การนั่งสมาธิ การเจริญสติ หรือว่าการฟังธรรม 
7/30/202426 minutes
Episode Artwork

25670413pm--คลายร้อนด้วยสติ

13 เม.ย. 67 - คลายร้อนด้วยสติ : เจอะอะไรก็ตาม เช่น เจอความร้อน มันคิด มันนึก มันรู้สึกอย่างไร ก็เห็นมัน แค่เห็นก็ช่วยได้เยอะแล้ว เห็นความหงุดหงิด เห็นความขุ่นมัว เห็นความสุข เห็นความโศกความเศร้า หรือแม้กระทั่งเห็นความดีใจ สงกรานต์หลายคนก็ได้สนุกสนาน ดีใจหรือรู้สึกสนุกก็ควรจะเห็นมัน เห็นความดีใจ เห็นความเพลิดเพลิน อันนี้ก็ควรจะเห็นด้วย เห็นแล้วก็อย่าได้ไปติดมัน เจอความเพลิดเพลินก็เห็นใจที่มันเพลิน จะได้ไม่ไปติดกับความเพลิดเพลิน เจอความร้อนก็เห็นใจที่หงุดหงิด จิตจะได้ไม่ไปผลักไสความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจ เพราะยิ่งผลักไสก็ยิ่งเท่ากับเพิ่มทุกข์ให้กับใจ   เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะมัวบ่นโวยวายตีโพยตีพายกับความร้อน อย่างนี้เรียกว่าขาดทุน หลวงพ่อคำเขียนท่านก็คงจะพูดว่า “ทุกข์ฟรี ๆ” อย่าทุกข์ฟรี ในเมื่ออากาศร้อน กายมันร้อนแล้วคือกายทุกข์ ก็อย่าทุกข์ฟรี ๆ ให้มาเรียนรู้จากความทุกข์ด้วยการเห็น เห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้น   หรือถ้ายังเห็นไม่ถนัด ก็เห็นปฏิกิริยาของใจเมื่อเจอความทุกข์ เห็นความทุกข์โดยเฉพาะทุกข์กาย เรียกว่าเห็นเวทนา ซึ่งยากส่วนใหญ่พอเห็นความปวดก็เป็นผู้ปวดเลย แต่ว่าเห็นปฏิกิริยาของใจเมื่อเจอความปวด เห็นปฏิกิริยาของใจเมื่อเจอความร้อน อันนี้ทำได้ง่ายกว่า เพราะว่ามันจะมีเสียงบ่น โวยวาย ตีโพยตีพาย มีความหงุดหงิด   แค่เห็นนี้ก็ถือว่าได้ปฏิบัติแล้ว แต่ต้องเห็น ไม่ใช่เข้าไปเป็น ไม่ผลักไส หรือไหลตาม แล้วคือโอกาสดีของการปฏิบัติ เจอความร้อน ก็ฝึกสติกับความร้อนแหละ และแน่นอนถ้าทำอะไรก็ให้มีสติกับการทำสิ่งนั้น ฝึกสติกับการทำ และการได้เจอะเจอกับอะไรก็ตามที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา 
7/29/202428 minutes
Episode Artwork

25670412pm--สอนเด็กไปด้วย สอนตนไปด้วย

12 เม.ย. 67 - สอนเด็กไปด้วย สอนตนไปด้วย : การสอนการบรรยาย ถ้าเราจริงใจกับการสอนการบรรยายเราก็พลอยได้ประโยชน์จากเนื้อความที่เราสอน คือเข้าใจชัดเจนขึ้น ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นเข้าใจได้ แล้วขณะเดียวกันถ้าเราต้องการให้เขามีความสนุกกับการเรียน เราก็ต้องมีความสุขกับการสอน ครูที่ไม่มีความสุขหรือความสนุกกับการสอน มันก็ยากที่จะทำให้เด็กมีความสุข หรือสนุกกับการเรียน ฉะนั้นอันนี้ก็เป็นประโยชน์ที่คนที่เป็นครูจะได้รับ ส่วนผู้สอนผู้บรรยายก็เหมือนกัน ยิ่งถ้าเกิดว่าจะแนะนำให้เขาทำอะไร ในเรื่องศีลเรื่องธรรมมันก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ตัวเองต้องทำสิ่งนั้นด้วย เพราะว่าถ้าหากว่าตัวเองไม่ทำ หรือทำไม่ได้ สิ่งที่พูดไปมันก็ไร้ประโยชน์   พ่อแม่ถ้าเกิดว่าสอนอะไรไป แต่ตัวเองทำไม่ได้อย่างที่สอนลูก มันก็ไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่ ดังนั้นการสอนใคร การแนะนำใคร ไม่ว่าจะเป็น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นพ่อแม่หรือเป็นครู มันก็เท่ากับเป็นการตอกย้ำให้ตัวเองทำให้ได้อย่างที่พูด แนะนำเขาอย่างไรเราก็ควรจะทำได้อย่างนั้น อันนี้ก็เป็นประโยชน์ แนะนำให้เขาทำความเพียรเราก็ต้องทำให้เป็นตัวอย่างให้เขาเห็น ไม่ว่าเราคือครูหรือเป็นผู้ปกครองก็ตาม อันนี้ก็เป็นประโยชน์ที่ผู้สอน ผู้เป็นครูจะได้รับ   ในสมัยพุทธกาล มีพระบางท่านเทศน์ไป สอนไป ไม่ใช่แค่ทำให้ผู้อื่นตรัสรู้เท่านั้น ตัวท่านเองก็พลอยตรัสรู้ไปด้วย บรรลุธรรมขั้นสูงไปด้วย มีประเภทว่าสอนให้ผู้อื่นบรรลุธรรมแต่ตัวเองไม่บรรลุธรรม แต่ว่าก็มีบางท่านสอนไป ๆ ก็เกิดบรรลุธรรมในขณะที่กำลังสอน กำลังบรรยายนั้น อันนี้เรียกว่าทำทั้งประโยชน์ท่านและประโยชน์ตน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราควรจะเข้าถึงให้ได้ เมื่อเราทำประโยชน์ท่านแล้ว ก็อย่าลืมเก็บเกี่ยวประโยชน์ตนให้เกิดขึ้นกับตนด้วย 
7/28/202429 minutes, 14 seconds
Episode Artwork

25670411pm--เติมสติลงไปในทุกนิสัย

11 เม.ย. 67 - เติมสติลงไปในทุกนิสัย : สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่ามองข้าม และเราสามารถที่จะพัฒนาชีวิตหรือคุณภาพจิตเราได้ด้วยการสร้างนิสัยใหม่ กิจวัตรเดิมนั่นแหละ แต่ว่าทำด้วยคุณภาพใหม่ คือทำด้วยความรู้สึกตัว เช่น เมื่อนอนรู้สึกตัวขึ้นมาก็ลุกเลย ไม่ต้องนอนแช่ ลุก ในที่นี้หมายถึง ลุกนั่ง แล้วอาจจะทำความรู้สึกตัว ตามลมหายใจ ยังไม่ต้องหยิบโทรศัพท์มาดู พอลุกก็ลุกด้วยความรู้สึกตัว ไม่หุนหันพลันแล่น แล้วเก็บที่นอน ระหว่างที่เก็บที่นอน พับที่นอน ก็ทำอย่างมีสติ ด้วยความรู้สึกตัว ทำเสร็จเป็นอย่าง ๆ ไม่ใช่ปล่อยค้างเอาไว้ ด้วยความเข้าใจว่า เดี๋ยวก่อนจะก่อนจะออกจากบ้านไปทำงานค่อยมาเก็บที่นอน อันนั้นไม่ทำให้เกิดนิสัยใหม่ที่ทำอะไรให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ทำให้เรามีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือว่าช่วยเสริมสร้างความรู้สึกตัวให้มากขึ้น อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า หวีผม ใส่เสื้อผ้า แม้กระทั่งว่าจะสวมหรือว่าใส่เสื้อด้วยแขนซ้ายหรือแขนขวาก่อน ก็เป็นนิสัย สวมกางเกง จะเริ่มจากขาซ้ายก่อนหรือหรือขาขวาก่อน นี่ก็เป็นนิสัย แต่จะขาซ้ายก่อนหรือขาขวาก่อน แขนซ้ายก่อนหรือแขนขวาก่อน ไม่สำคัญ แต่ขอให้ทำอย่างมีสติ แล้วไม่ต้องคาดหวังว่าต้องมีสติเต็มร้อย แม้ว่าแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็มีค่า มีความหมาย ถ้าหากว่าทำทุกวัน ด้วยความตั้งใจว่าจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมวันละ 1 เปอร์เซ็นต์ ครบปี ตัวเลขมันเยอะ   เอาง่าย ๆ เวลาที่เราใช้ในห้องน้ำ ตลอดทั้งชีวิต ถ้าเราอายุ 75 รวมเวลาที่เราใช้ในห้องน้ำตลอดชีวิต 7 ปีได้ ถ้าเราอยู่ในห้องน้ำอย่างมีสติเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ทุกวัน รวมแล้วจะเยอะแค่ไหน รวมแล้วเกือบปีเลย แต่คนเราถ้าหากว่าทำทุกวัน ๆ จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็น 12 เปอร์เซ็นต์ 13 เปอร์เซ็นต์   เพราะฉะนั้น เวลาเราคิดถึงการเจริญสติ ทำความรู้สึกตัว หรือต้องการทำให้เราเป็นคนที่มีสติ อย่านึกแต่เพียงแค่มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ทำเต็มที่ เสร็จแล้วกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม นิสัยเดิม ๆ อย่างนี้สู้การที่เราอยู่ที่บ้าน แต่ว่าเราพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองด้วยการทำให้กิจวัตรที่ทำเป็นนิสัย สิ่งละอันพันละน้อยดีขึ้นเรื่อย ๆ ใส่สติ ความรู้สึกตัว เติมไปเรื่อย ๆ ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง หรือสร้างความเป็นตัวเราให้ดีกว่าเดิม หรือที่เขาเรียกว่า “ตัวเราในเวอร์ชั่นใหม่” ที่ดีกว่าเดิมได้ 
7/27/202426 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25670410pm--ทุกข์หรือไม่ อยู่ที่ใจ

10 เม.ย. 67 - ทุกข์หรือไม่ อยู่ที่ใจ 
7/26/202426 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25670409pm--ความดีถ้ายึดติด จิตก็ตกได้

9 เม.ย. 67 - ความดีถ้ายึดติด จิตก็ตกได้ : คลิปที่หลวงจีนสวดมนต์แล้วมีหมามากวน มีข้อความหนึ่งพ่วงมากับคลิปนี้ คล้าย ๆ พูดแทนความรู้สึกของหลวงจีนว่า “จะไปนิพพานไม่ได้เพราะหมา 2 ตัวนี้แหละ” ที่จริงไม่ใช่เลย ถ้าจะไปนิพพานไม่ได้เพราะปล่อยวางไม่ได้ต่างหาก ขนาดหมา 2 ตัวนี้ยังทำให้ใจไม่สงบ ไม่สามารถจะมีสติ มีสมาธิกับการสวดมนต์ได้ ไม่ต้องพูดถึงนิพพานแล้ว เพราะว่านิพพานเป็นทางที่ยาวไกล ต้องเจออะไรอีกเยอะ นี่แค่หมา 2 ตัวมาเล่นกัน แล้วถ้าเกิดโดนคนด่า คนนินทา จะยิ่งไม่ว้าวุ่นหงุดหงิดงุ่นง่านยิ่งกว่านี้หรือ   หมา 2 ตัวเล่นยังน่ารักเลย ถ้าไม่ใส่ใจกับมัน หรือว่าเห็นว่ามันก็สนุกของมัน ขนาดทำใจกับหมา 2 ตัวไม่ได้แล้ว จะทำใจอย่างไรกับคำต่อว่าด่าทอเสียดสีวิจารณ์หรือว่าอะไรที่หนักกว่านั้น ที่จริงหมา 2 ตัวนี้มาฝึก ฝึกให้รู้จักปล่อยวาง ให้รู้จักไม่ใส่ใจกับมัน มันจะเล่นก็ช่างมัน แต่ว่าใจอยู่กับการสวดไป ฝึกให้อยู่กับปัจจุบัน ฝึกให้น้อมจิตถึงพระพุทธองค์ พระอมิตาภะก็ได้   ฉะนั้น ถ้าเกิดว่าหลวงจีนคนนั้นเชื่อจริง ๆ ว่า นิพพานไม่ได้เพราะว่าหมา 2 ตัวนี้ แสดงว่าผิดแล้ว ที่จริง นิพพานไม่ได้เพราะยังไม่ปล่อยวาง หรือพูดอีกอย่างคือว่า เรื่องแค่นี้ยังปล่อยวางไม่ได้ ไม่ต้องพูดเรื่องนิพพานแล้ว เอาแค่ว่าอยู่อย่างปกติสุขก็ทำได้ยากแล้ว   เพราะฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติธรรมหรือทำความดีอะไรก็ตาม ต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายว่าทำไปเพื่ออะไร ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ เรื่องการปฏิบัติธรรมแล้ว สาระสำคัญอยู่ที่การวางใจ หรือ การฝึกใจ ไม่ว่ามีอะไรมากระทบใจก็ไม่กระเทือน หรือรู้จักที่จะไม่ใส่ใจ ไม่ถือสา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา นี่แหละเป็นการฝึกขั้นต้นของการปฏิบัติ   ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ จิตใจก็ขุ่นมัวหงุดหงิดได้ง่ายกับอะไรต่ออะไรที่มากระทบ ที่มาเป็นอุปสรรคให้เราไม่สามารถจะทำความดีอย่างที่ต้องการได้ และที่จริงแล้ว เป็นไปเพราะความยึดมั่นในความต้องการ ความยึดมั่นในแบบแผนที่อยู่ในใจเราต่างหากที่ทำให้ใจเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นเลย
7/25/202426 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25670408pm--ไม่ใส่ใจ ก็ไม่ทุกข์

8 เม.ย. 67 - ไม่ใส่ใจ ก็ไม่ทุกข์ : แต่เพราะว่าเรามัวแต่ใส่ใจทุกความคิดทุกอารมณ์ มันคิดอะไรก็หลงเชื่อมัน ความโกรธสั่งอะไรก็คล้อยตามมัน เราก็เลยไม่มีความสงบสุขเสียที การปฏิบัติธรรม หรือการเจริญสติ ก็คือการเลือกที่จะไม่ใส่ใจกับความคิดและอารมณ์เหล่านี้ ไม่ใส่ใจกับอดีตหรืออนาคต แต่ว่าใส่ใจกับปัจจุบัน ใส่ใจกับสิ่งที่กายกำลังทำ จึงรู้กาย แล้วก็ เวลามันมีความคิดอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น พอไม่ใส่ใจมัน จิตมันก็กลับมาสู่ความปกติ ถ้าเราฝึกให้รู้จักที่จะไม่ใส่ใจกับความคิดและอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เป็นกุศล หรืออกุศล แต่ว่าเลือกที่จะใส่ใจกับสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ถึงเวลาที่ไปเจออารมณ์จากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเสียง หรือการกระทำ คำพูด หรือว่าอากาศร้อน อากาศหนาว เราก็สามารถจะเมินเฉย ไม่ใส่ใจ ไม่ถือสามันได้ และเราก็สามารถจะเลือกใส่ใจกับสิ่งที่มีประโยชน์ มีคุณค่า   เรียกว่าสิ่งล่อเร้าเย้ายวนก็ดี หรือสิ่งยั่วยุก็ดี ก็ไม่มีอำนาจเหนือจิตใจเราอีกต่อไป เพราะเราสามารถที่จะไม่ใส่ใจ หรือไม่ถือสา หรือว่าแม้จะเผลอไปใส่ใจกับมัน แต่ก็สามารถจะวางมันได้ หรือปล่อยให้มันผ่านเลยไป 
7/24/202428 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25670407pm--คนมีปัญญาย่อมไม่ถือสา

7 เม.ย. 67 - คนมีปัญญาย่อมไม่ถือสา : คนเราถ้าไม่รู้จักให้อภัยก็น่าสงสาร เพราะว่าความโกรธความเกลียดจะล้นเกินในจิตใจ การให้อภัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถึงแม้การให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา จะเป็นเรื่องยาก แต่การมีชีวิตอยู่โดยมีความโกรธความเกลียดล้นเกินในจิตใจ กลับเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า ชีวิตที่เต็มไปด้วยความโกรธความเกลียดเป็นชีวิตที่อยู่ยาก หลายคนยอมให้อภัย เพราะพวกเขาพบว่าเขาอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้ายังมีความโกรธความเกลียดอยู่ พอให้อภัยจิตใจก็โปร่งโล่ง เบาสบาย หลายคนถึงกับบอกว่า ถ้ารู้แบบนี้ก็ทำไปนานแล้ว การให้อภัยมันดีกับตัวเราเอง ผู้ซึ่งถูกความโกรธความเกลียดเล่นงาน เวลาเรามีความโกรธความเกลียด มันเหมือนกับว่าเรามีแผลที่ใจ เมื่อเรามีแผลที่ใจ เราก็ต้องรู้จักเยียวยารักษาตัวเอง 
7/11/202430 minutes, 14 seconds
Episode Artwork

25670406pm-เยียวยาใจจากความเจ็บปวดในอดีต

6 เม.ย. 67 - เยียวยาใจจากความเจ็บปวดในอดีต : ชดใช้กรรมกับการใช้กรรมให้เป็นประโยชน์ไม่เหมือนกัน คนเราเวลาเจ็บป่วย บางคนก็ป่วยเพราะกรรม ป่วยเพราะชดใช้กรรมก็อาจมี อาจจะเป็นจริง เพราะว่าตอนที่สุขภาพดีก็กินเหล้าสูบบุหรี่จนกระทั่งป่วย อันนี้ถือว่าเป็นการชดใช้กรรม ไม่ใช่กรรมในอดีต แต่เป็นกรรมในปัจจุบัน แต่ว่าเรายังสามารถ “ใช้กรรมให้เป็นประโยชน์” ได้ ใช้ความเจ็บป่วยเป็นประโยชน์ ให้ความเจ็บปวดมันสอนธรรม สอนสัจธรรมให้เห็นว่าสังขารไม่เที่ยง คือให้ความเจ็บป่วยนั้นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต เกิดความกระตือรือร้นที่จะทำความดี ในขณะที่เวลาเหลือน้อยลงไป อันนี้เราใช้กรรมให้เพื่อเป็นประโยชน์ คือใช้กรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการกระทำที่เป็นกุศล ทำให้เกิดความไม่ประมาท ทำให้เกิดความเข้าใจในสัจธรรม ซึ่งการที่เธอได้รับประสบการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด ถ้าหากว่าใช้เป็นประโยชน์มันก็มีคุณ อย่างน้อยก็เอามาเป็นเครื่องฝึก เอามาเป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นความสำคัญของการฝึกจิต ทำยังไงจิตของเราจะหลุดพ้นจากความโกรธ ความเกลียดที่มันฝังใจ ในเมื่อมีความทุกข์ก็พยายามฝึกจิตจนกระทั่งสามารถที่จะหลุดจากความทุกข์ หลุดจากความเจ็บปวดที่ฝังใจได้   หลายคนมีความทุกข์แต่ก็อาศัยความทุกข์นั้นเป็นตัวกระตุ้น เป็นแรงผลักให้เกิดการทำความเพียรในการฝึกจิต จนอยู่เหนือความโกรธ ความเกลียด อยู่เหนือความเจ็บ ความปวด คนเราถ้าไม่เจอทุกข์บางทีก็ไม่สนใจที่จะเข้าหาธรรม หรือว่าปฏิบัติธรรม คนที่เจอทุกข์แล้วหันมาสนใจปฏิบัติธรรมจนกระทั่งหลุดจากทุกข์ได้ อันนี้เรียกว่าใช้กรรมให้เป็นประโยชน์ ซึ่งมีเยอะมาก   ฉะนั้นถ้าหากเข้าใจว่า ที่ทำดีกับแม่เวลานี้มันไม่ใช่เป็นการชดใช้กรรม แต่ก็คือการทำกรรมดี แล้วจะดียิ่งขึ้นถ้าหากว่ารู้จักใช้กรรม หรือความทุกข์ที่ประสบให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถทำได้ เข้าถึงธรรมได้ 
7/10/202429 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25670405pm--การเจริญสติในชีวิตประจำวัน

5 เม.ย. 67 - การเจริญสติในชีวิตประจำวัน
7/9/20241 hour, 1 minute, 13 seconds
Episode Artwork

25670331pm--ของดี ต้องพอดี จึงจะดีจริง

31 มี.ค. 67 - ของดี ต้องพอดี จึงจะดีจริง : พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันนั้น ความเพียร ถ้าเพียรน้อยไปก็เกียจคร้าน แต่ถ้าเพียร (คือขยัน) มากไปก็ฟุ้งซ่าน” ฟุ้งซ่านก็รวมไปถึงความเครียดด้วย ต้องเพียรแต่พอดี พอพระพุทธเจ้าแนะนำเช่นนี้ พระโสณะก็เริ่มปรับ ปรับท่าทีเสียใหม่ ปรับใจเสียใหม่ ความเพียรก็กลับมาสู่ความพอดี ใจก็ไม่ได้คิดแต่จะทำด้วยอาการคร่ำเคร่ง คิดจะเอา จะเอาให้ได้ ใจก็ผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยหรือลืมตัว พอความเพียรปรับให้พอดี ปรากฏว่าการปฏิบัติธรรมของพระโสณะก็เห็นผลทันที ในที่สุดก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ อันนี้เป็นตัวอย่างว่าความเพียรแม้จะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเกินความพอดีไปก็จะไม่ดี   พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนเรื่องความเพียรแต่พอดี ท่านใช้คำว่า วิริยสมตา ความเพียรแต่พอดี อันนี้ไม่เกี่ยวกับทางสายกลาง ทางสายกลางเป็นอันหนึ่ง แต่ความพอดีหมายถึงว่าเป็นเรื่องของปริมาณ ไม่น้อยแล้วก็ไม่มาก เช่น ความสบายไม่มากเกินไป แล้วก็ไม่น้อยเกินไป มีเงินมีทรัพย์ก็ไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป   สิ่งที่ดี ๆ หรือคุณธรรม เช่น ความเพียร ก็เหมือนกัน เราต้องรู้จักความพอดี เมื่อทำความพอดีให้เกิดขึ้นก็จะเกิดผลดี ของดีถ้าเกินความพอดีไปก็กลายเป็นไม่ดี   อันนี้ต่างจากความเข้าใจของคนทั่วไปที่มองว่า อะไรที่ดี ยิ่งมากยิ่งดี แต่ว่าในโลกของความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพอนามัย หรือเรื่องของธรรมะ สุขภาพจิต หรือเรื่องของการปฏิบัติธรรม มีความพอดีของมัน ช่วงแรก ๆ มีมากก็ดี แต่พอถึงจุดหนึ่ง ยิ่งมากยิ่งไม่ดีแล้ว ฉะนั้น ต้องรู้จักหาความพอดี ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติธรรม เราต้องรู้จักความพอดี ถ้าเราหาความพอดีไม่เจอ อาจจะทำให้ ถ้าไม่หย่อน ไม่น้อยเกินไป ก็มากเกินไป ซึ่งไม่ดีทั้งนั้น แม้ว่าจะรู้ว่าทางสายกลางคืออะไร แต่ถ้าหากว่ายังไม่รู้จักความพอดีก็พาหลงทิศหลงทางหรือว่าเข้ารกเข้าพงได้ 
6/19/202428 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25670330pm--ทำความทุกข์ ให้พ้นจิตพ้นใจ

30 มี.ค. 67 - ทำความทุกข์ ให้พ้นจิตพ้นใจ : “เมื่อรู้ทันมัน มันก็ดับไป” อาการที่ดับไปบางทีเราก็เรียกว่าหลุดจากอารมณ์หรือว่าปล่อยวางจากอารมณ์นั้นได้ ปล่อยวางไม่ใช่เรื่องยาก เราสามารถจะปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ แล้วคราวนี้พอเราเห็นความคิดหรือเห็นอารมณ์อยู่เรื่อยๆ เห็นความคิดและอารมณ์อยู่เรื่อยๆ มันจะทำอะไรจิตใจเราได้น้อยลง มันจะเกิดภาวะที่เรียกว่าหลุดจากความทุกข์ หลุดจากอารมณ์   ที่เคยหนักอกหนักใจ มันก็จะไม่หนักอกหนักใจ ที่เคยหงุดหงิด รำคาญ เคียดแค้น จนจิตใจรุ่มร้อน มันก็จะเย็นขึ้น ก็ยังอยู่ที่เดิม ยังเจอกับลูกน้อง หรือว่าเจอกับเพื่อนร่วมงานคนเดิม หรือว่าเจอกับเพื่อนบ้านคนเดิม แต่ว่าใจมันไม่ทุกข์เหมือนก่อนแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องไปจัดการกับคนเหล่านั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องหาทางเอาคนเหล่านั้นให้มันหลุดออกไปจากชีวิต หรือว่าพ้นหูพ้นตา   หลายคนคิดแค่นั้น ก็คือว่าทำยังไงก็ได้ให้มันพ้นหูพ้นตาเรา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ว่าที่จริงเรามีวิธีที่ดีกว่านั้นที่ทำได้ ก็คือว่าทำให้อารมณ์เหล่านั้นมันไม่ครอบงำใจ หรือทำให้อารมณ์ที่เคยทำความทุกข์ให้กับเรามันพ้นไปจากใจของเรา ไม่ใช่พ้นหูพ้นตา แต่ว่าทำให้พ้นจากใจ ซึ่งวิธีนี้ทำได้ง่ายกว่าเยอะ ถ้าเรามีสติ เพราะว่าเราไม่ต้องทำอะไรกับใคร เราก็แค่มาทำให้ถูกต้องกับความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น อันนี้คือสิ่งที่จะช่วยทำให้เรายังคงความปกติสุขอยู่ได้ 
6/18/202427 minutes, 39 seconds
Episode Artwork

25670329pm--กายป่วย แต่ใจไม่ทุกข์

29 มี.ค. 67 - กายป่วย แต่ใจไม่ทุกข์ : แต่พอใจนี้ยอมรับได้ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เพราะไม่กลัวแล้ว จะตายก็ตาย ใจก็สงบ กายก็ค่อยๆ ดีขึ้น ยิ่งถ้าเกิดว่ารู้จักเจริญสตินะ สตินี้มันช่วยทำให้ความตื่นตระหนกมันบรรเทาเบาบางลง แล้วยิ่งถ้ารู้จักเอามาใช้ในการมองพิจารณาความเจ็บความปวดยิ่งมีประโยชน์นะ เวลามันหงุดหงิด โมโห เพราะความเจ็บความปวด เห็นมัน เห็นมันตื่นตระหนก อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนพูดอยู่บ่อยๆ เห็นมันกลัว เห็นมันตื่นตระหนก เห็นมันผลักไส อันนี้เรียกว่า ‘เห็นจิต’ หรือว่าเอามาดูเวทนา เห็นมันปวด เห็นมันปวด พอเห็นมันปวดนี้ มันก็ไม่เกิด ‘ผู้ปวด’ ขึ้นมาแล้ว พอเห็นมันตื่นตระหนก ความเป็น ‘ผู้ตื่นตระหนก’ ก็จะหายไป จิตก็เริ่มกลับมาเป็นปกติ   เห็นมันปวด การผลักไสความปวด หรือ การเข้าไปเป็นผู้ปวด ก็จะเบาบางลง พอไม่เป็นผู้ปวดแล้ว ไอ้ความทุกข์ใจมันก็น้อยลง ฉะนั้นถ้าเราเอาสติมาใช้นะกับใจ กับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้ใจนี้เป็นปกติได้ แล้วมันทำให้ยอมรับ ให้ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจ แม้กระทั่งเวลาใจตื่นตระหนกก็ยอมรับได้ว่า “เออ มันเป็นเช่นนั้นเอง”   บางทีเราไม่เพียงแต่ต้องรู้จักยอมรับความเจ็บความปวดเท่านั้น แต่ต้องยอมรับใจที่มันยังไม่สามารถจะยอมรับความเจ็บปวดได้ บางทีใจมันตื่นตระหนก นักปฏิบัติหลายคนก็ผิดหวัง ทำไมใจเราเป็นอย่างนี้ เราปฏิบัติมาตั้งนาน ทำไมใจเรายังตื่นตระหนก ทำไมใจเรายังว้าวุ่นฟุ้งซ่าน ทำไมใจของเรายังกระวนกระวาย ถ้ายอมรับอาการของใจไม่ได้ ก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่   แต่ถ้ายอมรับได้ว่า เออ ใจมันเป็นอย่างนี้ คุมไม่ได้ ความทุกข์ก็น้อยลง ความผิดหวังในตัวเองหรือในการปฏิบัติก็จะน้อยลง แล้วมันก็ทำให้ทุกข์น้อยลงไปด้วย ฉะนั้นการรู้จักยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น เริ่มแต่ความเจ็บ ความปวด หรือยอมรับอาการตื่นตระหนกตกใจ ยอมรับอาการที่ใจมันไม่เป็นปกติ อันนี้จะช่วยทำให้ใจนี้กลับมาเป็นปกติ หรืออยู่กับความเจ็บความปวดได้ พูดง่ายๆ ก็คือว่า กายป่วย แต่ว่าใจไม่ทุกข์ 
6/17/202427 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25670328pm--สัจธรรมต้องคู่กับจริยธรรม

28 มี.ค. 67 - สัจธรรมต้องคู่กับจริยธรรม : ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะเข้าถึงสัจธรรมความจริง ก็อย่าทิ้งธรรมะในระดับจริยธรรม ต้องฝึกด้วย จะเป็นบันได เป็นพื้นฐานให้เข้าถึงความจริงขั้นสูง และเช่นเดียวกัน เวลาเราทำความดีหรือปฏิบัติธรรมในระดับจริยธรรม ก็จำเป็นที่เราจะต้องมีความเข้าใจเรื่องสัจธรรมความจริงด้วย เพราะไม่อย่างนั้นเราก็จะท้อในการทำความดี ทำความดีไม่ตลอด เพราะฉะนั้น จริยธรรมกับสัจธรรม จึงเป็นของคู่กัน สัจธรรมเป็นตัวทำให้การปฏิบัติระดับจริยธรรมหรือการทำความดีเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และนำความสุขสวัสดีมาให้กับเราเป็นลำดับ   ขณะเดียวกัน เมื่อจะปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงสัจธรรมขั้นสูงแล้ว การปฏิบัติระดับจริยธรรมก็อย่าไปมอง อย่าไปดูแคลนว่าเป็นเรื่องต่ำ เพราะอันที่จริงก็เป็นพื้นฐานที่จะช่วยรองรับให้จิตใจของเราพัฒนา จนกระทั่งเข้าถึงภาวะที่ไม่มีตัวไม่มีตน หรือไม่มีความยึดถือในตัวตนได้ เรียกว่าเข้าสู่ภาวะที่เป็นปรมัตถ์ หรือเข้าใจเรื่องปรมัตถ์ได้อย่างแท้จริงซึ่งก็ทำให้พัฒนาไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ 
6/16/202426 minutes, 43 seconds
Episode Artwork

25670327pm--ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ

27 มี.ค. 67 - ความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ : การที่คนเรารู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เป็นเรื่องดี แต่ถ้าไปคาดหวังกับสิ่งที่ควรอยากให้สิ่งต่างๆ เป็นไปยังที่ควรจะเป็น แต่ไม่สามารถที่จะยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ตรงนี้มันเกิดปัญหาขึ้นมา เกิดความทุกข์ แล้วสุดท้ายมันก็ไปคาดหวังกับตัวเองด้วย ไม่ได้คาดหวังคนอื่นอย่างเดียว คนที่มาเจริญสติ ปฏิบัติที่นี่หลายคน เขาก็รู้ ว่าความสงบเป็นสิ่งที่ดี แต่พอมาปฏิบัติก็คาดหวังว่าจิตจะต้องสงบ ไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน แต่พอมีความคิดขึ้นมาก็ยอมรับไม่ได้ รู้สึกหงุดหงิด ไม่พอใจตัวเอง หรือบางครั้งมันมีจิตคิดในทางลบต่อผู้มีพระคุณ   หรือว่ามีอารมณ์บางอย่างซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้น เช่น ความโลภ ความโกรธ ราคะ พอมันเกิดขึ้นมาก็ทำใจยอมรับไม่ได้ เพราะมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ความคิดแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับเรา มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่สามารถยอมรับตัวเองอย่างที่เป็นได้   แค่มีความฟุ้ง ความคิดมันผุดขึ้นมาเยอะแยะ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้นเลย เราอุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งหลายวันแล้ว ทำไมยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ความจริงกับความคาดหวังมันสวนทางกัน ในเมื่อยอมรับความจริงหรือความเป็นจริงไม่ได้ มันก็เลยเกิดความทุกข์ ทั้งที่ถ้าเกิดยอมรับความเป็นจริงได้ มันเกิดขึ้นก็แค่ยอมรับแล้วก็แค่รู้ แค่รู้เฉย ๆ การเจริญสติท่านก็สอนให้แค่รู้เฉย ๆ   หลวงพ่อคำเขียนเคยบอกว่า คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง บางคนพอมีความคิดไม่ดีเกิดขึ้นกับคนรอบข้าง กับพ่อแม่ กับครูบาอาจารย์ เป็นทุกข์มากเลย อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพราะความเป็นจริงบางครั้งมันก็ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็น แต่เราก็ต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ เพราะถ้าไม่ยอมรับ เราก็จะทุกข์มาก 
6/15/202428 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670326pm--ปล่อยเมื่อไหร่ ทุกข์หลุดเมื่อนั้น

26 มี.ค. 67 - ปล่อยเมื่อไหร่ ทุกข์หลุดเมื่อนั้น : ที่จริงแล้ว เพียงแค่ลิงคลายมือออก มันก็เป็นอิสระแล้ว เพราะพอคลายมือออกมันก็จะดึงมือออกมาจากช่องเล็ก ๆ นั้นได้ แต่ลิงไม่ยอมคลาย มันกำแน่น เพราะอะไร เพราะมันหวงถั่วในมือของมัน จึงถูกจับได้ในที่สุดจะว่าไปแล้ว ชะตากรรมของลิงเหล่านี้ไม่ได้ต่างจากคนเราเลย จริงอยู่คนเราอาจไม่ได้กำอะไรที่มือ แต่ใจนั้นกำไว้แน่น พอกำไว้แน่น ความทุกข์จึงตามมา ที่จริงเพียงแค่คลายหรือปล่อย เราก็เป็นอิสระจากทุกข์ได้ แต่คนเราส่วนใหญ่เหมือนกับลิง คือ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย กำไว้อย่างนั้น ไม่ได้กำที่มือ แต่กำที่ใจ เรียกว่ายึดติด ความทุกข์ของคนเราเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เกิดจากความยึดติด เป็นเพราะใจเรากำไว้ไม่ยอมปล่อย ทุกข์กายนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ สารพัด เช่น อากาศร้อน อากาศหนาว เชื้อโรค อาหารเป็นพิษ มลภาวะ หรือภัยธรรมชาติ หรือมีคนมาทำร้าย แต่ถ้าเป็นทุกข์ใจแล้ว สาเหตุมีอยู่ประการเดียว ถ้าสาวไปให้ถึงที่สุด ก็คือความยึดติด   หลวงพ่อชา สุภทฺโท สรุปไว้ดีมาก ท่านว่า “ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยืดเพราะอยาก ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหลุด ทุกข์หยุดเพราะปล่อย” คนเราก็เหมือนกับลิง ถ้าลิงเพียงแค่คลายมือ ปล่อยถั่ว มันก็เป็นอิสระได้ แต่เพราะคนเราไม่ยอมปล่อย ทั้งที่สิ่งที่ยึดเอาไว้นั้นบางครั้งเป็นอดีตไปแล้ว 
6/14/202425 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670325pm--ความร้อนสอนธรรม

25 มี.ค. 67 - ความร้อนสอนธรรม : ความรู้สึกว่าร้อนเป็นเวทนา ในยามนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ก็คือทุกขเวทนา แต่ถ้าเกิดใจบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” อันนี้มันเจือไปด้วยความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ตรงนี้เป็นสังขารแล้ว เวทนาอย่างเดียวเราจะมองว่าเป็นสัญญาก็ได้ เวทนาก็ได้ สังขารก็ได้ มันสำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่าเวลาเรารู้สึกร้อน แล้วมันไม่ใช่แค่รู้สึกร้อน แต่ใจมันบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” ตรงนี้มันแปลว่าไม่ใช่กายที่ร้อนอย่างเดียว ใจก็ร้อน ไม่ใช่กายที่ทุกข์อย่างเดียว ใจก็ทุกข์ด้วย แล้วถ้าเราปล่อยให้ใจทุกข์ มันก็เหมือนกับว่าทุกข์ 2 ชั้น หรือว่าร้อน 2 ต่อ ร้อนกายแล้วก็ร้อนใจ ถ้าร้อนแล้วมันทำให้ทุกข์กาย แล้วก็ทุกข์ใจตามไปด้วย   ในเมื่อจะร้อนทั้งที ก็ให้มันร้อนอย่างเดียวคือร้อนกายแต่ว่าใจอย่าร้อน ในเมื่อมันทุกข์ ก็ให้ทุกข์แค่กายแต่ว่าใจอย่าทุกข์ แต่คนส่วนใหญ่ปล่อยให้ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ แทนที่จะรู้สึกว่าร้อนเท่านั้น ใจมันก็บ่นว่าร้อน ร้อน มีความหงุดหงิด มีความไม่พอใจ   เราเห็นไหม เห็นใจที่มันบ่นไหม เห็นใจที่มันหงุดหงิดไหม เห็นใจที่มันโวยวายไหม ถ้าไม่เห็นนี้ขาดทุน เพราะถ้าไม่เห็น มันก็ทุกข์ 2 ต่อ ทุกข์กายด้วย ทุกข์ใจด้วย ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ และถ้าไม่เห็น ไม่เห็นว่าใจมันบ่น ใจมันโวยวายตีโพยตีพาย นอกจากจะแยกไม่ออกระหว่างสัญญา เวทนา และสังขาร ที่สำคัญก็คือ กลายเป็นทุกข์ฟรี ๆ 
6/13/202425 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25670323pm--ของดีอยู่ข้างหน้า อย่ามองข้าม

23 มี.ค. 67 - ของดีอยู่ข้างหน้า อย่ามองข้าม : ที่จริงไม่ใช่เฉพาะสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในอดีต สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตเราก็ต้องรู้จักปล่อย รู้จักวางบ้าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นตัวขัดขวางการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างเช่นปฏิบัติธรรม เมื่อวานนี้เราปฏิบัติได้ดีมากใจสงบ มันรู้สึกตัวมากเลย แล้วเราก็เพลินหรือว่าเกิดความติดใจในภาวะอารมณ์แบบนั้น อยากให้มันเกิดขึ้นอีกในวันนี้ แต่พอทำวันนี้แล้วมันไม่ได้อย่างที่ เหมือนเมื่อวาน ก็เกิดความหงุดหงิดเกิดความไม่สบายใจ เกิดความไม่พอใจ บางคนทุกข์มากเลย ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไร แต่เป็นเพราะว่าไปติดใจกับอารมณ์การปฏิบัติของเมื่อวาน แล้วก็อยากให้มันเกิดขึ้นในวันนี้ ความอยากให้มันเกิดขึ้นวันนี้อย่างที่เป็นเมื่อวาน มันก็แสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันแล้ว ถ้ายังอยู่กับปัจจุบันมันก็ต้องวางให้หมด เมื่อวานนี้เป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีก็เป็นเรื่องของเมื่อวาน วันนี้เราจะอยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วเราก็จะพบว่าถ้าเราวางเหตุการณ์ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้ 
6/12/202426 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25670322pm-จิตที่ฝึกไว้ดี มีความสุขเป็นรางวัล

22 มี.ค. 67 - จิตที่ฝึกไว้ดี มีความสุขเป็นรางวัล : ปกติเราชอบมองออกไปข้างนอก แล้วเราส่งจิตออกนอก ซึ่งก็ทำให้เราเผลอปล่อยให้อารมณ์ต่างๆ เล่นงานจิตใจ เผาลนจิตใจด้วยความโกรธ กรีดแทงใจด้วยความเกลียด หรือหนักอกหนักใจเพราะแบกโน่นแบกนี่ เพราะเราไม่รู้จักมีสติเห็นใจของตัว เพราะมัวแต่ส่งออกนอก เราต้องหันกลับมาดูใจของเราอยู่เสมอซึ่งจะทำได้นี้มันก็ต้องทำเป็นนิสัย แล้วนิสัยจะเกิดขึ้นได้ต้องทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ และไม่ใช่แค่ปฏิบัติที่นี่ กลับไปบ้านเราก็ปฏิบัติได้ เช่น เวลาเก็บที่นอน อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า แทนที่จะปล่อยใจลอยคิดโน่นคิดนี่ ก็กลับมารู้สึกตัว หรือว่าฝึกใจให้เห็นความคิดที่มันเกิดขึ้น ขณะที่ทำนั่นทำนี่ รู้แล้วก็วาง รู้แล้วก็วาง หมายถึงรู้ความคิดว่ามันเผลอคิดไป รู้แล้วก็วาง วาง ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ แม้กระทั่งเวลากินข้าว เราก็มีสติกับการกินข้าว ไม่ใช่ปากเคี้ยวแต่ใจไม่รู้ คิดไปโน่นคิดไปนี่ แต่ถึงคิดไปก็พาใจกลับมาบ่อยๆ   อันนี้จะเป็นการสร้างนิสัยใหม่ที่จะทำให้เรานี้มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ แล้วก็จะช่วยให้อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันเล่นงานจิตใจ สร้างความทุกข์ให้กับจิตใจเราได้น้อยลง แล้วตรงนี้ที่มันจะช่วยให้เรารู้จักสลัดความคิด สลัดอารมณ์ หรือปล่อยวางอารมณ์ ปล่อยวางความทุกข์ออกไปจากใจได้เร็ว   ฉะนั้นถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็เรียกว่าเรามีจิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว และอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส “จิตที่ฝึกไว้ดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้” หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่พาเอาทุกข์มาทับถมใจของเรา ฝึกจิตเอาไว้ให้ดีก็จะมีความสุขหรือความปกติเป็นรางวัล 
6/11/202428 minutes, 8 seconds
Episode Artwork

25670321pm--มองไม่เป็น ก็เป็นทุกข์

21 มี.ค. 67 - มองไม่เป็น ก็เป็นทุกข์ 
6/9/202426 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25670315pm-- รักษาใจให้ไกลทุกข์

15 มี.ค. 67 - รักษาใจให้ไกลทุกข์ 
6/8/202459 minutes, 24 seconds
Episode Artwork

25670313pm--เสียคนเพราะหลงตัวกู

13 มี.ค. 67 - เสียคนเพราะหลงตัวกู : การลดความยึดว่าเป็นของกูและตัวกู มันทำได้เยอะเลย แม้กระทั่งการให้ทาน การสละสิ่งของที่เรารัก สิ่งของที่มีค่า ก็เป็นการลดความยึดในของกู หรือการทำใจเป็นกลาง เวลาความคิดของตนไม่มีคนเห็นด้วย เวลาความคิดที่เราพูดไปมีคนแย้ง ก็ถือว่าดี ถือว่ามันได้มาช่วยขัดเกลาความยึดมั่นในของกู สังเกตใจของตัวไปด้วย เวลาคนเขาแย้งความเห็นของเรา ใจมันกระเพื่อม ใจมันไม่พอใจหรือเปล่า อันนี้แสดงว่าเรายังมีความยึดในความคิดความเห็นอยู่ เรียกว่าที่ทิฏฐุปาทาน ยึดในสิ่งของทรัพย์สมบัติ เรียกว่ากามุปาทาน ถ้ายึดในตัวกู หรือยึดในความเชื่อว่ามีตัวกู หรือความยึดมั่นว่าตัวกู เรียกว่าอัตตวาทุปาทาน ตัวนี้ไถ่ถอนยากที่สุด แล้วถ้าเราไม่ลดมัน นอกจากเราจะไปสร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่น อย่างตัวอย่างที่เล่ามา ถึงขั้นไปทำร้ายคนที่เรารัก หรือคนที่เราไม่รู้จัก   บางทีเราเองนั่นแหละจะทุกข์เอง ทุกข์เพราะยึดอะไรต่ออะไรว่าเป็นของกู ยึดว่าความทุกข์เป็นกู ยึดว่าความทุกข์เป็นของกู สิ่งที่ไม่ดี ความโกรธ ความเกลียด ความเจ็บความปวดนี่ไม่ดี แต่ทำไมเราไปยึดว่าเป็นของกู ความโกรธเป็นกู ความปวดเป็นของกู แล้วยิ่งยึดว่าเป็นของกู หรือเกิดกูผู้ปวดขึ้นมา เกิดกูผู้ทุกข์ขึ้นมา มันยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย 
6/7/202427 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25670310pm--อย่าปล่อยให้เสียงในหัวรบกวนใจ

10 มี.ค. 67 - อย่าปล่อยให้เสียงในหัวรบกวนใจ : ปัญหาของจำนวนมากคือ พอมาพบธรรมะ บางทีก็ ติดดี ติดดีก็เลยยอมรับไม่ได้ว่า สมัยก่อน ตอนที่ยังเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น เราไม่มีศีล เราไม่มีธรรม รู้สึกละอายตัวเอง จนกระทั่งเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา อันนี้ไม่ใช่เป็นโทษของการมีธรรมะ แต่เป็นเพราะติดดีมากกว่า วางใจไม่เป็น ถ้าวางใจเป็นมันก็จะไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับตัวเองสมัยที่ยังเป็นหนุ่ม ก็ถือว่า เออ เรายังไม่มีประสบการณ์ เรายังอ่อนต่อโลก เราก็เลยพลั้งเผลอไป แต่ตอนนี้เราไม่ใช่แล้ว เราพบว่าอะไรเป็นคุณค่าของชีวิตแล้ว ก็น่าจะยินดีที่เรามืดมา สว่างไป ไม่ใช่พอสว่างไปแล้วก็มาโทษว่าทำไมตอนเด็กมันมืดอย่างนั้น น่าจะยินดีที่ตอนนี้เราพบทางสว่างแล้ว   ถ้าเราวางใจให้เป็น คำว่า "ไม่น่าจะ" "ไม่น่าเลย" หรือ "น่าจะ" มันจะไม่รบกวนจิตใจเรา เราจะไม่เอาคำนี้มาใช้ในทางที่ผิด คือเอามาใช้กับเหตุการณ์ในอดีต แต่เราจะเอามาใช้กับสิ่งที่เราจะทำในวันข้างหน้า หรือกำลังจะทำในวันนี้ต่างหาก และนี่คือสิ่งที่ควรทำ 
5/26/202427 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25670309pm--มงคลสูงสูดของชีวิต

9 มี.ค. 67 - มงคลสูงสูดของชีวิต : เมื่อเจอโลกธรรม จิตใจไม่หวั่นไหว มันทำได้ ที่จริงแล้วไม่ใช่โลกธรรมฝ่ายลบ โลกธรรมฝ่ายบวกก็เหมือนกัน เมื่อมันเกิดขึ้นก็อย่าไปเพลิดเพลินยินดีกับมัน ใครชมก็อย่าไปเคลิ้มคล้อย เวลาได้อะไรก็อย่าไปหลงใหลเพลิดเพลิน เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่เที่ยง คำชมเมื่อสูญไป หรือมีคำด่ามาแทนที่ ถ้าเราดีใจในคำชม เราก็ทุกข์ในคำด่าว่า ถ้าเราเพลินในการมี ถึงเวลาเสีย เราก็ทุกข์ ถ้าจะให้จิตไม่หวั่นไหวเมื่อโลกธรรมฝ่ายลบ ก็อย่าไปยินดีเมื่อเจอโลกธรรมฝ่ายบวก เมื่อไม่ยินดีในโลกธรรมฝ่ายบวก ถ้ามันเปลี่ยนเป็นโลกธรรมฝ่ายลบ มันก็ไม่เกิดความยินร้าย นี่คือสิ่งที่เราฝึกได้ในชีวิตประจำวัน   ข้อสำคัญก็คือว่า เราต้องเอาสิ่งนี้เป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต จิตของผู้ใดเมื่อโลกธรรมถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว เป็นจิตไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลส เป็นจิตเกษมศานต์ มงคลสูงสุดประการสุดท้ายควรจะเป็นจุดหมายสำคัญของชีวิต แล้วก็เป็นจุดหมายสำคัญของการปฏิบัติของเรา   ถ้ายังหวั่นไหวใจกระเพื่อมเพราะเจอโลกธรรมฝ่ายลบ แสดงว่าเรายังต้องฝึกต่อไป อย่าไปโทษคนนั้นคนนี้ แต่ให้รู้ว่า เป็นเพราะเรายังปฏิบัติได้ไม่ก้าวหน้าพอ แค่นี้มันก็ช่วยทำให้เราเกิดความเพียรในการปฏิบัติต่อไป แต่ถ้าเราไปโทษคนนั้นคนนี้ เราก็ไปไม่ถึงไหน 
5/25/202428 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25670308pm--ใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่า

8 มี.ค. 67 - ใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้มค่า : ถ้าคนเราตระหนักว่า เวลาเราเหลือน้อย เราก็จะเห็นความสำคัญของการที่ไม่ไปเสียเวลามากกับเรื่องราวต่างๆ ที่มันไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว ซึ่งแต่ก่อนตอนที่เรายังหนุ่มยังสาว เราก็จะพลอยหงุดหงิดหัวเสียกับมัน รถติดบ้าง ซื้อของไม่ได้ตามหน้าปกบ้าง หรือว่าไปกินอาหารแล้วมันไม่อร่อยสมราคาบ้าง แล้วมาหงุดหงิดหัวเสีย หรือใครมาส่งเสียงดัง เช่น เพื่อนบ้าน ก็ไปทะเลาะเบาะแว้งกับเขา แล้วก็ไปหงุดหงิดหัวเสียจนนอนไม่หลับ นี่คือการปล่อยเวลาให้สูญไปอย่างไม่คุ้มค่า ถ้าในเมื่อเราต้องการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า มันก็ควรรู้จักปล่อยวางเรื่องพวกนี้ ไม่ยอมเสียเวลาที่มีน้อยลงไปทุกทีกับเรื่องพวกนี้ แต่ใช้เวลาในการทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล ใช้เวลาในการเปิดใจรับความสุข ชื่นชมสิ่งดีๆ ที่มีอยู่ รวมทั้งใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ด้วยการทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศล ปฏิบัติธรรม ฝึกจิตฝึกใจ ซึ่งจะช่วยทำให้เรามีความสุขที่แท้จริง ไม่ใช่เฉพาะวันหน้าแต่รวมถึงวันนี้ด้วย   เพราะถ้าเราฝึกปฏิบัติธรรมได้ดี เราจะปล่อยวางเรื่องไม่เป็นเรื่องได้ง่าย ถึงแม้จะไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน เราก็มีความสุข อาจจะมีความสุขกว่าคนที่ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ไปเที่ยวตามที่ต่างๆ แต่ก็หัวเสียกลับมา เพราะไม่รู้จักปล่อยหรือไม่รู้จักวางใจ แต่ถึงแม้เราจะอยู่บ้าน แต่เราก็มีความสุขได้เพราะรู้จักวางใจ อันนี้เรียกว่า “ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า” เป็นการใช้ชีวิตที่ดีที่สุด ดีกว่าการ “ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า” อย่างที่พูดๆ กัน 
5/24/202429 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670307pm--ทำใจให้คุ้นกับความรู้สึกตัว

7 มี.ค. 67 - ทำใจให้คุ้นกับความรู้สึกตัว 
5/23/202428 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670306pm--สร้างสมดุลให้ชีวิตด้วยสติ

6 มี.ค. 67 - สร้างสมดุลให้ชีวิตด้วยสติ : แต่ถ้ามีสติ เจริญสติมันก็จะทำให้เกิดความสมดุล เวลาทำประโยชน์ตนมากเกินไป มันก็จะทักท้วงว่าให้รู้จักนึกถึงผู้อื่นบ้าง หรือเวลาทำอะไรเพื่อผู้อื่นก็มีสติ ไม่ทิ้งการรู้จักรักษาใจให้สงบ รู้จักการปล่อย การวาง อันนี้เรียกว่ามีความสมดุลระหว่างการทำกิจและการทำจิต ถ้าอยากให้ชีวิตเรามีความสมดุลในหลายระดับอย่างที่ว่ามานี้ มันไม่ต้องทำอะไรมากมาย แค่เจริญสติ ให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ อย่างน้อย ๆ มันก็จะเกิดความเฉลียวใจว่าตอนนี้ชีวิตกำลังขาดความสมดุลไปแล้ว แล้วต้องกลับมาให้เกิดความสมดุลกับสิ่งที่ขาดไป   เพราะฉะนั้นการเจริญสตินั้นมันจึงเป็นการปฏิบัติที่คุ้มค่ามาก ทำอย่างเดียวแต่ได้ประโยชน์หลายอย่างทีเดียว แม้จะไม่ใช่ประโยชน์ที่เป็นตัวเงินทอง แต่มันก็ทำให้ชีวิตเราสามารถที่จะเดินหน้าไปสู่จุดหมายที่พึงประสงค์ได้ โดยเฉพาะจุดหมายที่เป็นกุศล 
5/22/202429 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25670305pm--แค่ไม่ยุ่งก็ไม่ทุกข์

5 มี.ค. 67 - แค่ไม่ยุ่งก็ไม่ทุกข์ 
5/21/202428 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670304pm--เจออะไรก็อย่าลืมดูใจตน

4 มี.ค. 67 - เจออะไรก็อย่าลืมดูใจตน : ดังนั้นธรรมะสำคัญตรงนี้ ทำงานอะไรก็ตาม นอกจากความขยันหมั่นเพียร ความซื่อสัตย์สุจริต จะต้องมีสติ ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อให้เราทำงานได้ดี ต่อเนื่อง ไม่เหยาะแหยะ แต่ยังช่วยทำให้เราสามารถเกี่ยวข้องกับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านาย เกี่ยวข้องด้วยใจที่ไม่ทุกข์ ทำให้เราสามารถที่ประพฤติตนได้อย่างถูกต้อง ใครเขาจะเป็นอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เอาการกระทำของเขามาบั่นทอน ไม่ใช่แค่บั่นทอนความสุขของเรา แต่บั่นทอนความตั้งใจที่จะทำหน้าที่ของเราให้ถูก ให้ดี ซึ่งถ้าหากว่าเราจะทำได้ก็อาจจะต้องบอกเพื่อนๆ ว่าอย่าไปท้อแท้ เมื่อเจอเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายแบบนี้ เขาทำไม่ถูกก็เป็นเรื่องของเขา ข้อสำคัญก็คือเราต้องทำให้ถูก เขาไม่รับผิดชอบก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราก็ยังรับผิดชอบต่อไป ไม่ใช่ว่าพอเขาทำไม่ถูก เราก็เลยท้อแท้ แล้วก็เลยบกพร่องในหน้าที่ ปล่อยปละละเลย   ที่จริงอันนี้มันเป็นหน้าที่ที่จำเป็น แม้กระทั่งกับความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วย ระหว่างพ่อแม่ลูก พ่อแม่จะเป็นอย่างไร บกพร่องในหน้าที่อย่างไร แต่ลูกนี้ก็ไม่คับแค้น หรือไม่ละเลยในการที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง พ่อไม่ทำหน้าที่ ติดเหล้า แม่เล่นการพนัน แต่ลูกก็ยังมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่ใช่พอเขาทำตัวไม่ถูกต้อง ลูกก็เลยเลิกเคารพนับถือพ่อแม่ ไม่สนใจที่จะแสดงความกตัญญูรู้คุณ อันนี้ก็ไม่ถูก 
5/20/202425 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25670227pm--สุขสุดท้ายที่ปลายทาง

27 ก.พ. 67 - สุขสุดท้ายที่ปลายทาง : เราทุกคนรู้ว่าสักวันหนึ่งตนเองต้องตาย แต่ส่วนใหญ่แล้วยากที่จะทำใจยอมรับได้ มองเห็นความตายเป็นสิ่งเลวร้ายน่ากลัว จึงมีชีวิตเหมือนคนลืมตาย พยายามทำตัวให้วุ่น ทำใจไม่ให้ว่าง จะได้ไม่ต้องนึกถึงความตาย แต่ในที่สุดก็หนีความตายไม่พ้น แต่ก่อนจะถึงตรงนั้นก็ต้องประสบกับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเมื่อรู้ว่าความตายมาประชิดตัว เช่น พบว่าตนเองเป็นโรคร้ายที่รักษาไม่ได้ ผลก็คืออยู่เหมือนตาย หรือรู้สึกตายทั้งเป็น เพราะไม่เคยเตรียมใจไว้เลย ครั้นถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไป ก็มีอาการหลงตาย คือตายอย่างทุรนทุราย เป็นที่น่าเวทนาอย่างยิ่ง ในเมื่อเราต้องตายอย่างแน่นอน ไม่มีอะไรดีกว่าการยอมรับความตายและเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับความตายทุกขณะ ท่าทีดังกล่าวไม่เพียงช่วยให้เราเผชิญความตายได้ด้วยใจสงบเท่านั้น หากยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเราด้วย ทำให้ใฝ่ในการทำความดี หลีกหนีความชั่ว ไม่หลงมัวเมาในทรัพย์สมบัติและเกียรติยศชื่อเสียง เพราะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของชั่วคราว ไม่สามารถตามติดตัวไปได้เวลาตาย อีกทั้งไม่ช่วยให้จิตใจสงบเย็นได้เลยเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง การระลึกถึงความตายอยู่เสมอทำให้เราคลายความยึดติดทั้งสิ่งที่น่ายินดีและสิ่งที่ชวนยินร้าย (เช่น ความสูญเสีย ความบาดหมาง) จึงช่วยให้เรามีชีวิตที่ผาสุก โปร่งเบา และสงบเย็น กล่าวอีกนัยหนึ่งหากเรารู้วิธีตายดี ก็ย่อมรู้ว่าจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร ในทางกลับกันการมีชีวิตที่ดีย่อมช่วยให้เราตายดีในที่สุด ชีวิตที่ผาสุกกับความตายที่สงบ หาได้แยกจากกันไม่ 
5/19/20241 hour, 10 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670224pm--คำสอนเพื่อชีวิตอันประเสริฐ

24 ก.พ. 67 - คำสอนเพื่อชีวิตอันประเสริฐ : เดี๋ยวนี้เขามีหนังสือพูดถึงฮาวทู (How to) มากมาย ฮาวทูประสบความสำเร็จ แต่ว่าหนังสือประเภทที่ว่าฮาวทูในยามล้มเหลวไม่ค่อยพูดถึง ฮาวทูให้ชีวิตมีแต่ไต่สู่ความสำเร็จพูดกันเยอะ แต่ไม่ได้พูดถึงเวลาไม่สำเร็จจะรักษาใจอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนใน “การทำจิตให้ยิ่ง” เราต้องรู้จักฝึกจิตให้สามารถยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจ สิ่งที่ไม่เป็นไปดั่งใจให้ได้ เพราะคือสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ก็คือสาระสำคัญของโอวาทปาติโมกข์อย่างที่อาตมาได้กล่าวไว้ นั่นก็คือแผนที่สู่ชีวิตอันประเสริฐ หรือว่าเป็นคำสอนเกี่ยวกับชีวิตอันประเสริฐ   ถ้าเราอยากจะมีชีวิตที่ประเสริฐ ก็ต้องทำความเข้าใจ ธรรมทั้ง 6 ประการในโอวาทปาฎิโมกข์ โดยเฉพาะข้อสุดท้ายแล้วก็นำมาปฏิบัติในชีวิตจริง เวลาเจอสิ่งที่ถูกใจก็ไม่ได้ดีใจมาก เพราะว่าเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจก็จะไม่ได้เสียใจ หรือปล่อยจิตให้ตก   วันนี้เราก็จะมาเวียนเทียนหลังจากการฟังธรรม เวียนเทียนที่วันนี้ เราจะเวียนเทียนด้วยกล้าไม้จะไม่ได้เวียนเทียนด้วยดอกไม้ธูปเทียนเหมือนก่อน เพราะว่าอยากจะให้เราได้ไม่เพียงแต่ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า และพระรัตนตรัย แต่ก็ให้สำนึกในบุญคุณของต้นไม้   เพราะว่าต้นไม้นี้มีส่วนในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์นี้เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทั้งในอดีตแล้วก็ในอนาคต ต้นมะม่วง ต้นมะพร้าว ต้นมะเดื่อ ต้นประดู่ ต้นสน หรือว่าต้นกากระทิง ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เคยเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าในอดีตทรงประทับในคืนก่อนการตรัสรู้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ รวมทั้งพระศรีอาริย์ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตก็มีการพยากรณ์ว่า พระองค์จะตรัสรู้ใต้ต้นกากระทิง   ต้นไม้นี้มีความสำคัญมากต่อการตรัสรู้ ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าในอดีตเท่านั้น รวมทั้งพระอรหันต์จำนวนไม่น้อย เพราะฉะนั้นเมื่อเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็ขอให้ความระลึกถึงบุญคุณของต้นไม้ด้วย 
5/18/202439 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670223pm--เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์

23 ก.พ. 67 - เจอทุกข์แต่ใจไม่ทุกข์ 
5/17/202427 minutes, 10 seconds
Episode Artwork

25670222pm--อย่าดูแคลนความเพียร

22 ก.พ. 67 - อย่าดูแคลนความเพียร : แล้วมันไม่ใช่แค่เห็นความคิด แต่มันรู้จักทักท้วงความคิดด้วย อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดไว้ หน้าที่ของสติอันหนึ่ง คือ การทักท้วงความคิด ไม่ถูกความคิดหลอก ไม่หลงเชื่อความคิดไปอย่างตะพึดตะพือ และไม่ใช่แค่เห็นความคิดอย่างเดียว เห็นความทุกข์ที่เกาะกุมใจ จนกระทั่งสามารถสลัดมันหลุดออกไปได้ เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งไม่ไปข้องแวะกับมัน ฉะนั้นถ้าเราไม่ไปข้องแวะกับมัน มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกับมีไฟ มีกองไฟกองใหญ่นี้ถ้าเราไม่ไปกระโจนเข้าไปอยู่กลางกองไฟ เราก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน กองไฟมีอยู่แต่เราอยู่ห่างมัน เราก็ไม่เดือดร้อนอะไร ไม่ได้แปลว่าต้องไม่มีกองไฟแล้วถึงจะไม่ทุกข์ไม่ร้อน มีก็ได้แต่ถ้าหากว่าเราอยู่ห่างจากมัน ก็ไม่ทุกข์ร้อนแต่อย่างใด   อะไรทำให้ใจอยู่ห่างจากความโกรธ ความทุกข์ เหล่านั้นได้ ก็คือสติ ทำให้เกิดระยะห่าง ไม่ใช่ระยะห่างทางสังคมอย่างที่เรารู้จักในช่วงโควิด แต่มันเป็นระยะห่างทางจิตใจซึ่งเราจำเป็นต้องมี แต่จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีสติ มีความรู้สึกตัว   การมีสติ การมีความรู้สึกตัว จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องเกิดจากการปฏิบัติบ่อยๆ ปฏิบัติซ้ำๆ ปฏิบัติไม่หยุด แม้จะได้ผลทีละนิดทีละหน่อย ถ้าเราไม่ไปดูถูกผลเล็กผลน้อยนั้น ทำความเพียรไม่หยุด มันก็จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน 
5/16/202429 minutes, 12 seconds
Episode Artwork

25670221pm--สร้างพื้นที่สงบเย็นให้ชีวิต

21 ก.พ. 67 - สร้างพื้นที่สงบเย็นให้ชีวิต : การนึกขึ้นมาได้ตรงนี้สำคัญมาก เพราะถ้าเราทำให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ความระลึกได้มันจะไวขึ้น ไวขึ้น นั่นแปลว่าสติพัฒนาแล้ว สิ่งที่เรามาฝึกก็คือทำให้มันรู้ทันได้ไว ได้เร็วขึ้น แล้วทำอย่างไรจะให้มันรู้ทันได้เร็ว มันก็มีวิธีเดียว คือทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ มันไม่มีวิธีอื่น แล้วก็ต้องให้เวลาในการปฏิบัติ แต่ว่าเราก็มีตัวช่วย เช่นการที่เราปฏิบัติเต็มที่ ไม่มีการพูดคุยกัน ไม่ใช้โทรศัพท์ เพราะถ้าเราเกิดพูดคุยกัน ไถโทรศัพท์ ความคิดมันจะฟุ้งง่าย สติมันจะรู้ทันได้ช้า เราก็มีวิธีการตัวช่วยทำให้ความคิดมันไม่รุนแรง แล้วขณะเดียวกันก็ระหว่างที่ใจไม่คิด ก็หางานให้จิตทำด้วยการมารู้กาย การรู้กายนี้สำคัญ รู้ว่ากำลังเดินอยู่ รู้ว่ากำลังยกมือ อันนี้เรารู้กายหรือรู้สึกว่ากายเคลื่อนไหว ซึ่งก็เป็นการหางานให้จิตทำ เพราะถ้าไม่หางานให้จิตทำ จิตมันก็จะเพ่นพ่าน แล้วมันก็จะฟุ้งมากเลย   แม้เราจะไม่ห้ามคิด แต่เราก็ไม่ส่งเสริมให้มันคิดจนฟุ้ง เราก็เลยมีตัวช่วยด้วยการหางานให้จิตทำ ด้วยการให้จิตนี้มาอยู่กับกาย มารับรู้การเคลื่อนไหว ซึ่งถ้าทำได้บ่อยๆ ทำได้บ่อยๆ สติมันจะมีความสามารถในการรู้ทันความคิดและอารมณ์ได้เร็วขึ้น เป็นตัวช่วย แต่ว่าเราจะมาเร่งมันไม่ได้ เราไม่สามารถจะเร่งมันได้ นอกจากเราจะทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ สติมันจึงจะไว แล้วก็จะรู้ทันความคิดได้เร็ว   พอรู้ทันความคิดได้เร็ว การปล่อยการวางความคิดและอารมณ์ก็จะเกิดขึ้นได้ง่าย แล้วเราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อ เป็นทาสของความคิด ที่มันคอยเอาความทุกข์มาให้เรา มันเป็นวิธีการฝึกจิตให้มีคุณภาพ ให้เป็นมิตรกับเรา แทนที่จะเป็นศัตรูกับเรา มันเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้เรารักตัวเองอย่างแท้จริง แทนที่จะรักตัวกูหรือว่ารักกิเลส จนถูกกิเลสมอมเมาหลอกให้หลง แล้วก็สร้างความทุกข์ 
5/15/202429 minutes, 52 seconds
Episode Artwork

25670220pm--รักตัวเอง อย่ารักตัวกู

20 ก.พ. 67 - รักตัวเอง อย่ารักตัวกู : ถ้าเรารู้จักรักตัวเองอย่างแท้จริง มันจะเกิดความสุขความสงบในจิตใจได้ง่าย เพราะจะไม่ไปคว้าเอาความทุกข์มาทิ่มแทงรบกวนรังควานจิตใจ และขณะเดียวกันเราก็จะมีความสุขความสงบได้ง่ายเวลาอยู่กับตัวเอง อยู่กับตัวเองก็ไม่มีอาการดิ้นรนพลุ่งพล่าน กระสับกระส่าย งุ่นง่าน อยู่กับตัวเองก็คือ อยู่กับความรู้สึกตัว อยู่กับลมหายใจก็มีความสุขได้ อยู่กับความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็มีความสุข ไม่จำเป็นต้องออกไปเที่ยวเล่นกินดื่มชอป หรือไปคลุกคลีกับใคร ช่วงโควิดหลายคนเป็นทุกข์มากทั้งๆ ที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องงานการ กินอิ่มนอนอุ่น แต่ทุกข์เพราะไม่ได้ออกไปไหน ทั้งที่มีโทรศัพท์ มีโทรทัศน์ดู จะดูฟังเพลงเท่าไหร่ก็ได้ แต่ก็ยังหงุดหงิด หรือเหงา หรือเป็นทุกข์   เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะไม่ได้เสพสิ่งใหม่ ไม่ได้หนีออกจากตัวเองอย่างที่ต้องการ เพราะตัวกูมันต้องการสิ่งปรนเปรอ สิ่งใหม่ๆ แต่พอไม่ได้รับการปรนเปรอ ไม่ได้รับการตอบสนอง มันก็สร้างความปั่นป่วนขึ้นมาในจิตใจ เราอย่าปล่อยให้มันมีอำนาจเหนือใจเรา แม้มันจะป่วนอย่างไรก็รู้ทัน ไม่ไปตามใจมัน เหมือนกับเด็กน้อย แม้ว่าจะร้องยังไง เราก็ไม่ยอมทำตามความต้องการของเขา   และจริงๆแล้วคือ ไม่เอาความทุกข์ของตัวกูมาเป็นความทุกข์ในใจเรา ต้องแยกแยะให้ออกระหว่างความทุกข์ของอัตตา ความทุกข์ของตัวกู มันทุกข์ก็ทุกข์ไป อย่างเช่นเวลามีคนมาต่อว่า มีคนมาตำหนิ มีคนมาทักท้วง หรือแม้มีคนไม่สรรเสริญ ตัวกูมันก็จะเกิดอาการโวยวายขึ้นมา ก็ให้รู้ว่าที่ทุกข์ไม่ใช่เราทุกข์ แต่ตัวมันทุกข์ เพียงแค่ไม่มีใครชมมันก็ทุกข์แล้ว เราอย่าเอาความทุกข์ของมันมาเป็นความทุกข์ของเรา มันทุกข์ก็ทุกข์ไป เหมือนมันโกรธก็โกรธไป แต่เราไม่ได้โกรธด้วย   ทำอย่างนั้นได้เพราะเราเห็นมัน มันโกรธก็โกรธไป แต่ใจไม่ทุกข์ มันจะง่วงมันจะเบื่อยังไงก็เห็นมัน แต่ไม่เข้าไปเป็นมัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ใจเราก็จะเป็นสุขได้ง่าย ไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจของตัวกู แล้วเราก็จะพัฒนาจากที่เคยรักตัวกู รักตัวกูจนชีวิตย่ำแย่ กลายเป็นรักตัวเองอย่างแท้จริง   แล้วพอรักตัวเองอย่างแท้จริง การรักคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกพ่อแม่คนรักก็จะกลายเป็นรักที่แท้จริง เริ่มจากการรักตัวเองให้ได้ รักตัวเองอย่างแท้จริง สิ่งที่ผู้คนทุกวันนี้ขาดไปคือการรักตัวเอง 
5/13/202426 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25670215pm-ตีความสัญญาณผิดชีวิตเป็นทุกข์

15 ก.พ. 67 - ตีความสัญญาณผิดชีวิตเป็นทุกข์ : กับเพื่อนร่วมงานเราก็เหมือนกัน ถ้าเขาโวยวายใส่เราก็อย่าไปคิดว่าเขาไม่พอใจอะไรเรา แต่อาจจะเป็นอาการที่สะท้อนมาจากความเครียดในเรื่องส่วนตัว ความทุกข์เรื่องส่วนตัว อันนี้คือสัญญาณเหมือนกันที่เราต้องตีความให้ถูก ถ้าเราตีความไม่ถูกก็เกิดปัญหา หรือเจ้าตัวเองก็ต้องตีความ หรือรู้จักดักฟังสัญญาณที่ตัวเองได้แสดงออกมา เพราะบางครั้งถ้าเราตีความผิดก็ทำให้ปัญหามันสะสมหมักหมม จนกระทั่งระเบิดออกมากลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเสียหายมากมาย แต่ถ้าจับสัญญาณถูกเราก็สามารถจะหาทางแก้ไขได้ เช่น พักผ่อนหรือว่ามาเยียวยาจิตใจ มาฝึกสติ มาพักใจ   ที่จริงร่างกายของเราจิตใจของเรามันส่งสัญญาณอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะเราไม่ใส่ใจหรือเราตีความผิด มันก็เลยทำให้ปัญหาสะสมหมักหมมมากขึ้น และสัญญาณก็มีอยู่รอบตัว ทั้งจากคนอื่นด้วย ตีความไม่ถูกก็เหมือนกับหมาที่มันเห่าใส่เรา ไม่ใช่ว่ามันไม่ชอบเรา แต่มันแค่ส่งสัญญาณไปให้เจ้านายที่อยู่ข้างหลัง อยู่ในบ้านว่ามีคนมา   ถ้าเราตีความสัญญาณของหมาผิดแล้วก็เกลียดหมา บางทีเอาก้อนหินขว้างหมาก็กลายเป็นเรื่องบาดหมาง เจ้าของหมาก็ไม่ชอบเรา หมาก็ยิ่งเกลียดเราเข้าไปใหญ่ 
5/12/202426 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25670214pm--รักอย่างไรให้เกิดสุข

14 ก.พ. 67 - รักอย่างไรให้เกิดสุข : เพราะว่าไม่เข้าใจไม่แยกแยะระหว่างความรักกับความใคร่ และไม่ตระหนักว่ามันเป็นของไม่เที่ยงเลย โดยเฉพาะไอ้ความใคร่มันจืดจางได้เร็วมาก ในขณะที่ความเมตตามันยั่งยืนกว่า โดยเฉพาะถ้าไม่มีตัวกูเป็นศูนย์กลาง หรือไม่ได้เอาตัวกูเป็นศูนย์กลางแล้ว มันจะยั่งยืนกว่า เพราะมันเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข หรือไม่เรียกร้องเงื่อนไขจากอีกฝ่าย ให้เรารู้จักความรักประเภทแรกให้เยอะๆ แล้วก็เห็นโทษของความรักประเภทที่สองว่า แม้มันจะทำให้ชีวิตนี้มีรสมีชาติหวานชื่น แต่ว่ามันก็สามารถจะกลายเป็นความขื่นขมได้อย่างรวดเร็ว สามารถจะทำร้ายชีวิตของเรา หรือทำให้ชีวิตของเราจมอยู่ในความทุกข์ได้ถ้าเราไม่รู้เท่าทันมัน เราจะปฏิเสธมันได้ยาก เพราะเราเป็นปุถุชน แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน แล้วก็มีธรรมะมากำกับ มันก็ช่วยทำให้ความรักประเภทนี้ไม่ทำร้ายเราและคนอื่นจนกระทั่งย่ำแย่ไป 
5/11/202430 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25670213pm--ทุกข์เพราะได้น้อยกว่าความคาดหวัง

13 ก.พ. 67 - ทุกข์เพราะได้น้อยกว่าความคาดหวัง : ถ้าเรารู้จักยอมรับสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง มันก็ไม่ทุกข์เท่าไหร่ แต่คนเรามันก็ยากที่จะไม่มีความคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นคนทั่วไปหรือนักปฏิบัติธรรม แต่อย่างน้อยให้รู้เท่าทัน รู้เท่าทันว่าเรามีความคาดหวัง แล้วก็พยายามลดความคาดหวังให้น้อยลง ความสุขมันไม่ยาก ถ้าหากว่าเราลดความคาดหวังลง แล้วยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อยากจะเห็นสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปดั่งใจ เราไม่สามารถยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็นได้ ถ้าหากว่าเรามีความคาดหวัง แล้วมันไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง แต่ถ้าเรารู้จักยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น เจออะไร ใจก็ไม่ทุกข์ เสียงดังใจก็ไม่ทุกข์ เพราะว่ายอมรับมันได้   เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราอยากจะรักษาใจให้มีความทุกข์น้อยลง ก็ลดความคาดหวังไม่ว่าจากผู้คน ไม่ว่าจากสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจากสถานที่ แล้วก็เรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น   พรุ่งนี้จะเป็นวันวาเลนไทน์ หลายคนรอคอยวันพรุ่งนี้ด้วยใจจดใจจ่อโดยเฉพาะหนุ่มสาว แต่ก็คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ห่อเหี่ยวเสียใจ เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่คาดหวังว่าจะได้ หรือสิ่งที่ได้รับมันน้อยกว่าที่คาดหวัง บางคนอยากจะได้กุหลาบเป็นช่อเลย แต่พอได้แค่ 3-4 ดอก ทุกข์เลย อยากจะได้อย่างนั้นอย่างนี้ มีความคาดหวังจากคนนั้นคนนี้ ได้เหมือนกัน แต่พอมันได้น้อยกว่าที่คาดหวัง ทุกข์เลย   เหมือนกับที่หลายคนทุกข์ทั้งที่ได้อั่งเปา ไม่ใช่เพราะได้น้อยแต่เพราะคาดหวังมาก แล้วพรุ่งนี้ก็จะมีคนที่ได้เหมือนกัน ได้สิ่งดีๆ จากคู่รัก แต่ก็ยังทุกข์เพราะอะไร เพราะมันน้อยกว่าที่คาดหวัง อันนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แต่ถ้าคนที่ฉลาดเขาไม่ทุกข์ง่ายๆ เพราะเขาแค่ลดความคาดหวังลง ได้อะไรก็ถือว่าดีทั้งนั้น 
5/10/202427 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25670212pm--ทำง่ายแต่ได้ผลมาก

12 ก.พ. 67 - ทำง่ายแต่ได้ผลมาก : การปฏิบัติงานเจริญสติแบบหลวงพ่อเทียนมันไม่ต้องใช้เงิน จะเป็นคนยากคนจน คนรวย จะจบ ป. 4 หรือปริญญาเอก มันก็ไม่เกี่ยว ขอให้ปฏิบัติให้ถูก อย่างที่ท่านว่าทำเล่น ๆ แต่ว่ากลับมามีสติ กลับมารู้สึกตัว มันจะไปบ่อยแค่ไหนก็ช่างมัน แต่ให้กลับมาก็แล้วกัน หลวงพ่อคำเขียนท่านบอกว่า มันเก่งตรงที่กลับมา ไม่ใช่ไม่ไป มันจะไปก็ช่างมันแต่ว่ากลับมา กลับมาไว ๆ คือสิ่งที่วัดความเจริญก้าวหน้า ทำเล่น ๆ และก็ทำจริง ๆ ให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัวกับทุกอย่างที่ทำ ทีแรกก็รู้กายก่อน ต่อไปมันก็จะเห็นความคิด เห็นใจเคลื่อนไหว ซึ่งมันเป็นวิธีการที่ไม่ได้ยากอะไรเลย จะว่าไปแล้วเป็นวิธีที่ง่ายแต่ว่าให้ผลเร็วแล้วก็ให้ผล เห็นผลได้เยอะ 
5/9/202428 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25670211pm--ทำดีดีกว่าการเป็นคนดี

11 ก.พ. 67 - ทำดีดีกว่าการเป็นคนดี : ทำดีแล้วไม่มีคนเห็นก็ทุกข์เหมือนกัน หรือว่าทำดีแล้วมีคนเขาไม่เข้าใจ เขาต่อว่า เวลาเรารู้สึกว่าเราทนคำต่อว่าไม่ได้ ส่วนหนึ่งเพราะเราติดดี ติดดีคือคิดว่าฉันต้องดี คนต้องเห็นว่าฉันดีด้วย พอเขาเห็นว่าฉันไม่ดี ก็รู้สึกว่าอัตตาถูกกระทบ อย่าว่าแต่คำต่อว่าเลย แค่คำแนะนำ มันก็ทำให้เราเจ็บปวดถ้าเราไปสำคัญมั่นหมายว่าฉันเป็นคนดี คนเก่ง ทุกข์ของคนเก่งก็เป็นแบบนี้ ทุกข์ของคนดีก็เหมือนกัน ทนคำวิจารณ์ไม่ได้ ทนคำต่อว่าไม่ได้ เพราะมันไปกระทบกระแทกอัตตา อัตตานี้มันต้องการให้คนเห็นว่ากูดี กูเก่ง พอเขาไม่เห็นว่าดี ก็ทุกข์ พอคนตำหนิก็เจ็บปวด โกรธเขา แทนที่จะน้อมรับแล้วนำมาปรับตัวแก้ไข หรือขอบคุณเขา   ที่สำคัญคือ เวลาเห็นว่าใครดีกว่าก็ไม่พอใจเขา คนดีเวลาเห็นใครดีกว่านี้ ไม่พอใจ เพราะมันไปทำให้เรารู้สึกว่าเราดีน้อยลง เกิดการเปรียบเทียบ อันนี้เป็นผลของมัน ความสำคัญตัวว่าเป็นคนดีมันถึงน่ากลัว มันสามารถทำให้เราทุกข์ได้ง่าย แล้วก็ทำให้เกิดความอิจฉาคนที่เขาดีกว่า   มันมีคำพูดว่า ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย คนไทยนับถือคตินี้มาก ใครดีกว่าไม่ได้ ก็จะอิจฉาเขา คนเลยไม่กล้าทำความดี เพราะดีแล้วจะถูกหมั่นไส้ คนที่หมั่นไส้ก็ไม่ใช่ใคร ก็คนที่อยากจะดีเหมือนกัน หรือคนที่คิดว่าฉันก็เป็นคนดี   เพราะฉะนั้นเป็นคนดีมันก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ หรือไม่อยากไปเบียดเบียนใคร ก็อย่าไปยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นคนดี แต่พยายามทำความดีเอาไว้เยอะๆ “ทำดี ดีกว่าเป็นคนดี 
5/8/202429 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25670210pm--กลับมาสู่ความไม่ทุกข์

10 ก.พ. 67 - กลับมาสู่ความไม่ทุกข์ : คนสมัยก่อนเจ้าบทเจ้ากลอนมาก ท่านแสดงธรรมมีคำลงท้ายเป็นกลอนไปว่า “พายเถอะหนาพ่อพาย ตะวันจะสายตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า” หมายความคือ ให้รีบตื่น แล้วก็รีบทำงานทำการ อย่าปล่อยเวลาผัดผ่อนให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ พูดง่ายๆก็คือ เวลาไม่คอยท่า ปล่อยให้หลวงพ่อโตจะเทศน์แก้เทศน์ต่อยังไง ท่านเจ้าคุณธรรมอุดมท่านเทศน์ทิ้งไว้อย่างนั้น หลวงพ่อโตท่านก็ไว ท่านได้วิสัชนาออกไปว่า “ก็โซ่ไม่แก้ประแจไม่ไข จะพายไปไหวหรือพ่อเจ้า” จะไปข้างหน้าได้ยังไง ถ้าโซ่ยังไม่แก้ ประแจยังไม่ไข เรือจะไปข้างหน้าได้มันต้องแก้โซ่ไขประแจก่อน ความหมายก็คือว่า คนเราจะไปข้างหน้าได้มันต้องปลดเปลื้องใจออกจากอดีต เพราะอดีตมันเป็นพันธนาการ   ผู้คนจำนวนมากไปต่อไม่ได้เพราะว่าไม่ยอมกลับมา ไม่ยอมกลับมายังปัจจุบัน ยังไปหลงในอดีต หรือว่ายังไหลไปอนาคต ไหลไปอนาคต คือกังวลวิตกกับเรื่องในอนาคต หรือไม่ก็เศร้าซึมกับเรื่องราวในอดีต ต้องกลับมา กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ถึงจะไปต่อได้   สมัยนี้เราคิดแต่จะไปข้างหน้า ไปข้างหน้าท่าเดียวจนกระทั่งไม่รู้จักกลับมา ไม่รู้จักกลับมาที่ใจ ไม่รู้จักกลับมาที่ความรู้สึกตัว ไม่รู้จักกลับมา รู้กาย ตามมาดูรู้ใจของตัว พอไม่สนใจตามดูรู้ใจ หรือไม่กลับมารู้สึกตัว มันอยากจะไปต่อก็ไปไม่ได้ เพราะยังมีความทุกข์ พูดง่ายๆว่า อยากจะไม่ทุกข์เราต้องกลับมา กลับมารู้สึกตัว กลับมาอยู่กับความไม่ทุกข์ แล้วจึงจะไปต่อได้ 
5/7/202428 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25670209pm--อะไรมากระทบอารมณ์_ก็ไม่กระฉอก

9 ก.พ. 67 - อะไรมากระทบอารมณ์ ก็ไม่กระฉอก : การที่เรารู้ทัน ใจเวลามันมีการกระทบ มีผัสสะ แล้วมันมีการปรุงแต่ง มันก็ช่วยทำให้ไม่เกิดอารมณ์ที่เป็นลบ ๆ ขึ้นมาได้ ซึ่งก็ช่วยทำให้เวลาเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แม้จะสงบหรือว่าแม้จะราบรื่นเพียงใด แต่ถ้าหากว่าเราไม่รู้ทันการปรุงแต่ง มันก็เกิดความหงุดหงิด เกิดความไม่พอใจ เกิดความอ้างว้าง เกิดความสับสน หรือว่าฟุ้งซ่านขึ้นมาได้ นี่เพราะขาดสติทั้งนั้น ฉะนั้นการเก็บกดอดกลั้นหรือขันติ ก็สำคัญ อันนี้ก็เป็นวิธีการในการที่เราจะป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งจนบานปลาย หรือที่เขาใช้คำว่าระเบิดออกมา แต่ก็ยังไม่พอ ต้องรู้จักมีสติด้วย มีสติที่จะช่วยให้ไม่เกิดอารมณ์ที่เป็นลบ หรือถึงแม้จะเกิดอารมณ์ที่เป็นลบก็รู้จักวางได้   เพราะว่าคนเราปุถุชน อารมณ์ที่เป็นลบเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อมีการกระทบเพราะว่าไม่ทันการปรุงแต่ง แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ยังปล่อยหรือวางได้ มีความโกรธก็รู้ทันแล้วก็วาง มีความโมโหเกิดขึ้นแล้วก็รู้ทัน มีความเศร้าเกิดขึ้นก็รู้ทัน มีความเครียดเกิดขึ้น รู้ทัน วาง มันก็ทำให้ไม่จำเป็นต้องเก็บกด เพราะมันไม่มีอารมณ์ใดที่หลงเหลือ ไม่จำเป็นต้องมีเกราะที่จะป้องกันไม่ให้มีอารมณ์มากระทบ เพราะว่าอารมณ์มันก็เลือนหายไปเมื่อเราปล่อยเราวาง 
5/6/202426 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25670208pm--เป็นคนดียังไม่พอหรือ

8 ก.พ. 67 - เป็นคนดียังไม่พอหรือ
5/5/202426 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25670201pm--ความกลัวคือตัวเพิ่มทุกข์

1 ก.พ. 67 - ความกลัวคือตัวเพิ่มทุกข์ : มีสติมากขึ้น ก็มารู้ใจ คือมาเห็นความกลัว เห็นความเครียด เห็นความวิตกที่เกิดขึ้น หรือถ้าเกิดยังเห็นไม่ทัน ไม่รู้จะเห็นยังไง ไม่รู้ว่าจะรู้ทันยังไง ก็เอาแค่ยอมรับมันเสียก่อน ยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาที่จะมีความวิตกกังวล เหมือนแม่ที่ย่อมวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพลูกในท้อง ก็แค่ยอมรับว่ามันมีความรู้สึกนี้ในใจ ไม่ต้องไปกดข่มผลักไสมัน หรือยอมรับเป็นเรื่องธรรมดา อย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้มีวิตกกังวลตัวที่สอง ซึ่งเกิดจากการไม่ยอมรับมัน ไม่ยอมรับความวิตกกังวล ที่ว่าเกิดความกังวลตัวที่สอง มันเป็นความกังวลที่เรา “ทำไมไม่หายกังวลสักที” ทำไมเรายังมีความกังวลอยู่ เดี๋ยวลูกจะเป็นยังไง มันมีวิตกกังวลซ้อนวิตกกังวล   แม้ว่าเราจะยังไม่สามารถทำให้วิตกกังวลตัวแรกหายไปได้ แต่อย่างน้อยเราก็ทำให้ไม่มีกังวลตัวที่สองเกิดขึ้นก็ด้วยการยอมรับ ยอมรับความกังวลตัวแรก แล้วถ้าทำได้ดี มีสติดี ความกังวลตัวแรกก็จะค่อยๆ เลือนหายไปเหมือนกัน ถ้าเรารู้ทันมัน หรือว่าเอาใจอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปเผลอคิดปรุงแต่งเกี่ยวกับภาพอนาคตในทางลบทางร้าย 
5/4/202428 minutes, 26 seconds
Episode Artwork

25670131pm--เห็นข้อดีจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น

31 ม.ค. 67 - เห็นข้อดีจากทุกอย่างที่เกิดขึ้น : ถ้าเรารู้จักมองในแง่บวก มันก็จะได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะแย่ แต่ขณะเดียวกันมันก็เตือนให้เรารู้จักมองในทางลบด้วย ไอ้ความคิดว่าบ้านพร้อมไหม้นี้จะว่าไปมันก็เป็นการมองในทางลบแบบหนึ่ง คือมองว่าไฟไหม้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกันการมีชีวิตของเรา เราก็ไม่ได้มองบวกอย่างเดียว เรามองลบด้วย ก็คือว่าสักวันหนึ่งก็ต้องเจ็บ ต้องป่วย ต้องตาย ครานี้เมื่อเรารู้แบบนี้หรือคิดได้แบบนี้ก็จะทำให้เกิดความไม่ประมาท มีชีวิตชนิดที่พร้อมตายทุกเมื่อ แล้วก็รวมไปถึงว่าจะมีข้าวของอะไร ก็มีแบบพร้อมที่จะหาย พร้อมที่จะเสียทุกเมื่อ ถ้าคิดแบบนี้ พอมันเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้ทุกข์อะไร เพราะว่าเตรียมใจไว้แล้ว 
4/30/202426 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25670130pm--ถอยออกมาจากอารมณ์

30 ม.ค. 67 - ถอยออกมาจากอารมณ์ : อารมณ์พวกนี้ บางอารมณ์มันปั่นหัวเราให้เราย่ำแย่ได้ อย่างอารมณ์โกรธหรือซึมเศร้า มันก็ปั่นหัวให้เราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อทำร้ายแม้กระทั่งผู้มีพระคุณ หรือถ้าซึมเศร้ามากๆ เสียใจมากๆ มันก็จะปั่นหัวเราให้เราทำร้ายตัวเองก็ได้ อาจจะเพื่อเอาชนะคนที่ทำให้เราเสียอกเสียใจ เป็นพ่อเป็นแม่หรือคู่รัก บางคนก็ใช้วิธีนี้แหละ อยากจะเอาชนะเขา ทำให้เขาเจ็บปวด ก็ถูกอำนาจของความหลง ความเศร้า ความคับแค้น ทำร้ายตัวเอง เพื่อทำให้เขาเจ็บปวด จะได้เรียกว่ามีชัยชนะ คือคิดแต่จะเอาชนะ แต่สุดท้ายก็ทำร้ายตัวเอง อันนี้ก็เป็นอำนาจของความหลง ความโกรธ เพราะการไม่รู้จักยอม มีแต่จะเอาชนะ มันก็เลยเกิดความเสียหาย เกิดความพังพินาศ   แต่ถ้าเรารู้จักถอยออกมา เอาใจถอยออกมาจากอารมณ์ มันก็ไม่สามารถจะมีอิทธิพล บงการ ปั่นหัว ล่อหลอก ให้เราหลงกับอำนาจของมัน ก็เรียกว่าสามารถเป็นอิสระ และสิ่งที่ช่วยทำให้ใจสามารถทำให้ถอยออกมาจากอารมณ์ก็คือสติ ความรู้สึกตัว ไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว ก็มีแต่จมอยู่ในอารมณ์ และอยู่ในอำนาจของมัน   เพราะฉะนั้นเราต้องฝึก ฝึกให้รู้จักถอยออกมาจากอารมณ์ หรือถ้าถอยออกมาได้ไม่ถนัด อย่างน้อยก็รู้จักถอยออกมาจากเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อทำให้เรารู้ว่าเราพลั้งเราเผลออย่างไรบ้าง เพราะถ้าไม่รู้จักถอยออกมาจากเหตุการณ์ ไม่รู้จักถอยออกมาจากวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหลง เราก็ไม่สามารถจะพาใจให้มีอิสระหรือมีชีวิตที่ผาสุกได้ 
4/29/202427 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25670129pm--รู้จักยอมบ้าง

29 ม.ค. 67 - รู้จักยอมบ้าง : การยอมมันเป็นวิธีของคนฉลาด คนที่มีปัญญา เพราะรู้ว่าถ้าไม่ยอมนี้อะไรจะเกิดขึ้น และมันไม่ใช่แค่ตัวเองที่เดือดร้อน ครอบครัวที่พามาด้วยนี้ก็จะเดือดร้อนไปด้วย ลูกก็ดี ภรรยาก็ดี หรือพ่อแม่ก็ดีอาจจะต้องมีอันเป็นไป เพียงเพราะตัวเองไม่ยอม ถามว่าทำไมไม่ยอม ก็เพราะ “กูถูกไง มึงผิด มึงต้องหลบให้กูต่างหาก” บางครั้งคนเราต้องรู้จักยอมแม้ว่าจะถูกหรือแม้ว่าจะเก่ง อย่าให้ความยึดมั่นถือมั่นในความเก่งหรือความถูกของตัว มันทำให้มองข้ามสิ่งอื่นที่สำคัญกว่า ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ของส่วนรวม หรือว่าความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน หรือว่าสวัสดิภาพของคนที่เรารัก 
4/28/202425 minutes, 24 seconds
Episode Artwork

25670128pm--อุปสรรคของการเข้าถึงความจริง

28 ม.ค. 67 - อุปสรรคของการเข้าถึงความจริง : ความจริงก็คือเข้ามาเคาะประตู แต่ว่าใจไม่เปิด ใจไม่เปิดเพราะมีความเชื่อ หรือมีความคิดบางอย่าง ความคิดที่เป็นตัวปิดกั้นความจริง เหมือนกับพ่อที่ไม่ยอมเปิดประตูรับลูกที่ดั้นด้นมาจากแดนไกล สัจธรรมหรือความจริงมันแสดงต่อเราตลอดเวลาแต่ว่าใจเราไม่เปิดรับ เพราะว่าใจเรามีความคิดความเห็น ความเชื่อบางอย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็แสดงตัวต่อเราตลอดเวลาแต่ว่าใจเราไม่ยอมรับ เพราะว่ามันมีความคิด ความเห็นว่าทุกอย่างมันเที่ยง ทุกอย่างเป็นสุข หรือว่ามันเป็นตัวเป็นตน ฉะนั้นความคิดมันก็ปิดบังความจริงได้ แล้วด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นเป็นอุปสรรคสำคัญของการบรรลุธรรม 
4/27/202427 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25670127pm--อย่าเอาความสำเร็จมาค้ำคอตัวเอง

27 ม.ค. 67 - อย่าเอาความสำเร็จมาค้ำคอตัวเอง : ถ้าเรามีความวางใจว่าเสร็จทุกวัน เราจะไม่เครียด ไม่ใช่ว่าเก็บงาน แบกงานไปปรุงแต่ง ไปหมกมุ่น ไปพะวง แม้กระทั่งถึงบ้านแล้วก็ยังวางใจไม่ได้ ยังคิดถึงงานจนกระทั่งไม่สนใจคนที่กำลังคุยอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ หรือสามีภรรยา หรือเป็นลูกก็ตาม ถึงเวลานอนก็นอนไม่หลับ อันนี้เพราะว่าไม่รู้จักวาง ท่านพุทธทาสท่านพูดไว้ดีว่า “จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น” คือเมื่อทำงานแล้วไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ได้ยึดว่าเป็นของกู ของกู ยกให้เป็นของความว่างไป ยกให้เป็นของธรรมชาติหรือยกให้เป็นของเพื่อนฝูงหมู่ร่วมคณะก็ได้ เพราะการที่ยึดเป็นของกู มันสร้างความทุกข์ ไม่ว่างานนั้นจะสำเร็จหรือล้มเหลวถ้ายึดเป็นของกูแล้ว มันก็ทำความทุกข์ให้ ถ้าเป็นความสำเร็จมันก็ค้ำคอ พะนออัตตา ถ้ามันไม่สำเร็จมันก็ทิ่มแทงใจ ถ้ามันคิดว่าเป็นของกู ของกูอยู่นั่น   ไม่ใช่แค่เฉพาะงานอย่างเดียว แม้กระทั่งผลที่ตามมา จะเป็นคำชื่นชมสรรเสริญ คำติฉินนินทาก็เช่นกัน รับรู้ไว้แต่ไม่ยึดมาเป็นของเรา เอามาพิจารณาเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้นแต่ไม่ใช่เพื่อมาพะนออัตตาค้ำคอตัวเอง หรือว่าหรือว่าทิ่มแทงจิตใจของตัวเอง   และที่จริง ถึงเราไม่คิดว่างานเป็นของเรา ถ้าใครจะมาช่วย ใครจะมามีส่วนร่วมก็ยินดี ไม่ใช่หวงแหนว่าเป็นงานของกู งานของกู ใครมายุ่งไม่ได้ ซึ่งก็สร้างความทุกข์ สร้างความเดือดร้อน สร้างความร้าวฉานให้กับผู้คนมากมายในหลายที่ทุกวันนี้ เป็นเพราะว่าไม่รู้จักปล่อยวาง   ทำเต็มที่ ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ไม่ได้แปลว่า ปล่อยประละเลย ทำด้วยจิตที่ว่าง ไม่ยึดติดว่างานเป็นเรา เป็นของเรา ไม่ยึดแม้กระทั่งความสำเร็จ หรือคาดหวังความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าเพราะว่าเป็นอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน วางอดีตวางอนาคตอยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และช่วยทำให้งานออกมาดีเท่าที่จะดีได้ แล้วก็ทำให้เรามีความสุขไม่เครียดด้วย 
4/26/202426 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25670126pm--ในแย่มีดี

26 ม.ค. 67 - ในแย่มีดี : ที่เรามองว่ามันไม่ดีๆ มันมีดีอยู่ ถ้าเรารู้จักใช้ ก็เหมือนกับขยะ ถ้ามากองไว้หน้าบ้านมันก็เหม็น แต่ถ้าไปกองไว้ในสวนโคนต้นไม้ มันก็กลายเป็นปุ๋ย ฉะนั้นศิลปะของการปฏิบัติก็คือว่า เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี หรือ หาประโยชน์จากสิ่งที่ไม่ดี ในทุกข์มันก็มีสิ่งดีอยู่ อยู่ที่ว่าเราจะสกัดออกมาหรือใช้ให้เป็นไหม จะพูดว่าในทุกข์มีสุขก็ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ ก็ยังหาสุขพบ อันนี้ก็เป็นการบ้าน ว่าเราจะหาสุขพบได้อย่างไรท่ามกลางความทุกข์ ที่จริงครูบาอาจารย์อย่างท่านอาจารย์พุทธทาส ก็ถึงกับบอกเลยว่า “ในวัฏสงสารมีนิพพาน ไม่ต้องไปหานิพพานที่ไหน ต้องไปหานิพพานจากวัฏสงสาร”   โพธิ ก็พบได้ท่ามกลางกองกิเลส ก็เหมือนกับดอกบัวเกิดขึ้นจากโคลนตม ไม่มีโคลนตมก็ไม่มีดอกบัว
4/25/202427 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25670125pm--นิ่งไว้เมื่อภัยมา

25 ม.ค. 67 - นิ่งไว้เมื่อภัยมา : และเมื่อถึงเวลาที่อันตรายมาถึงตัว ก็จะดีกว่าถ้าหากเรายอมรับมัน เรียกว่าการนิ่งสงบ ไปต่อต้านขัดขืนก็ไม่มีประโยชน์ บ่อยครั้งเราคิดว่ามันต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ ได้อย่างไร แต่บ่อยครั้งการทำนั่นทำกลับสร้างปัญหาให้มากกว่าก็ได้ อย่างเช่นคนป่วยระยะท้าย บางทีการยอมรับความตายที่มาถึงมันสร้างความทุกข์น้อยกว่าการที่ดิ้นรนเพื่อยื้อชีวิต การไปยื้อด้วยการทำโน่นทำสารพัด เจาะคอ ใส่ท่อ ปั๊มหัวใจ สารพัดพวกนี้ ดูเหมือนทำให้สบายใจว่าได้ทำอะไรให้กับเขาบ้าง แต่ว่ามันอาจจะเป็นการสร้างความทุกข์ทรมานให้กับเขาก็ได้ ขณะที่การที่ไม่ทำอะไรเลย หรือถ้าเป็นเจ้าตัวเอง การที่ไม่ไปดิ้นรนทำอะไรเลย แต่ยอมรับมัน อาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า เพราะถึงแม้จะหนีอันตรายไม่พ้น แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ทรมาน แต่ก็ไม่แน่ พอวางใจดี ยอมรับมันได้ ก็อาจจะรอดตายหรือพ้นตายก็ได้ เช่นตัวอย่างที่เล่ามา   ฉะนั้นฝึกใจให้รู้จักนิ่ง ยอมรับสิ่งต่างๆ อาจจะเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่แม้จะแก้ไขได้ แต่ขณะที่ยังไม่ทันได้แก้ไข เราก็ยอมรับมัน นิ่งสงบ ต่อไปก็จะทำให้เรามีความสามารถในการที่จะนิ่งได้ แม้เจออันตรายที่หนักหนาสาหัสกว่า โดยเฉพาะปัญหาหรือสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หรือเจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้   แต่ถึงแม้ปัญหามันจะยังเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ป่วย ไม่สบาย ถ้าเรารักษาก็หาย ระหว่างที่ป่วยอยู่ก็ยอมรับมัน อย่างน้อยๆ ก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย พอใจไม่ป่วยแล้ว ก็จะทำให้มีสติในการใช้ปัญญา แก้ปัญหา ไม่รน กระวนกระวาย อาจจะแก้ปัญหาได้ดีกว่าใจที่กระสับกระส่ายหรือตื่นตระหนกตกใจก็ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราเจอสถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หรือทำได้ก็ตาม เจอปัญหาที่แก้ได้หรือแก้ไม่ได้ก็ตาม การนิ่ง การยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นอุบายที่ดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านั้น 
4/24/202428 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25670124pm--แมงระงำสอนธรรม

24 ม.ค. 67 - แมงระงำสอนธรรม 
4/23/202419 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25670123pm--จะสร้างAIให้มีคุณธรรมได้หรือไม่

23 ม.ค. 67 - จะสร้าง AI ให้มีคุณธรรมได้หรือไม่
4/22/202427 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25670122pm--มองตนก่อนเรียกร้องคนอื่น

22 ม.ค. 67 - มองตนก่อนเรียกร้องคนอื่น : สิ่งที่เราคาดหวังจากคนอื่น มันเป็นตัวการที่ทำให้เราเป็นทุกข์ การกลับมามองตนนี้มันเป็นพื้นฐานสำคัญเลยในการที่จะช่วยรักษาใจให้พ้นทุกข์ได้ หรือให้พ้นจากความเครียด ความวิตกกังวล ความโกรธ เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่กลับมาดูใจตัวเอง เราจะเพ่งโทษคนอื่นหรือเรียกร้องคนอื่นอยู่นั่นแหละ แล้วพอไม่สำเร็จ พอไม่เป็นไปดั่งใจ ก็จะหงุดหงิดหัวเสีย ให้เตือนตัวเองว่า เวลาเราเรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง ๆ จริงๆ แล้วคนที่ควรปล่อยวางมากกว่าใครนี้คือตัวเรา เพราะที่เราเรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง แต่เราปล่อยวางเขาไม่ได้ มันทำให้เราทุกข์ มันทำให้เราหงุดหงิด   เจอมานักต่อนักแล้ว คนที่บอกคนอื่นให้ปล่อยวาง แต่ที่จริงตัวเองยังปล่อยวางไม่ได้ ตัวเองยังยึดมั่นถือมั่นมาก เพราะถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่แบกเอาไว้ คงไม่เครียด ไม่ทุกข์ แล้วไม่เรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง   ฉะนั้นถ้าจะว่าไปเวลาเราเรียกร้องให้ใครต่อใครปล่อยวางหรือเรียกร้องให้คนอื่นปล่อยวาง มันเป็นสัญญาณฟ้องว่าเรากำลังแบกอะไรบางอย่างเอาไว้ ให้กลับมาดูใจของตัว แล้วก็จะพบว่าเป็นเพราะเรายังยึดมั่นถือมั่นในการกระทำของคนนั้นคนนี้ โดยเฉพาะที่ไม่ถูกใจเรา รวมทั้งยึดมั่นถือมั่นในความคาดหวังของเรา   ต้องการให้คนอื่นเป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง ต้องการให้แม่เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง พอท่านไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง เราก็หงุดหงิดหัวเสีย หรือเรียกร้องให้คนอื่นทำตัวให้น่ารัก แต่พอเขาไม่ทำตัวอย่างที่เราปรารถนาหรือคาดหวัง เราก็หงุดหงิดหัวเสีย แล้วก็โวยวายเป็นทุกข์   กลับมามองตน แล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมเราคิดแบบนั้น ทำไมเรารู้สึกอย่างนั้น ถ้าเราถามตัวเองหรือทักท้วงตัวเองอยู่บ่อยๆ การน้นที่เราจะไปตั้งคำถามกับคนอื่นมันก็จะน้อยลง หรือว่าการไปคาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงอย่างโน้นอย่างนี้ มันก็จะน้อยลง แล้วเราก็จะมีความสุข สบาย โปร่ง เบา ได้ง่ายขึ้น 
4/21/202424 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25670121pm--เมื่อทุกข์จึงเห็นคุณค่าของธรรม

21 ม.ค. 67 - เมื่อทุกข์จึงเห็นคุณค่าของธรรม 
4/20/202424 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670120pm--อยู่ในโลกอย่าทิ้งธรรม

20 ม.ค. 67 - อยู่ในโลกอย่าทิ้งธรรม : ถ้ามีธรรมะ มันจะช่วยรักษาใจของคนที่อยู่ในโลก หรือมีการงานมากมาย ให้จิตใจไม่รุ่มร้อน ไม่วุ่นวายได้ ฉะนั้นถ้าดูให้ดี โลกกับธรรมมันไม่แย้งจากกัน ยิ่งอยู่ในโลกยิ่งต้องมีธรรมะ ยิ่งทำงานเกี่ยวข้องกับผู้คน ยิ่งต้องอาศัยสติในการรักษาใจ แต่จะว่าไปแล้วธรรมะมันไม่ใช่แค่ช่วยคนที่อยู่ในโลก หรือช่วยสนับสนุนชีวิตทางโลกเท่านั้น ชีวิตทางโลกหรือการทำงานทางโลก มันก็สามารถจะไปเอื้อเฟื้อธรรมะได้ด้วย เพราะว่าถ้าหากว่าเราทำงานเป็น การทำงานนั้นก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วยในตัว   เราไม่ใช่เพียงแค่เอาธรรมะมาสนับสนุนการทำงานทางโลก แต่การทำงานทางโลกก็ยังเป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วย การเอาธรรมะมากำกับการใช้ชีวิตทางโลก มันเป็นสิ่งจำเป็นฉันใด การเอางานทางโลกมาเป็นเครื่องสนับสนุนการปฏิบัติธรรม มันก็เป็นสิ่งที่ควรทำฉันนั้น ถ้าเราพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าธรรมมันสนับสนุนโลก แล้วโลกก็สนับสนุนธรรมด้วย   ถ้าหากว่าธรรมะหมายถึงการฝึกจิตหรือการทำจิต เราต้องอาศัยการทำจิตนั้นมาช่วยกำกับการทำกิจ ถ้าเราใช้การทำจิตเพื่อมากำกับการทำกิจ ชีวิตเราก็จะวุ่นวายน้อยลง และขณะเดียวกันถ้าเราเอาการทำกิจมาเป็นเครื่องสนับสนุนการทำจิต มันก็ยิ่งทำให้การปฏิบัติธรรมมันก้าวหน้า หมายความว่าเวลาเราทำงาน แม้จะเป็นงานทางโลก แต่มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมไปด้วยในตัว เป็นการฝึกสติ เป็นการฝึกให้ลดละกิเลส ฝึกลดละความยึดมั่นในตัวตน   ฉะนั้นที่เข้าใจกันไปว่าอยู่ในโลกมันแยกขาดจากเรื่องทางธรรม มันเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ยิ่งอยู่ในโลกมากเท่าไร ยิ่งต้องอาศัยธรรมะเข้ามาช่วยเหลือเกื้อกูล ให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างสงบเย็น แล้วถ้าหากว่าเรารู้จักการทำจิตแล้ว   แม้กระทั่งอยู่กับผู้คน มีงานการมากมาย เราก็สามารถจะใช้การทำงาน การทำกิจ หรือการเกี่ยวข้องกับผู้คน ในการสนับสนุนการฝึกจิตของเราได้ ทำให้มีเมตตากรุณา ทำให้มีสติ มีความยึดมั่นถือมั่นน้อยลง มีความเห็นแก่ตัวน้อยลง และโลกกับธรรมถึงที่สุดแล้วมันก็ไม่แยกจากกัน ต้องเอาธรรมะมาใช้กับชีวิตทางโลกให้ได้มาก 
4/17/202428 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25670119pm--ไม่คาดหวัง ใจก็ไม่ทุกข์

19 ม.ค. 67 - ไม่คาดหวัง ใจก็ไม่ทุกข์ 
4/16/202426 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25670118pm--อย่ามัวโทษคนอื่นเมื่อใจเป็นทุกข์

18 ม.ค. 67 - อย่ามัวโทษคนอื่นเมื่อใจเป็นทุกข์ : ไม่ว่าใครจะทำอะไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้เลย ตราบใดที่เราไม่ร่วมมือด้วย อาจารย์ชยสาโรท่านพูดดีว่า ไม่มีใครมาทำให้เราโกรธ ไม่มีใครมาทำให้เราทุกข์ได้ มีแต่คนที่มาเชิญชวนให้เราทุกข์ ให้เราโกรธ อยู่ที่ว่าเราจะรับคำเชิญของเขาหรือเปล่า พูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า ถ้าเราทุกข์เมื่อไหร่ แสดงว่าเรารับคำเชิญและคำชวนของเขา แล้วอย่างนี้จะไปโทษใคร อันที่จริงพระพุทธเจ้าเคยพูดกับพราหมณ์คนหนึ่ง พราหมณ์ด่าท่านอยู่เรื่อยๆ แต่ท่านก็ไม่สนใจ แล้วท่านพูดกับเขาในเวลาต่อมาว่า ถ้าหากว่ามีคนมาบ้านท่าน ท่านจะทำอย่างไร พราหมณ์บอกว่า เขาจะเอาของกิน ของขบเคี้ยวมาให้อาคันตุกะ พระพุทธเจ้าจึงถามว่า แล้วถ้าอาคันตุกะไม่รับของขบเคี้ยวของท่าน ของนั้นจะเป็นของใคร พราหมณ์ตอบว่าเป็นของข้าพเจ้าสิ   พระพุทธเจ้าจึงตอบว่า ฉันใดก็ฉันนั้น คำต่อว่าด่าทอของท่าน ในเมื่อเราไม่รับ มันจะเป็นของใคร พระพุทธเจ้าไม่ทุกข์เพราะว่าไม่รับคำต่อว่าด่าทอของเขา แปลว่าอะไร แปลว่าที่เราทุกข์เพราะไปรับคำตอบว่าด่าทอของเขาเข้ามากรีดแทงใจเรา และนี่เป็นความรับผิดชอบของใคร   เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเมื่อพูดถึงความทุกข์แล้ว โดยเฉพาะความทุกข์ใจ ไม่ว่ารอบตัวเราจะเป็นอย่างไร จะเจอการกระทำหรือคำพูดของใคร แต่เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ ถ้าเราวางใจให้ถูกต้อง และแน่นอนถ้าเราวางใจได้ดี และเราประพฤติตัวดี มีการกระทำที่ถูกต้องทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม การที่จะมีสิ่งร้ายๆ เกิดขึ้นกับเราก็จะน้อยลง   ถ้าเราใช้เงินอย่างระมัดระวัง มีสติ พาลูกเดินเที่ยว เข็นลูกไปเที่ยวอย่างมีสติ มีความระมัดระวัง มันก็ไม่เกิดเหตุร้ายกับลูกของเรา และถ้าเราดูแลสุขภาพดี มันก็ไม่เกิดความเจ็บป่วยขึ้นกับเรา แต่ถึงแม้มันจะมีความเจ็บป่วยเกิดขึ้น แม้ว่าเราจะดูแลตัวเองดีแล้ว หรือทั้งๆ ที่เราขับรถดีแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาเฉี่ยวมาชนเรา แต่เราก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ อย่างน้อยก็ไม่ทุกข์ใจ ถ้าเรารู้จักวางใจได้ถูกต้อง   เพราะฉะนั้นเวลามีความทุกข์ ก็อย่ามองออกไปข้างนอกตัว เราต้องกลับมาดูที่ใจของเรา เพราะถ้าเรากลับมาดูที่ใจของเรา การที่จะออกจากทุกข์ การที่จะแก้ทุกข์ก็เป็นไปได้ แม้ว่าสิ่งแย่ๆ จะยังคงอยู่
4/14/202429 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670117pm--รักษาใจให้เป็นอิสระจากความคิด

17 ม.ค. 67 - รักษาใจให้เป็นอิสระจากความคิด : ถ้าเรามีสติ เรามีความรู้สึกตัว เราก็จะรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น ยามที่คำพูดหรือการกระทำของเขามากระทบหูหรือกระทบตาของเรา อารมณ์เกิดขึ้น อันนี้ห้ามไม่ได้สำหรับตัวปุถุชนเมื่อมีการกระทบกับรูปหรือเสียง แต่ว่าอารมณ์นั้นก็ทำอะไรใจไม่ได้ ใจของเราก็ยังสงบได้ แม้จะอยู่ในห้องที่เสียงดังอึกทึก แม้ว่าคนรอบข้างจะทำตัวไม่น่ารัก ใจก็ไม่มีความหงุดหงิด ไม่มีความโมโห ฉะนั้นมันทำให้เราเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อม จากคนรอบข้าง จากสิ่งรอบตัวได้ ไม่ได้แปลว่าจะสงบได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในห้องที่ไม่มีเสียงดัง เพราะถ้ามีเสียงเมื่อไหร่ก็จะกระตุ้นให้เกิดความคิด เกิดอารมณ์ขึ้นมา ไม่ว่าความคิดหรืออารมณ์จะเกิดขึ้น แต่ก็ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะว่าเรารู้ทัน เรารู้ทันทีที่มันเกิดขึ้นในใจ   และถ้าเราสามารถจะรักษาใจให้เป็นอิสระจากความคิด ต่อไปเราก็จะเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่มากระทบจากภายนอก ก็ไม่ทำให้ใจเราหงุดหงิด มันจะมาล่อหลอกให้เราเกิดความโลภ เกิดความโกรธ หรือยั่วยุให้เราเกิดความโกรธ ก็ทำไม่สำเร็จ อันนี้เป็นเพราะการฝึกใจให้มีสติที่รวดเร็ว มีความรู้สึกตัวอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความสงบ สงบในใจแม้รอบตัวจะว้าวุ่นก็ตาม   พูดอย่างนี้หลายคนก็อาจจะไม่ค่อยเข้าใจถ้าไม่ปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ลองทำดู ก็จะรู้แต่เพียงว่าไม่มีความคิดเกิดขึ้น แล้วใจก็จะสงบ แต่ไม่ได้รู้ว่าแม้ความคิดเกิดขึ้นแล้วใจสงบก็ยังได้ ถ้ารู้ทันหรือรู้ว่ามีความคิดนั้นอยู่ นี่คือสิ่งที่คนที่ไม่ปฏิบัติหรือคนที่ไม่ได้ศึกษาจิตใจของตัวเองจะไม่เห็น เพราะฉะนั้นก็เอาแต่คิดหาทางควบคุมความคิดให้มันหยุดคิด หรือไปบังคับจิตให้เพ่งอยู่กับสิ่งอื่น มันจะได้ไม่คิด เพ่งลมหายใจ เพ่งมือเพ่งเท้า   มันมีวิธีที่ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ ความสงบที่เกิดขึ้นในใจมันสามารถจะเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องบังคับจิต ไม่ต้องควบคุมความคิด เพียงแต่รู้ทันมัน แล้วต่อไปเราก็จะได้เห็นว่าความคิดของเรา มันมีอุบายต่างๆมากมายที่สามารถจะล่อให้เราหลง จะหลอกให้เราเชื่อ แล้วก็ทำให้เราเป็นทุกข์ หรือบางทีก็เสียผู้เสียคนไปเลย แต่ถ้าเรารู้ทันหรือว่ารู้ทัน มันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้   ถ้าเรารู้ทางรู้ทันบ่อยๆ ความคิดที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆ เชื่อง แล้วก็ค่อยๆ มีลวดลายหรือมีอุบายน้อยลง หรือตกเป็นเครื่องมือของกิเลส ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ ความอิจฉา ความเกลียดชังน้อยลง กิเลสมันจะมาอาศัยความคิด มาหลอกล่อเราให้ทำตามมัน สนองปรนเปรอมัน หรืออยู่ในอำนาจของมัน ก็ทำไม่ได้ เพราะว่าความคิดมันไม่ได้เป็นนายเราอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าเราเป็นนายความคิดมากกว่า ซึ่งอันนี้จะทำให้เราสามารถใช้ความคิดให้เกิดประโยชน์ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีความคิดเลย มีได้ แต่รู้ทัน แล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์
4/13/202425 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25670111pm--อย่ามาวัดเพียงแค่หาความสงบ

11 ม.ค. 67 - อย่ามาวัดเพียงแค่หาความสงบ : ถ้ามาวัดด้วยความคาดหวังว่าจะได้พบกับความสงบ แล้วเกิดไม่เจอความสงบอย่างที่คาดหวัง เกิดความหงุดหงิด ขุ่นเคือง กลายเป็นว่ามาแล้วเกิดทุกข์ขึ้นมา หรืออาจจะมาได้เจอความสงบอย่างที่คาด แต่อยู่ๆไปความสงบที่เคยพบหายไป อาจจะเป็นชั่วครู่ชั่วยาม เช่น มีเสียงดัง หรือว่าคนพูดไม่ถูกหู ทำอะไรไม่ถูกใจ ถ้าเกิดเป็นครั้งเป็นคราว ยังพอไหว แต่ว่าถ้าเกิดบ่อยๆ จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา ผิดหวัง จะดีกว่าถ้าหากว่าเราตั้งจิตว่า ไม่ได้มาวัดเพื่อความสงบ แต่ว่าเพื่อมาฝึกตน ถ้าเราตั้งจิตแบบนี้ ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นที่นี่ จะมีเสียงดังจากนอกวัด เสียงพูดคุยจากคนในวัด หรือว่าการกระทำคำพูดที่ไม่ถูกหู ไม่ถูกใจ หรืออะไรต่างๆ เช่น ความไม่สะดวกสบาย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มาเป็นประโยชน์สำหรับการฝึกตนได้ทั้งนั้น   ถ้าเรามุ่งเพื่อการฝึกตน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าบวกหรือลบ ดีหรือร้าย ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้นสำหรับการฝึกใจ ไม่ใช่เพื่อฝึกให้เกิดความอดทนเท่านั้น แต่ว่าฝึกให้สามารถที่จะรับมือหรืออยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์   ถ้าเรามาวัดเพื่อฝึกฝนตนโดยเฉพาะการฝึกใจ ไม่ใช่แค่มาอยู่ง่ายกินง่ายอย่างเดียว แต่ว่ามาฝึกสติ ฝึกสมาธิ ทำความรู้สึกตัว หรือว่าลดละกิเลส ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นที่นี่ ล้วนเป็นของดีทั้งนั้น เพราะเป็นอุปกรณ์หรือเป็นการบ้าน วัตถุดิบสำหรับการฝึกตน ทำให้เรามีสติไว รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น เวลามีอะไรมากระทบ หรือรู้จักวางจิตวางใจให้เป็นกลางต่อสิ่งที่มากระทบได้   ถ้าหากว่าเรามาวัดเพื่อหาความสงบ นอกจากจะมีโอกาสผิดหวังแล้ว อาจจะไม่ได้ประโยชน์จากการมาวัดเท่าที่ควร โดยเฉพาะที่ซึ่งเป็นสำนักปฏิบัติธรรมที่มุ่งเรื่องการฝึกฝนตน
4/12/202426 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25670110pm--รู้ทันความคิดจนจิตเป็นอิสระ

10 ม.ค. 67 - รู้ทันความคิดจนจิตเป็นอิสระ : คนเราทุกข์เพราะความคิดก็เพราะเหตุนี้ เพราะว่าชอบเติมแต่งไปจนมันเกินเลยไป ถ้าหากว่าเราเจริญสติ มันต้องเห็นไปเรื่อยๆ เห็นลึกขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นว่าการที่ใจมันยึดเข้าว่าเป็นเรา เป็นของเรา ตรงนี้คือที่หลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอว่า เห็น ไม่เข้าไปเป็น ถ้าเรามีสติเห็นอยู่ชัดๆ มันจะไม่เข้าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา แล้วมันจะรู้ทันเลยว่า มันมีการปรุงตัวกูขึ้นมา เป็นผู้โกรธ เป็นผู้เกลียด เป็นผู้ปวด เป็นผู้เครียด มันมีการปรุงตัวกูขึ้นมา ถ้าไม่รู้จักพิจารณา ไม่รู้จักเฝ้าดูใจของตัว ไม่มีสติที่ไวพอ ก็จะไม่เห็นตรงนี้ และตรงนี้มันคือรากเหง้าของความทุกข์ การปรุงตัวกูขึ้นมา มันเป็นยิ่งกว่าการตีค่า มันมากกว่าการเติมแต่งหรือการตีความ แต่มันเป็นการสร้างตัวทุกข์ขึ้นมาเลย   การเจริญสติ ถ้าหากว่าเรามีสติที่ละเอียด และไว เราจะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่แค่มารู้ว่าโกรธ หลังจากที่โกรธไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่ามันจะรู้แม้กระทั่งเวลาขณะที่กำลังโกรธ เห็นชัดๆ เลย อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า เห็นแบบจังๆ เห็นแบบซึ่งๆ หน้า   ต่อมามันจะเห็นเร็วขึ้น จนกระทั่งว่าเพียงแค่มีความกระเพื่อมในจิตใจ เห็นความหงุดหงิดขึ้นมา มีความหงุดหงิดขึ้นมาก็รู้ทัน เห็นมันได้ทันที ต่อไปก็จะเห็นว่า ที่เราทุกข์เพราะเราชอบให้ค่าหรือตีค่าไปในทางลบ หรือตีความไปในทางร้าย หรือเติมแต่งไปต่างๆ นานา จนกระทั่งเห็นชัดๆ เลย เป็นเพราะการปรุงตัวกูขึ้นมา ที่มันเป็นตัวการทำให้ทุกข์   ถ้าเราเจริญสติ ไม่เห็นตรงนี้ มันก็แค่มีความสบายชั่วคราว รู้ทันความคิดรู้ทันอารมณ์ ก็วาง ปล่อย สุดท้ายก็กลับมาทุกข์ใหม่ เพราะไม่รู้ทันการตีค่า ให้ค่า หรือการตีความ หรือว่าปล่อยให้ใจปรุงแต่งไปสารพัด จนกระทั่งเข้ารกเข้าพก รวมทั้งการเข้าไปเป็น ไม่ว่ามีอารมณ์ใดเกิดขึ้นก็เข้าไปเป็น หรือเข้าไปยึดสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทรัพย์สมบัติต่างๆ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวการของความทุกข์   แต่ถ้าเรามีสติที่เจริญงอกงาม ก็จะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นทะลุทะลวง จนกระทั่งถึงตัวที่เป็นสมุทัย คือ รากเหง้าแห่งความทุกข์ ซึ่งก็อาจจะช่วยทำให้เราปลดเปลื้องใจออกจากความทุกข์ได้ในที่สุด
4/11/202426 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25670109pm--สุขเพราะพอใจสิ่งที่มี

9 ม.ค. 67 - สุขเพราะพอใจสิ่งที่มี 
4/10/202427 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25670108pm--พบสุขเมื่อใจสงบ

8 ม.ค. 67 - พบสุขเมื่อใจสงบ : คนเราถ้าได้เข้าถึงความสุขที่เกิดจากความสงบ มันก็ไม่มีความรู้สึกที่จะต้องไล่ล่าหาสิ่งเร้า หรือว่าแสวงหาอะไรใหม่ๆ เพื่อมาปรนเปรอความสุข และความสุขที่เกิดจากความสงบ แม้ว่ามันจะเกิดได้ยาก แต่ว่ามันก็ยั่งยืนกว่า และการภาวนา การเจริญสติ การทำกรรมฐาน มันคือการพาเราให้เข้าถึงความสุขที่ประณีตคือความสงบ เป็นความสุขที่เงินซื้อไม่ได้ แล้วก็ใครให้ก็ไม่ได้ เป็นความสุขที่แม้แต่จะหาก็ยังหาไม่ได้เลย แต่เกิดจากการทำ ทำให้มีขึ้น   หรือจะไปหาความสงบก็ได้เหมือนกัน จากสถานที่ๆ สงบ แต่ถ้าวางจิตไม่ถูก มันก็ยังคิดฟุ้งปรุงแต่ง ห่วงโน่นห่วงนี่ เหมือนกับนักธุรกิจแม้จะไปอยู่ในที่ๆ มันสงบ ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่เสียงธรรมชาติ แต่ว่าใจเขาก็ไม่สงบ เพราะว่าเขายังห่วงงาน บางคนก็ห่วงลูก ห่วงครอบครัว บางทีก็กังวลสารพัด จนนอนไม่หลับก็มี ความสงบแบบนี้ มันไม่ได้เกิดจากการที่ไปหาแล้วเจอ   บางคนมักจะพูดว่า ไปหาความสงบ แต่ความสงบที่ได้มาจากการหา มันเปราะบางมาก คนที่มาหาความสงบที่นี่อย่างที่วัด บางทีก็ผิดหวัง เช่น เจอเสียงดังเมื่อ 2-3 วันก่อน มีเสียงกระหึ่มจากงานเลี้ยงทำบุญบ้าน หรือบางทีก็มีงานศพ มีงานฉลองสารพัด หรืออาจจะเจอผู้คนที่ไม่น่ารักน่าระอา ก็ทำให้ใจไม่สงบได้   ความสงบที่เกิดจากการหามามันเปราะบาง แต่ความสงบที่เกิดจากการทำขึ้นมา ทำด้วยสติ ทำด้วยสมาธิ ทำด้วยปัญญา อันนี้จะเป็นความสงบที่มั่นคงกว่า ถึงแม้ว่ามันก็ตกอยู่ภายใต้ อนิจจัง คือความไม่เที่ยง แต่ว่าตราบใดที่คนเรามีความสามารถในการรักษาใจให้สงบ แม้ว่าใจกระเพื่อม แต่ว่าก็สามารถจะกลับมาเป็นปกติสงบได้ไว   และพอสงบได้แล้ว การอยู่แบบเรียบง่าย การอยู่แบบไม่เป็นทาสของวัตถุสิ่งเสพ ใครเขาจะได้อะไรมา แต่เราก็ไม่สนใจจะได้ เพราะว่าความสุขของเราไม่ได้อยู่ที่การได้ ไม่ได้อยู่ที่การมีด้วยซ้ำ แต่อยู่ที่ความสงบ ซึ่งเกิดจากการทำอันนี้มันยั่งยืนกว่า 
4/9/202424 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25670105pm--สติช่วยชีวิตในยามวิกฤต

5 ม.ค. 67 - สติช่วยชีวิตในยามวิกฤต : เราเห็นคุณค่าของสติ ตระหนักว่าสติจะทำงานได้ดีได้ไว มันต้องผ่านการฝึก ผ่านการทำซ้ำๆ แล้วก็สามารถจะใช้เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะเวลาถูกกระทบด้วยสิ่งเร้าที่กระตุ้นให้เกิดความไม่พอใจ อย่างเช่น ฝึกสติเวลามีคนต่อว่า มีคนติฉินนินทา เราจะครองสติได้อย่างไร เวลามีคนเหวี่ยงคนวีนต่อหน้าหรือใส่หน้าเรา เราจะมีสติได้อย่างไร หรือว่าเวลาใครไม่ว่าจะทำหรือใช้คำพูดไม่ถูกใจเรา ไม่ว่าเขาเป็นลูกน้องเรา หรือว่าเขาเป็นเจ้านายเรา หรือเป็นเพื่อนร่วมงานเรา เราจะครองสติได้อย่างไร ใหม่ๆ ก็โกรธ กว่าจะรู้ตัวว่าโกรธก็ด่าไปเรียบร้อยแล้ว หรือว่าโวยวายไปเรียบร้อยแล้ว   แต่ว่าถ้าเราไม่ย่อท้อ เออ เราก็เพียรฝึกไปเรื่อยๆ ต่อไปก็จะพบว่าสติเรามาไวขึ้น ยังไม่ทันจะว่า ยังไม่ทันจะโวยวายเลย เราก็มีสติรู้ตัวแล้ว และไม่ปล่อยใจให้เผลอพูดหรือทำไปตามอารมณ์ ต่อไปมันก็จะมีสติไว กระทั่งว่าเพียงแค่เกิดความไม่พอใจ ยังไม่ทันโกรธเลยก็รู้ทันเสียแล้ว ไม่ปล่อยให้มันลามกลายเป็นความโกรธ   ดังนั้นต่อไปก็อาจจะมีสติถึงขั้นว่าสามารถที่จะยิ้มได้หรือนิ่งได้ แม้ว่าจะถูกต่อว่าด่าทออยู่เบื้องหน้าก็ตาม เราฝึกได้ แล้วควรใช้โอกาสพวกนี้ฝึกในชีวิตประจำวัน เวลามีเสียงดัง เสียงโทรศัพท์ดังในขณะประชุม ในขณะที่กำลังฟังธรรม ในขณะที่สวดมนต์ แล้วเราจะมีสติได้อย่างไร ใช้โอกาสนี้ในการฝึกสติ ในชีวิตประจำวันของเรา มันเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น รถติด หรือว่าเพื่อนผิดนัด ถ้าเราเอาแต่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ ไปตามสิ่งเร้า นอกจากเราจะทุกข์แล้ว นอกจากโมโห นอกจากหงุดหงิดแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย เลยทุกข์ฟรีๆ แล้วก็เสียโอกาสในการฝึกสติ   เราต้องฝึกสติแบบนี้ ฝึกเวลามีสิ่งมากระทบ ถ้าเราเจอบ่อยๆ แล้วเราใช้โอกาสนี้ในการฝึก เราก็ได้ฝึกสติเรียกว่าบ่อยขึ้น แล้วมันเป็นโอกาสดี เพราะถ้าเราไม่ฝึกจากเหตุการณ์แบบนี้ มันก็เหมือนกับเราขาดการซ้อม พอเราขาดการซ้อม ถึงเวลาเจอวิกฤตหนักๆ ไปไม่ถูก เสียผู้เสียคนไปเลย หรือเสียศูนย์ไปเลย หรือบางทีก็ทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำซึ่งเป็นโทษกับตัวเอง   การฝึกสติ นอกจากการฝึกสติในรูปแบบด้วยการทำอะไรซ้ำๆ ด้วยความรู้สึกตัว ใจเผลอใจลอยไปก็รู้ทัน พาจิตกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวในสิ่งที่ทำ ยังหมายถึงการฝึกสติเวลามีอะไรมากระทบในชีวิตประจำวันซึ่งมันมีบ่อย เราอาจจะเจอทุกวัน ถ้าเราใช้โอกาสนี้มาเป็นการฝึก เราก็ได้ประโยชน์ สติเราก็จะเติบโต แล้วการตอบโต้การปฏิบัติของเรามันก็จะแคล่วคล่องว่องไวในสิ่งที่ถูกต้อง
4/8/202425 minutes, 17 seconds
Episode Artwork

25670104pm--เสียงดังแค่ไหน ใจวางเฉย

4 ม.ค. 67 - เสียงดังแค่ไหน ใจวางเฉย 
4/7/202425 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25670103pm--สอบวิชาที่สำคัญของชีวิต

3 ม.ค. 67 - สอบวิชาที่สำคัญของชีวิต
4/6/202427 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25670102pm--ทำวันนี้ให้เป็นวันดีของชีวิต

2 ม.ค. 67 - ทำวันนี้ให้เป็นวันดีของชีวิต 
4/5/202429 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25670101pm--ทุกวันคือโชคที่ควรใช้ให้คุ้มค่า

1 ม.ค. 67 - ทุกวันคือโชคที่ควรใช้ให้คุ้มค่า : การฝึกตนให้พร้อม ไม่จำเป็นต้องหมายถึงการมาปฏิบัติธรรมด้วยการมานั่งทําสมาธิ เดินจงกรม สร้างจังหวะ อันนั้นเป็นการซ้อม แต่ว่าถ้าเราฝึกจากของจริง ฝึกจากสิ่งที่มากระทบในชีวิตประจําวัน ฝึกจากสิ่งที่ไม่ถูกอกถูกใจ สิ่งที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง สิ่งที่ไม่ถูกใจ แม้กระทั่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องในความรู้สึกของเรา เจอแล้วเราสามารถจะวางใจเป็นปกติได้ ถ้าเราวางใจให้เป็นปกติเมื่อมีสิ่งที่มากระทบ เราก็จะมีความพร้อมมากขึ้น ในการที่จะรับมือกับความทุกข์ที่เกิดขึ้นในวันข้างหน้า แต่ถ้าชีวิตของเรามันไม่เจออะไรมากระทบเลย มันเจอแต่ความสงบราบเรียบ ทุกอย่างเลิศเลอเพอร์เฟคทำให้ใจเราสงบได้ แบบนี้ต้องถือว่ามีความเสี่ยง เพราะว่าไม่มีประสบการณ์ในการที่จะรับมือกับสิ่งกระทบเลย เมื่อเราไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับสิ่งกระทบ ไม่รู้จักเอาสิ่งนี้มาฝึกสติ มาสร้างปัญญา ถึงเวลาเจอความแก่ ความเจ็บ ความป่วย ความพลัดพรากสูญเสีย ความตาย ก็เสียศูนย์   ความสงบที่มีที่ได้มาในระหว่างการอยู่ในสถานที่ที่อํานวย เป็นสัปปายะ มันไม่พอที่จะทำให้เรารับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนจากสิ่งที่มากระทบ แล้วเรียนรู้จากมัน ฝึกจิตให้มีสติ มีปัญญา ธรรมเหล่านี้ที่จะทําให้เราพอจะมีเครื่องไม้เครื่องมือ หรือมีอุปกรณ์ในการที่จะรับมือกับความทุกข์หนักๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเราในวันข้างหน้าได้   เพราะฉะนั้นให้เราถือว่าโชคที่เรามีเวลาในวันนี้ มันไม่ได้เป็นไปเพื่ออะไรเลย แต่เพื่อให้เราได้มีเวลาในการฝึกฝนตนให้พร้อมสําหรับศึกที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
4/4/202430 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661231pm--ของขวัญที่คู่ควรกับชีวิต

31 ธ.ค. 66 - ของขวัญที่คู่ควรกับชีวิต : สำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้ว เขารู้จักเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรม เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นปัญญา ถ้าเราเห็นเช่นนี้ เราก็จะพบว่าสิ่งที่เราควรทำ สร้างสรรค์ให้เป็นเสมือนของขวัญของชีวิตนี้ ปีใหม่นี้ใครๆ ก็พูด ใครๆ ก็ปรารถนาของขวัญ แต่ของขวัญที่ดี มันเป็นของขวัญที่เราสร้างขึ้นมาเองหรือทำขึ้นมา แล้วก็ไม่มีอะไรที่ดีกว่าธรรมะ ของขวัญที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การที่เรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เพราะถ้าเรามีสติก็จะช่วยทำให้ความคิดหลอกเราไม่ได้   ทุกวันนี้คนเราทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะใคร ไม่ใช่ทุกข์เพราะอะไร แต่ทุกข์เพราะถูกความคิดมันหลอก หลอกให้โกรธ หลอกให้กลัว หลอกให้เครียด เพราะไปมัวปรุงแต่งกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น มองอนาคตไปในทางลบทางร้าย หรือปรุงแต่งกับสิ่งที่ไม่รู้ในปัจจุบัน เหมือนกับคนที่อยู่ในกุฏิคนเดียว อยู่ในห้องคนเดียวกลางป่า แล้วก็นอนไม่หลับกระสับกระส่าย เพราะไปนึกไปคิดว่ามีผี มีคนที่มุ่งร้ายหมายปองร้ายอยู่ข้างนอก   ผีก็ดี คนที่มุ่งร้ายก็ดี มันเป็นความคิดทั้งนั้น ไม่ได้มีอยู่จริง เป็นความคิดที่ปรุงเข้ามาในหัว ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าคนที่มีสติก็จะไม่โดนความคิดนี้มันหลอก รู้ทันความคิด รู้ว่านี่เป็นสิ่งปรุงแต่ง นอกจากไม่โดนความคิดหลอกให้โกรธ ให้กลัว ให้เครียดแล้ว ก็ยังไม่โดนความคิดลวงให้ทุกข์ด้วย บางทีความคิดก็ชวนให้หลงไปจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตที่เจ็บปวด ที่ทำให้เกิดความเศร้าโศก เกิดความคับแค้นหรือเกิดความรู้สึกผิด ถ้าโดนความคิดมันลวง มันก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย กลายเป็นคนอมทุกข์ ต่อไปก็กลายเป็นคนซึมเศร้า ทั้งๆ ที่อยู่สุขสบาย มีรถ มีบ้าน มีทรัพย์สินเงินทอง มีโชคมีลาภแต่ว่าหาความสุขในจิตใจไม่ได้ หาความสงบในจิตใจไม่ได้ เพราะโดนความคิดหลอก หลอกให้โกรธ หลอกให้กลัว หรือโดนความคิดลวงให้ทุกข์   แต่ถ้ามีสติ ความคิดมันก็จะหลอกหรือลวงเราไม่ได้ เราก็จะพบกับความสงบ เพราะว่าสามารถจะใช้ความคิดไปในทางที่สร้างสรรค์ได้ แทนที่มันจะคิด มันจะหลอก หรือลวงให้คิดแต่ในทางลบ ก็รู้จักคิดในทางบวก   ปีหน้า ถ้าเรารู้จักคิดแบบภรรยาที่เล่ามาในตอนต้น เราจะพบว่ามันไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย บางคนเริ่มกลัวแล้วว่าเดี๋ยวจะเจอปีชง แต่คนที่รู้จักมองไม่ว่าเจออะไร มันก็จะเห็นด้านดีของมันด้วย ด้านที่เสียก็อาจจะมี แต่ด้านที่ดีมันก็มี อันนี้เราเรียกว่ารู้จักมองบวก
4/3/202435 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661230pm--เพราะรู้จึงเป็นอิสระ

30 ธ.ค. 66 - เพราะรู้จึงเป็นอิสระ
4/2/202428 minutes, 31 seconds
Episode Artwork

25661229pm--สุขปีใหม่ถ้าวางใจถูก

29 ธ.ค. 66 - สุขปีใหม่ถ้าวางใจถูก
4/1/202426 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25661228pm--มองให้เป็นก็เห็นสิ่งดีๆในปีนี้

28 ธ.ค. 66 - มองให้เป็นก็เห็นสิ่งดีๆในปีนี้
3/31/202426 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25661227pm-หนาวแต่กาย ใจไม่ทุกข์

27 ธ.ค. 66 - หนาวแต่กาย ใจไม่ทุกข์ 
3/25/202428 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25661226pm-เตรียมใจรับมือกับความพลิกผัน

26 ธ.ค. 66 - เตรียมใจรับมือกับความพลิกผัน 
3/24/202425 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25661224am--ทำบุญให้ถึงธรรม

24 ธ.ค. 66 - ทำบุญให้ถึงธรรม
3/23/202426 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25661221pm--เติมสุขให้ใจ

21 ธ.ค. 66 - เติมสุขให้ใจ
3/22/202433 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25661220pm--รู้ใจก็ไกลทุกข์

20 ธ.ค. 66 - รู้ใจก็ไกลทุกข์
3/21/202428 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25661219pm--ผ่านทุกข์ก่อนจึงจะพบสุข

19 ธ.ค. 66 - ผ่านทุกข์ก่อนจึงจะพบสุข
3/20/202428 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661218pm--หมั่นทิ้งขยะอารมณ์

18 ธ.ค. 66 - หมั่นทิ้งขยะอารมณ์
3/19/202428 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25661217pm--อย่าปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา

17 ธ.ค. 66 - อย่าปล่อยให้ความคิดเป็นนายเรา
3/18/202425 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25661216pm--ปลอดภัยได้เพราะเห็น

16 ธ.ค. 66 - ปลอดภัยได้เพราะเห็น
3/17/202427 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25661215pm--เตรียมใจก่อนกลายเป็นคนอื่น

15 ธ.ค. 66 - เตรียมใจก่อนกลายเป็นคนอื่น 
3/16/202429 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25661214pm--สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา

14 ธ.ค. 66 - สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา : เราใส่ใจกับเรื่องอะไร จิตของเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยากให้ใจเรามีความสุข มีความสงบ เราก็ต้องรู้จักที่จะใส่ใจ ซึ่งก็ได้แก่มารู้กายรู้ใจ มาใส่ใจกับกายเวลาเคลื่อนไหว มาสังเกตรู้ทันความคิดและอารมณ์ เมื่อมันมีสิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นในใจ ถ้าเราเห็นคุณค่าของความใส่ใจ ตระหนักว่ามันเป็นทรัพยากรที่มีค่า เราจะหวงแหน ทะนุถนอมว่าเราจะใส่ใจกับอะไร จะไม่มัวแต่ปล่อยให้ใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องราวของชาวบ้าน คำพูดคำจาที่ชวนให้หงุดหงิด ที่บางท่านเรียกว่าเป็นขยะที่หลุดจากปากของใครต่อใคร เป็นเพราะเราไม่รู้จักควบคุมความใส่ใจของเรา หรือไม่รู้จักสงวน ไม่รู้จักรักษาความใส่ใจ จิตใจเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะว่ามัวไปจับไปฉวยเอาขยะ สิ่งที่ไม่เป็นสาระมาสุมไว้ในใจ แต่ถ้าเรารู้จักเลือกใส่ใจ เราก็จะรับเอาสิ่งดีๆ เข้ามา ทำให้จิตใจเราเบิกบานแจ่มใส เป็นกุศล และเจริญงอกงาม 
2/5/202426 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25661205pm--แง่คิดจากคนใกล้ตาย

5 ธ.ค. 66 - แง่คิดจากคนใกล้ตาย : ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ถึงแม้เราจะต้องตายจากโลกนี้ไป มันไม่มีอะไรต้องเสียดาย ที่จริงการใช้ชีวิตของเราแต่ละวันๆ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการใช้แต่ละวันเพื่อการเตรียมตัวรับมือกับความตายที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพราะไม่อย่างนั้น ถ้าความตายมาถึงมันทุกข์ทรมานมาก หรืออย่างน้อยๆ ก็ใช้เวลาแต่ละวันเตรียมรับมือกับความเจ็บความป่วยที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพาะก่อนที่เราจะตายเราจะต้องเจ็บป่วย ส่วนใหญ่นะ ไม่ใช่ตายฉับพลัน และหลายคนแม้ยังไม่ตายแต่ทุกข์ทรมานมากเพราะความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นทุกขเวทนาทางกายหรือทางใจ เพราะอะไรเพราะว่าช่วงเวลาที่ปกติสุข ไม่ได้สนใจเตรียมตัวเลย ทั้งๆ ที่มันมีโอกสจะเกิดขึ้นกับเรา 90 % เลย   และถ้าจะให้ดีก็เตรียมตัวรับมือกับความผันผวนปรวนแปรของชีวิต เรียนรู้จากความสูญเสียพลัดพราก เงินหาย ของหาย ก็ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดในการฝึกใจให้เผชิญกับสิ่งที่ไม่ถุกใจ หรือความผันผวนของชีวิตได้ เจอคำต่อว่าด่าทอก็ถือว่าเป็นเครื่องฝึกใจให้มีความมั่นคงหนักแน่น ถึงเวลาเจ็บเวลาป่วยก็จะไม่โวยวายตีโพยตีพาย ถึงเวลาตายก็สามารถจะเผชิญความตายได้อย่างสงบ   นี่คือบทเรียนที่เราสามารถครุ่นคิดหรือใคร่ครวญได้จากการระลึกถึงความตาย หรือถ้าให้ดีก็เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตของคนใกล้ตายอย่างหมอกิตไท ข้อเขียนของหมอกิตไทตลอดปีที่ผ่านมาก็สามารถเตือนใจเราได้ดีนะ เพราะเป็นการเอาประสบการณ์ของคนจริงๆ คนที่เจ็บป่วยจริงๆ คนที่ใกล้ตายจริงๆ มาบอกเล่า อ่านแล้วก็รู้สึกใกล้ตัว ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว ไม่ใช่เป็นเรื่องคิดเอาเอง   อันนี้ก็เป็นแง่คิดของคนที่เมื่อรู้ว่าจะตาย แต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้การตายของตนไร้ค่า แต่เอามาใช้เป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์ที่ยังอยู่ 
2/4/202426 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25661204pm--สุขได้ถ้าคาดหวังไม่สูง

4 ธ.ค. 66 - สุขได้ถ้าคาดหวังไม่สูง : ปัญหาคือว่าเวลาเราปฏิบัติธรรมแล้ว เรามักจะตั้งความหวังไว้สูง เช่นเดียวกับการทำความดี การทำบุญทำดี ทำดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรมนั้นดี แต่ว่ามันง่ายที่จะทำให้คนที่ทำดี ทำบุญหรือว่าปฏิบัติธรรมเผลอตั้งความหวังเอาไว้ หลวงพ่อครูบาอาจารย์พูดว่า ทำดี ทำบุญ ปฏิบัติธรรมแล้ว มันจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ พอปฏิบัติธรรมเข้า พอทำดีทำบุญ ก็เลยตั้งความหวังเอาไว้ และเป็นความหวังที่สูงด้วยโดยเฉพาะถ้าเกิดว่ายังทำความเพียรมาไม่มากพอ แต่ตั้งความหวังไว้สูง มันย่อมต้องผิดหวังได้ง่าย มันไม่ใช่เฉพาะคนที่หมกมุ่นกับเรื่องทางโลกที่ตั้งความหวังไว้สูงว่าอยากรวย หรือรวยกว่าคนอื่น หรือว่าอยากจะให้สังคมและคนรอบข้างชื่นชมสรรเสริญเรา แม้กระทั่งคนที่ใฝ่ธรรม ขยันทำความดี ขยันทำบุญ หรือว่าหมั่นปฏิบัติธรรม ก็มีโอกาสง่ายมากที่จะตกหลุมแห่งความทุกข์เพราะความคาดหวัง   ฉะนั้นไม่ว่าเราจะทำบุญ ทำดีหรือปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ตาม ให้ตระหนัก ระวัง อย่าไปคาดหวังสูง โดยเฉพาะความคาดหวังที่มันสูงเกินจริง ถ้าให้ดีก็ให้รู้จักวางมันลง แล้วก็ทำไปตามเหตุตามปัจจัย อะไรจะเกิดขึ้นก็ยอมรับ เพราะถ้าหากว่าเราตั้งความหวังไว้สูง แล้วยอมรับไม่ได้ แม้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเรา เราก็ยังทุกข์เพราะว่ามันไม่มากเท่าที่หวัง หรือมันไม่ตรงกับที่หวังเอาไว้   ปฏิบัติธรรมทั้งที ก็ต้องสามารถที่จะเห็นได้ว่าสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ มันไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร เราคาดหวังมันอย่างไร เรารู้สึกกับมันอย่างไร ตรงนี้ต่างหากที่เป็นตัวสมุทัยที่สำคัญ ปฏิบัติธรรมแล้วมองไม่เห็นตรงนี้ มันก็ง่ายที่จะยังทุกข์ต่อไปแม้ว่าจะมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับเราก็ตาม 
2/3/202426 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25661203pm--ปล่อยวางได้จึงพ้นภัย

3 ธ.ค. 66 - ปล่อยวางได้จึงพ้นภัย : วิชาปล่อยวิชาวางสิ่งต่างๆ แต่ที่เราปล่อยวางไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราๆ ความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นของเราๆ มันน่ากลัว เพราะถ้าเรายึดอะไรว่าเป็นเรา เป็นของเรา เรากลายเป็นของมันทันทีเลย เรายอมตายเพื่อมันได้ทั้งที่ภัยมาถึงตัวแล้ว เจ้าหน้าที่ดับไฟป่าเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมปล่อย ปล่อยอุปกรณ์ ปล่อยของหนักที่ถือในมือ หรือสะพายหลัง เพราะว่าไปยึดว่าเป็นของเราๆ หรือว่าเป็นเรา เป็นตัวตนของเรา หรือข้าราชการหลายคนไปยึดว่าบ้านเป็นของเรา รถเป็นของเรา หรือเป็นตัวเราเลยทีเดียว เป็นหน้าเป็นตา แต่พอต้องสูญเสียมันไป มันก็ไปกระทบกับตัวตน อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน เพราะว่าหน้าตาของเรา ศักดิ์ศรีของเราไปผูกติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้   อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการยึด เป็นเพราะยึดมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา อะไรก็ตามที่เราคิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ในแง่หนึ่งก็ให้ความสุข ถ้ามันยังอยู่กับเรา แต่ถ้าเมื่อใดวันดีคืนดีมันไปจากเรา มันทุกข์มากเลย มันไปจากชีวิตแล้ว แต่เรายังไม่ยอมปล่อยมันไปจากใจ ยังคิดถึงมัน ยังพะวงถึงมัน ยังอาลัยถึงมันอยู่ เหมือนกับว่าตัวตนบางส่วนของเราหายไป อันนี้เรียกว่าทำใจไม่ได้ แล้วที่ทำใจไม่ได้เพราะยังปล่อยวางมันไม่ได้ แล้วที่ปล่อยวางไม่ได้ เพราะไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา   ที่จริงมันไม่ใช่เฉพาะข้าวของเงินทองมากมายที่คิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เช่น ตำแหน่งหน้าที่ หรือแม้กระทั่งคนรัก คนเราไม่ค่อยเห็นโทษของการไปยึดว่า เป็นเรา เป็นของเรา บางทีไปยึดโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าเกิดเฉลียวใจว่า โอ เราไปยึดเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เกิดการเห็นโทษขึ้นว่า การยึดเช่นนี้มันเป็นโทษ เราก็จะเห็นความสำคัญการรู้จักปล่อยรู้จักวางมันออกไปจากใจ   แต่ถ้าเราปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ ถึงเวลาที่มันแปรเปลี่ยน หรือแปรปรวน สูญเสีย พลัดพรากไปจากเรานี้ มันอาจทำให้จิตสลายได้ และบางครั้งก่อนที่จิตจะสลาย ร่างกายก็มีอันเป็นไปเสียก่อน เพราะการที่ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เหมือนกับโจรมาปล้น มาจี้เอาเงิน เอาทรัพย์ เอาสร้อยแล้วเจ้าของไม่ยอม เพราะไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของฉันๆๆ หารู้ไม่ว่าตัวเองกลายเป็นของมันไปแล้ว จนยอมตายเพื่อมันได้   หลายคนก็ยอมตาย ยอมตายเพื่อที่จะรักษาสิ่งอันนั้นเอาไว้ ไม่ให้โจรเอาไป อันนี้เรียกว่าเอาตัวไม่รอด เพราะว่าความคิดที่ว่า มันเป็นเราเป็นของเรา เพราะไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง แล้วที่ไม่ปล่อย ไม่วาง หรือวางไม่ลง ความคิดว่าเป็นเราเป็นของเรามันจึงน่ากลัว เพราะเรากลายเป็นของมันทันที แล้วเราอาจจะตายเพื่อมันหรือตายเพราะมันก็ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
2/2/202427 minutes, 6 seconds
Episode Artwork

25661202pm--วางลง ปลงได้ ทำไม่ยาก

2 ธ.ค. 66 - วางลง ปลงได้ ทำไม่ยาก : เห็นกับเป็นมันตรงข้ามกัน เมื่อเห็นมันก็ไม่เข้าไปเป็น ก็คือไม่เข้าไปยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา หรือพูดอีกอย่างก็คือ การเห็นทำให้ไม่เปิดช่องให้มันมาทำร้ายใจได้ ในป่าเราเลี่ยงไม่ได้ต้องมีงู บนทางก็อาจมีหลุม เราเลี่ยงไม่ได้ เราปฏิเสธไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ เราเลี่ยงไม่ให้งูกัด ไม่เตะหนาม ใจของเราก็เหมือนกัน มันก็ปฏิเสธไม่ได้ มีความคิด มีอารมณ์ มีความโกรธ มีความหดหู่ อันนี้ห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ไม่เข้าไปยึด ไม่เข้าไปแบก ไม่ปล่อยให้มันมาทำร้ายใจ พูดอีกอย่างหนึ่งคือไม่ไปฉวย ไม่ไปยึด หรือไม่ไปแบกมันเอาไว้   เพราะฉะนั้นเรื่องการวาง หรือการปลง จริงๆ แล้วเราทำอยู่แล้ว ไม่ใช่ปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาคือชอบไปยึด ไปจับ ไปฉวย ไปแบกมากกว่า แต่ถ้ามีสติเห็น มีสติเห็นความคิดและอารมณ์ต่างๆ เห็นความทุกข์ การแบก การยึด การจับ การฉวยมันก็ไม่เกิดขึ้น วางแล้วก็วางเลย หรือถึงจะแบกแต่พอมีสติรู้ทันก็วางลง วางแล้วก็ไม่กลับมาแบกใหม่ อันนี้มันทำได้   ควรฝึกอยู่เสมอ ให้มีสติเห็น ให้มีสติรู้ทันความคิดและอารมณ์ และต่อไปการเห็นด้วยสติก็จะพัฒนาเป็นเห็นด้วยปัญญา ซึ่งทำให้ใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง 
2/1/202428 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25661201pm--จิตปลอดภัยเมื่ออยู่ในความรู้สึกตัว

1 ธ.ค. 66 - จิตปลอดภัยเมื่ออยู่ในความรู้สึกตัว : อย่างที่เราสวดกันมีตอนหนึ่งในบทภัทเทกรัตตคาถา ผู้ใดเห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าจะหมายถึงธรรม คือ รูป รส กลิ่น เสียง ภายนอกก็ได้ หรือหมายถึงความคิดและอารมณ์ภายในก็ได้ เห็นแล้วไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน คือไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ใจไม่กระเพื่อมเป็นการรู้ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา ใจที่มั่นคง ท่านสอนว่าให้ทําเช่นนั้นอยู่เนืองๆ ผู้ใดที่เห็นธรรมเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้งไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขาควรพอกพูนอาการเช่นนั้นไว้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราฝึกจิตให้มีสติมีความรู้สึกตัว ไม่มัวแต่พยายามฝึกจิตให้นิ่ง หรือว่าบังคับจิตให้สงบ แต่ว่ายังมีความรู้สึกตัวได้ไว รู้ทันความคิดและอารมณ์ได้เร็ว แล้วก็สามารถที่จะเห็นหรือรู้ด้วยอาการที่สงบมั่นคง ไม่คลอนแคลน อันนี้ยิ่งเท่ากับทําให้ใจมีเครื่องรักษา มีเครื่องอารักขา ทําให้ปลอดภัยไม่ว่ามารจะมาล่อเร้าเย้ายวน หรือยั่วยุยังไง ก็ไม่ทําให้ใจเป็นทุกข์ได้   เมื่อใจปกติแล้ว การที่จะรักษาตน ครองตนให้อยู่ในความดี มีศีล มีธรรม หรือไม่ก่อทุกข์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น ก็ยิ่งเป็นไปได้ ฉะนั้นการพยายามรักษาใจให้อยู่ในถิ่นที่ปลอดภัย จึงเป็นสิ่งสําคัญมาก ที่จะช่วยให้ใจเราเป็นปกติสุขได้อย่างแท้จริง
1/31/202426 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25661130pm--ขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตที่มุ่งธรรม

30 พ.ย. 66 - ขับเคลื่อนชีวิตด้วยจิตที่มุ่งธรรม : ถึงแม้ว่าชาวพุทธเราจะมีจุดมุ่งหมายที่ดูสูงส่ง ดูประเสริฐ แต่ว่าถ้าเราเรียนรู้จากคนเหล่านี้ นักกีฬาเหล่านี้ รวมทั้งนักว่ายน้ำมาราธอนที่กล่าวถึงตอนต้น ว่าเขาอุตส่าห์ทุ่มเทอย่างไร ถ้าเราเอาความทุ่มเทอย่างเขามาสักครึ่งหนึ่ง มาใช้กับการทำความเพียรเพื่อเข้าถึงธรรม เราจะก้าวหน้าไปเยอะ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้เขาก็เป็นแบบอย่างให้กับเราได้ ที่จริงถึงแม้ว่าสิ่งที่เขามุ่งหวังคือชื่อเสียงเกียรติยศ หรือว่าเหรียญทอง มันอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้มีความทุกข์น้อยลง ไม่ได้ช่วยดับทุกข์ แล้วก็อาจจะไม่ได้ช่วยทำให้โลกดีขึ้น แต่จะว่าไปมันก็เป็นแรงจูงใจหรือเป็นแรงบันดาลใจให้กับคน ว่าคนเราสามารถที่จะทำอะไรที่ทำได้ยากได้ อันนี้ก็เป็นแรงจูงใจที่ทำให้คนมีความเพียร แล้วถ้าเอาความเพียรนั้นมาใช้กับการทำสิ่งที่มีประโยชน์ มีสาระ มีคุณค่า ก็จะเกิดประโยชน์มาก   แต่การที่เราเอาอัตตาเป็นที่ตั้ง หรือว่าเป็นแรงจูงใจ ก็มีความเสี่ยง เพราะว่าพวกที่ก่อสงคราม ขยายดินแดน ขยายอาณาเขต ที่สร้างความทุกข์ยากเดือดร้อนให้กับผู้คน พวกนี้ก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะมีแรงจูงใจอย่างอื่นประกอบด้วย แต่ว่าการเอาอัตตาเป็นแรงจูงใจ ข้อดีมันก็มี มันทำให้คนสามารถทำสิ่งที่ทำได้ยากได้ แต่ถ้าหากว่าใช้ในทางที่ผิด มันก็ก่อความวุ่นวาย ก่อความเดือดร้อน ก่อหายนะให้กับมนุษย์ได้ อย่างที่เกิดขึ้นมาตลอดประวัติศาสตร์   มันจะดีกว่า ถ้าหากว่าเรามีจุดหมายในทางธรรม เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แล้วก็เพื่อความพ้นทุกข์ อันนี้เรียกว่าเพื่อประโยชน์ท่าน แล้วก็ประโยชน์ตนไปพร้อมๆ กัน แต่ถึงแม้จะมุ่งหวังในสิ่งที่ดีงาม แต่ถ้าขาดความเพียร มันก็ไม่เกิดประโยชน์   เพราะฉะนั้นถ้าเราเอาความเพียรของคนเหล่านั้นมาใช้เป็นแรงจูงใจให้กับเรา มันก็จะช่วยทำให้ธรรมที่เรามุ่งหวัง สามารถจะเกิดผลเป็นจริงได้ นี่คือสิ่งที่เราสามารถจะเรียนรู้จากคนเหล่านี้ได้ 
1/30/202428 minutes, 49 seconds
Episode Artwork

25661129pm--จะอยู่นิ่งหรือสู้ต่อไป

29 พ.ย. 66 - จะอยู่นิ่งหรือสู้ต่อไป : บางเรื่องบางอย่างมันตัดสินยาก อย่างเช่น คนที่ป่วยระยะสุดท้าย หลายคนก็คิดว่าถ้าสู้ไปเรื่อยๆ มันจะมีโอกาสรอด แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพอสู้ไปๆ แม้จะเป็นการยื้อชีวิตให้อยู่ได้ยืนยาวขึ้น แต่ว่ามันกลับเพิ่มความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วย ในกรณีแบบนี้แทนที่จะสู้ แต่ว่าปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบตามกระบวนการธรรมชาติ ยังจะดีกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องตัดสินใจยาก ไม่ว่าจะเป็นหมอ หรือว่าญาติของผู้ป่วย คนป่วยเขาหมดสภาพไปแล้ว แต่ญาติหรือหมอจำนวนไม่น้อยก็คิดว่าต้องสู้ แต่ว่าการสู้ บ่อยครั้งก็ทำให้คนป่วยทรมานหนักขึ้น การไม่สู้แต่ช่วยทำให้เขาจากไปอย่างสงบ อาจจะดีเสียกว่า ตรงนี้เป็นเรื่องที่ตัดสินใจยาก   ฉะนั้นถ้าหากว่าคนเรามีความสามารถในการแยกแยะได้ว่า กรณีใดที่ถ้าสู้แล้วจะรอด หรือจะประสบความสำเร็จ หรือกรณีใดสู้ไปก็มีแต่จะสร้างความทุกข์ สร้างความเสียหาย วิธีที่ดีที่สุดคือว่ายอม ไม่ทำอะไรเลย หรือทำให้น้อยที่สุด อาจจะเป็นการดีกว่าก็ได้ เผลอๆ อาจจะรอดก็ได้ อย่างกรณีแรกที่ลอยคออยู่กลางทะเล อันนี้เป็นโจทย์ที่มันหาข้อสรุปได้ยาก   คนเราก็คงจะต้องเจอกับโจทย์แบบนี้อยู่เรื่อยๆ หรืออย่างน้อยก็สักครั้งสองครั้งในชีวิต ว่าจะหยุดหรือว่าจะสู้ต่อไป บางครั้งการหยุดอาจจะดีกว่า แต่บางครั้งการสู้ต่อไปก็อาจจะทำให้ประสบความสำเร็จก็ได้ แต่ก็ไม่แน่ เพราะบางทีการสู้อาจทำให้ทำความทุกข์ทรมาน อันนี้เป็นเรื่องที่คงต้องใช้ประสบการณ์ และปัญญาในการแยกแยะ 
1/29/202429 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25661128pm--รู้จักหยุด รู้จักยอม จึงไปต่อได้

28 พ.ย. 66 - รู้จักหยุด รู้จักยอม จึงไปต่อได้ : แต่ถ้าเราเริ่มยอมรับ ยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง อย่างน้อยก็จะเจอธนูแค่สองดอก หรือยิ่งถ้าฝึกให้สามารถยอมรับความเจ็บปวดได้ ความทุกข์ใจก็จะน้อยลง แต่ถ้ายอมรับความเจ็บปวดไม่ได้ มีความทุกข์ใจเกิดขึนก็ยอมรับความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นนักปฏิบัติธรรมก็มีโอกาสที่จะเกิดความรูุ้สึกแบบนี้ได้ ถ้ายอมรับ ความทุกข์ก็จะน้อยลง เพราะฉะนั้น การที่เรารู้จักหยุด หรือรู้จักยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ยอมรับสิ่งที่ไม่ประสงค์ที่มันเกิดขึ้นกับใจของตัวเองหรือกับชีวิตของตัวเอง เป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าให้ความรู้สึกว่าฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม ฉันเป็นคนเพอร์เฟกต์ ฉันเป็นคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มาเป็นตัวที่ทำให้เราไม่ยอมรับความผิดพลาด หรือสิ่งที่ไม่ประสงค์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้   สิ่งแย่ๆ ถ้าเรายอมรับได้ มันก็ช่่วยลดความทุกข์ลงได้เยอะ และบางครั้งเราอาจจะต้องรู้จักหยุด รู้จักถอย เพื่อที่เราจะได้ก้าวเดินต่อไป ไม่ใช่เดินหน้าแล้วดันทุกรังไป สุดท้ายก็ตกเหวตกหน้าผา ซึ่งเป็นชะตากรรมที่เกิดขึ้นไม่น้อยเลยโดยเฉพาะกับคนที่เก่ง คนที่มีความสามารถ คนที่เป็นที่ยกย่อง เป็นไอดอลหรือไอคอนของผู้คน อันนี้เป็นกับดักที่ต้องระวัง 
1/28/202428 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25661125pm--อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้ประโยชน์

25 พ.ย. 66 - อย่าเสียเวลากับเรื่องไร้ประโยชน์ : คนเราไปเสียเวลาเสียอารมณ์ไปกับเรื่องพวกนี้มาก โดยเฉพาะคนที่ยึดมั่นในความถูกต้องจากคนอื่น ว่าเขาทำไม่ถูกต้อง เพื่อนบ้านส่งเสียงดัง เอาขยะมาวางไว้หน้าบ้าน หมาก็เห่า ลูกน้องหรือเจ้านายไม่เป็นธรรม ไปเสียเวลาแม้กระทั่งกับลูก กับภรรยาหรือสามี “พูดไม่เพราะกับฉัน” “ไม่เคยขอบคุณสักคำ” ถ้าเรามัวไปเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว และที่สำคัญคือ เรามีเวลาเหลือในโลกนี้น้อย อย่างที่คุณยายบอก “ผู้หญิงคนนี้กับฉัน กับคุณก็ตาม เราอยู่บนรถโดยสารคันนี้เพียงแค่ชั่วคราว ไม่นานเราก็ต้องลงแล้ว” รถโดยสารในที่นี้หมายถึงอะไร หมายถึงโลกใบนี้ เรามีเวลาอยู่ในโลกใบนี้เพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่นาน แล้วเวลาเราก็เหลือน้อยลงไปทุกที จะมัวเอาเวลาไปทะเลาะเบาะแว้งกับเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม ไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม   คนเรามักแยกไม่ออกว่า อะไรเป็นเรื่องเล็ก อะไรเป็นเรื่องใหญ่ บางคนเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปทุกเรื่อง โดยเฉพาะคนที่ถือตัวถือตน ถือเรื่องหน้าตา ถือเรื่องศักดิ์ศรี อย่างเรื่องผู้หญิงออฟฟิศเกิร์ลคนนั้นทำแบบนั้น มันต้องเอาเป็นเรื่อง ทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง รู้ไหมฉันเป็นใคร แต่ในเมื่อเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้น้อย แล้วก็ลดลงไปเรื่อยๆ เราก็อย่าไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย ให้ความสำคัญกับเรื่องที่สำคัญดีกว่า   รวมทั้งอย่าไปให้เวลากับความเศร้า ความโศก ความโกรธ ความแค้นมากนัก อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรี ปล่อยมันไปบ้าง เพื่อจะได้มีเวลาให้กับสิ่งที่สำคัญ เช่น คนที่เรารัก ลูก สามี ภรรยา พ่อ แม่ แล้วก็ตัวเรา ถ้าเราคิดแบบนี้ได้ เราจะมีเวลาสำหรับการฝึกฝนเพื่อที่จะพาชีวิตนี้เข้าสู่ชีวิตที่พึงปรารถนา สามารถฟันฝ่าคลื่นลมไปได้อย่างปลอดภัย 
1/27/202422 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661125am--เข้าใจมรรค ปฏิบัติถูก ชีวิตย่อมผาสุก

25 พ.ย. 66 - เข้าใจมรรค ปฏิบัติถูก ชีวิตย่อมผาสุก : คำว่า ขจัดเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป จริงๆ มันแสดงว่าเรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์ได้ เพราะเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจเรา ถ้าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่คนอื่นก็ยากแล้ว เพราะเราไปทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ถ้าเราพบว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา เราแก้ที่ใจเรา ทุกข์ก็หมดไป จะทําอย่างนี้ได้ ก็ต้องใช้สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาทิฏฐิ การที่แซมเขาคิดแบบนี้ว่าเราเปลี่ยนใครไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้ นี่ก็เป็นสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเราอาจจะมองว่าเป็นการคิดแบบโยนิโสมนสิการก็ได้ หรือบางทีเราก็ใช้คำว่าคิดบวกก็ได้   เพราะฉะนั้นคําว่า “มรรค” ถ้าเราจับประเด็นได้มันจะไม่ยาก ไม่ยากในแง่ของความเข้าใจ ไม่ยากในแง่ของการเห็นคุณค่า จะทําอย่างไรก็ได้ให้ได้ 4 ประการนี้ คือ 1) อย่าเอาทุกข์มาทับถมตน หรือว่าอย่าซ้ำเติมตัวเอง เมื่อเจอทุกข์หนึ่ง อย่าเพิ่มทุกข์ให้เป็นสองเป็นสาม 2) อย่าปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรม 3) อย่าสยบมัวเมาในความสุขที่ชอบธรรมนั้น และ 4) ขจัดสาเหตุแห่งทุกข์ให้หมดไป อริยมรรคมีองค์ 8 นี้ ก็เพื่อ 4 ประการนี้แหละ ถ้าเราใช้เป็น   แต่ถ้าคุณไม่ใช้ ไม่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 ที่มี 4 ประการนี้ ถึงคุณจะเห็นดีอย่างไร คุณก็ทําไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันเมคเซนส์มาก แล้วมันก็ไม่ยากอะไรเลย ไม่ได้เรียกร้องให้ต้องไปนิพพานก่อน แต่มันเรียกร้องแค่ให้มีสติ มีปัญญา ซึ่งเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติ แต่มันต้องอาศัยศีลมารองรับไม่ว่าจะเป็น สัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และนี่ก็คือศีล 5 ง่ายๆ 
1/26/202442 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25661124pm--ทุกข์เพราะใจ แก้ให้ถูก

24 พ.ย. 66 - ทุกข์เพราะใจ แก้ให้ถูก : หลายคนกว่าจะรู้ก็ตอนจะตาย อุตส่าห์ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงินหาทอง ชื่อเสียง เพื่อให้ได้เป็น CEO เพื่อให้ได้เป็นรัฐมนตรี สุดท้ายตอนใกล้ตายพบว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่พึงเป็นสรณะของชีวิตอย่างแท้จริง เพราะมีเท่าไหร่ก็ยังไม่หายทุกข์ มารู้เอาตอนจะตาย หลายคนเป็นอย่างนี้ มารู้ว่าทั้งหมดที่หามาทั้งชีวิต ต้องฟาดฟัน ต่อสู้ บางทีต้องทรยศ หักหลัง หรือแม้จะต้องต่อสู้จนทะเลาะกับเพื่อน ทะเลาะกับญาติพี่น้อง กว่าจะได้มาแล้วพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ชีวิตต้องการเลย เพราะมันไม่ช่วยทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างแท้จริง หลายคนบอกว่า “รู้งี้กูไม่ทำอย่างนี้หรอก” คนใกล้ตายหลายคนที่มักจะพูดอย่างนี้ “รู้งี้จะไม่ทำอย่างที่เคยทำ” เช่น การทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อหาเงินหาทอง เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ความรู้ส่วนใหญ่มีประโยชน์ แต่ที่ไม่มีประโยชน์ก็คือ ‘รู้งี้’ เพราะสายไปแล้ว มารู้งี้ตอนจะตาย   บางคนนี้บอก ‘รู้อย่างนี้’ จะไม่ทุ่มเททั้งชีวิตนี้ให้กับการงาน แต่ก่อนเคยคิดว่า “ถ้าไม่มีเรา งานไม่สำเร็จ” “องค์กรอยู่ได้เพราะเรา” “ถ้าไม่มีเรา องค์กรอยู่ไม่ได้” แล้วคิดต่อว่า “อะไรที่ทำให้ชีวิตก้าวหน้า ฉันก็จะทำเพื่อสิ่งนั้น” พอถึงตอนนี้รู้ว่าพอป่วยระยะท้ายมาพบว่า “ไม่มีเรา องค์กรก็อยู่ได้” “เราไม่ทำ คนอื่นเขาก็ทำแทน” แล้วมีหลายคนที่พูดแบบนี้ 
1/25/202445 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25661122pm--มีให้เป็น เสียไปก็ไม่ทุกข์

22 พ.ย. 66 - มีให้เป็น เสียไปก็ไม่ทุกข์ : คนเราถ้ารู้จักมองสิ่งที่มีบ้าง ก็ทำให้เราตัดใจจากสิ่งที่เสียไปได้ ตัดใจทั้งในแง่ที่ว่า ไม่มากลุ้มอกกลุ้มใจกับมัน แล้วก็ไม่ไปคิดที่จะทำอะไรเพื่อจะทำให้สิ่งที่เสียไปกลับคืนมา ทั้งๆ ที่มีโอกาสที่จะเสียหนักขึ้นกว่าเดิม และถ้าคนเราได้ตระหนักว่า จริงๆ ที่เราเสียไป แม้จะเสียเยอะ แต่สุดท้ายเราก็ยังกำไร เพราะว่าเราเกิดมาก็ตัวเปล่า เสื้อผ้าก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ที่เรามีทรัพย์สินมากมายทุกวันนี้ ทั้งหมดที่มีคือกำไร แม้บางอย่างจะหายไปสูญไป ก็ยังกำไรอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะกำไรน้อยลง หากเราไม่มองสิ่งที่เสียมากเกินไป แต่มาจดจ่อกับสิ่งที่เรามี มันก็ทำให้ทุกข์น้อยลง ยิ่งถ้าเราฝึกจิตจนกระทั่งรู้จักปล่อยวางได้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ทั้งหมดที่มี สุดท้ายก็ต้องสูญไป ไม่สูญวันนี้ ไม่เสียวันนี้ก็เสียวันหน้า วันที่เราตาย หมดลม ก็ไม่มีอะไรเหลือ ต้องสูญเสียไปหมดแม้กระทั่งลมหายใจ ทุกอย่างที่มี ร่างกาย ก็คืนสู่ธรรมชาติ ทรัพย์สินก็คืนหรือมอบให้กับลูกหลาน หรือว่าแผ่นดิน   ถ้าเรารู้แบบนี้ เราก็ตระหนักว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา มันอยู่กับเราเพียงแค่ชั่วคราว เพราะฉะนั้นจะเสียใจไปทำไม ถ้าเรารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่มี อันนี้เรียกว่ามีเป็น พอมีเป็น ถึงแม้เสียไปก็ไม่ทุกข์ แต่ถ้ามีไม่เป็น มันก็จะทุกข์กับการสูญเสีย ซึ่งก็มีแต่จะเป็นการเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง 
1/24/202427 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661122--อันตรายในมือเด็ก

22 พ.ย. 66 - อันตรายในมือเด็ก : อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราเคยได้ยินมาแล้ว ว่าเดี๋ยวนี้คนติดโซเชียลมีเดียมาก ไม่ใช่เฉพาะเด็กและเยาวชน ผู้ใหญ่ก็ติด หลายๆ คนก็เกิดความทุกข์ เพราะว่าเห็นคนนั้นคนนี้เขาได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ไปญี่ปุ่น ไปเกาหลี แต่เราต้องมาทํางานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยว ได้ไปกินอะไรอร่อยๆ เหมือนเขาเลย รู้สึกแย่ รู้สึกว่าชีวิตมันย่ำแย่ แบบนี้เกิดขึ้นแม้กระทั่งผู้ใหญ่ แต่มันไม่หนักหนาเท่ากับผลร้ายที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ซึ่งทําให้หลายคนฆ่าตัวตาย เพราะว่าเกิดภาวะซึมเศร้าจิตตก ซึ่งเขาบอกว่ามันเป็นความตั้งใจของพวกโซเชียลมีเดียเหล่านี้ ที่พยายามกระตุ้นให้มีเนื้อหาหรือคอนเทนต์ทํานองนี้ เพราะว่ามันจะกระตุ้นให้คนติดตาม และก็มีส่วนร่วมแชร์อะไรต่างๆ   เพราะว่าถ้าคนติดตามโซเชียลมีเดียมากเท่าไร เขาก็มีโอกาสที่จะได้ข้อมูลส่วนตัวเอาไปขาย ประโยชน์สารพัด ประโยชน์ทางธุรกิจหรือมิฉะนั้นก็เปิดโอกาสให้ขายโฆษณา เรียกว่าไม่รับผิดชอบ พอมีนโยบายเป็นแบบนี้มากๆ เข้า ก็เลยไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหา   เนื้อหาทั้งหมดนี้ เราก็คงสังเกตว่าบางทีมันมีโพสต์ หรือภาพ หรือคลิปโผล่ขึ้นมาในโทรศัพท์ของเรา ทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ติดตามแต่มันโผล่ขึ้นมา ซึ่งบางทีก็เป็นภาพลามก เป็นคลิปเอ็กซ์ หรือว่าบางทีก็เป็นคลิปที่น่ากลัวสยดสยอง มันทําได้อย่างไร มันก็มีอัลกอริทึม (Algorithm คือ กระบวนการที่เมื่อนำเข้าข้อมูลใด โปรแกรมจะกำหนดว่าจะต้องได้ผลลัพธ์เช่นนั้น และทำให้เกิดกระบวนการทำวนซ้ำของข้อมูลอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งเสร็จสิ้นการทำงานของข้อมูลตามที่กำหนดไว้) ที่มันถูกสร้างขึ้นมา   ดีไซน์ขึ้นมาเพื่อนําเสนอให้กับผู้ติดตาม ผู้ที่เป็นลูกค้า ผู้ที่ใช้ Facebook Instagram และหลายคนก็ตกเป็นเหยื่อ ผู้ใหญ่ไม่เท่าไร แต่เด็กตกเป็นเหยื่อได้ง่าย 
1/23/202410 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661121pm--ไม่เอาทุกข์ ไม่เอาสุข

21 พ.ย. 66 - ไม่เอาทุกข์ ไม่เอาสุข : คำแนะนำ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็น ‘ไม่หาทุกข์มาทับถมตน’ ‘ไม่ปฏิเสธความสุขที่ชอบธรรมหรือไม่มองข้ามความสุขที่ชอบธรรม’ ‘ไม่สยบมัวเมาในความสุขนั้นหรือไม่ยึดติดในความสุข แม้ชอบธรรมก็ตาม’ รวมทั้ง ‘รู้จักขจัดเหตุแห่งทุกข์’ ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยสติเป็นตัวนำ เพราะถ้าไม่มีสติเป็นตัวนำ สิ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำมาทั้ง 4 ประการนี้แม้เราจะเห็นว่าดี ก็ทำไม่ได้ มันก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลงไปตามอารมณ์ หลงไปตามกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจเรื่องสุขและทุกข์ให้ดี และปฏิบัติกับทุกข์อย่างไร ปฏิบัติอย่างไรกับสุขให้ถูกต้อง เราจะรู้เลยว่าสตินี้สำคัญมาก มันจะทำให้เราสามารถปฏิบัติกับสุขและทุกข์ได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะถึงที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่ทุกข์ไม่เอาอย่างเดียว สุขก็ไม่เอาด้วย เรียกว่าอยู่เหนือสุข อยู่เหนือทุกข์เลยทีเดียว นั่นคือสิ่งที่จะพาให้จิตใจเป็นอิสระอย่างแท้จริง 
1/22/202429 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25661120pm--สติทำได้ทุกที่ทุกเวลา

20 พ.ย. 66 - สติทำได้ทุกที่ทุกเวลา : หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดเสมอว่า “นักปฏิบัติต้องเป็นนักฉวยโอกาส” ฉวยโอกาสทุกเวลา ทุกกิจกรรมที่ทำเพื่อการเจริญสติ หรือแม้มีการกระทบ มีการกระทบเกิดขึ้นเกิดอารมณ์ เกิดความโกรธ เกิดความเศร้า เกิดความดีใจ เกิดความเสียใจ ก็เป็นโอกาสของการเจริญสติ อย่างเด็กที่พูดถึง ดีใจก็เห็นมัน เห็นข้างในมันดีใจ เห็นความดีใจ แต่ไม่ใช่ผู้ดีใจ อันนี้เด็กเขาก็รู้เห็นแต่ไม่เข้าไปเป็น แม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การปฏิบัติในรูปแบบ ก็ยังเห็นไม่เข้าไปเป็น เห็นความดีใจไม่เป็นผู้ดีใจ เพราะฉะนั้นการเจริญสติแบบจึงเป็นวิธีสากล ยิ่งเราฝึกด้วยการเปิดตา ไม่ปิดตา มันยิ่งมีประโยชน์ในการประยุกต์ใช้กับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะว่ากิจกรรมส่วนใหญ่เราก็เปิดตาทำทั้งนั้น ตั้งแต่เก็บที่นอน อาบน้ำ ถูฟัน ล้างหน้า ข้ามถนน ขับรถ กวาดใบไม้ ล้างจาน เปิดตาทั้งนั้น ถ้าเรารู้จักทำความรู้สึกตัวในขณะที่เปิดตาสร้างจังหวะ หรือเดินจงกรม มันก็ไม่ยากที่เราจะทำความรู้สึกตัวในขณะที่เราทำกิจกรรมต่างๆ มันเป็นการประยุกต์ที่ง่าย   เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จักทำการปฏิบัติให้มันกลืนไปกับชีวิตประจำวัน มันจะไม่มีข้ออ้างเลยว่าไม่มีเวลา ถ้ามันมีข้ออ้างแบบนี้เมื่อไรแสดงว่า มันเป็นเหตุผลของกิเลส เป็นข้ออ้างของกิเลส อาจจะต้องถามตัวเองว่าเรามีเวลาโกรธไหม เรามีเวลาเครียดไหม เรามีเวลาเศร้าไหม กับความโกรธ ความเศร้า เราให้เวลากับมัน แต่ทำไมการเจริญสติ การปฏิบัติ เราจึงไม่ยอมให้เวลากับมัน   และอย่างที่บอกถ้าเราปฏิบัติโดยไม่ใช้รูปแบบ มันไม่เรียกร้องเวลาเลย เพราะว่าทำอะไรก็เอาการปฏิบัติ หรือการเจริญสติสวมทับเข้าไปได้เลย ไม่ว่ากินดื่มเคี้ยวลิ้ม หรือแม้แต่เข้าห้องน้ำอุจจาระปัสสาวะ ก็เป็นโอกาสในการเจริญสติทำความรู้สึกตัวได้ 
1/21/202427 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661119pm--ชีวิตมั่นคงเพราะฐานใจหยั่งลึก

19 พ.ย. 66 - ชีวิตมั่นคงเพราะฐานใจหยั่งลึก : แต่ว่าความคิด อารมณ์ มันไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่เราทำนั่นทำนี่อย่างเดียว อาจจะรวมถึงเวลาเราเจอนั่นเจอนี่ด้วย เจอเสียงดัง เจอเสียงนกร้องที่ไพเราะ หรือว่าเจอคำพูดทั้งคำชมและคำตำหนิ หรือว่าเจอความร้อน เจออากาศหนาว เวลาเจอหรือมีการกระทบแบบนี้ มันก็มักจะมีความคิดเกิดขึ้น ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ หรือว่าบ่นโวยวาย ตีโพยตีพาย ก็ให้มีสติเห็นความคิดนึก ซึ่งมันก็ทำให้เราทำ 2 อย่างไปด้วยกันเลย ก็คือทำงานภายนอก ทำงานภายใน ‘งานภายนอก’ คือ การรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง ที่มากระทบ ส่วน ‘งานภายใน’ ก็คือเห็นความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทบนั้น และเช่นเดียวกันเวลาทำนั่นทำนี่ รดน้ำต้นไม้ ล้างจาน หรือว่าเดินไปเดินมา รวมทั้งทำงานทำการที่เป็นเรื่องของอาชีพการงาน ทำครัว ทำอาหาร อันนี้เรียกว่าเป็นงานภายนอก   แต่ว่าขณะที่ทำ ใจก็รับรู้ถึงสิ่งที่ทำ เกิดความรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ รวมทั้งรู้เห็นความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะเกิดจากงานที่ทำหรืออาจจะไม่เกี่ยวอะไรก็ได้ แต่ใจมันคิดโน่นคิดนี่ก็รู้ นี่คืองานภายใน หรือจะเรียกว่าเป็นการรู้ในก็ได้   ถ้าเราขยันหมั่น รู้นอก-รู้ใน ไปด้วยกันเสมอ หรือ ทำงานภายนอก-ทำงานภายใน ไปด้วยกันเสมอ มันก็จะทำให้ฐานใจของเราหยั่งลึก แล้วก็ทำให้ชีวิตของเรามีความมั่นคง ทำงานอะไรมันก็ไปได้ดี แม้จะล้มเหลวแต่ก็ไม่ทุกข์ เอาความล้มเหลว เอาความผิดพลาดเป็นครู มันก็เกิดความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งเป็นงานที่เกิดประโยชน์กับส่วนรวม เพราะว่ามีใจที่มีคุณภาพเป็นตัวขับเคลื่อนหรือตัวกำกับ 
1/20/202429 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25661118pm--ยอมรับความไม่สงบด้วยใจสงบ

18 พ.ย. 66 - ยอมรับความไม่สงบด้วยใจสงบ : วิชารู้ซื่อๆ วิชาเห็นไม่เข้าไปเป็น สำคัญมาก จะช่วยทำให้เรารับมือกับสิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ถูกใจได้ อย่างที่บอก การทำความเพียรเพื่อประสบสิ่งที่ชอบสิ่งที่ถูกใจยากแล้ว แต่สิ่งที่ยากกว่าคือ การวางใจเป็นกลาง หรือยอมรับสิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งที่ไม่ถูกใจเรา วิชานี้สำคัญมาก เพราะสุดท้ายเราก็ต้องเจอไม่มากก็น้อย ไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้นฝึกเอาไว้ การเจริญสติไม่ใช่เพื่อให้สงบอย่างเดียว แต่แม้ไม่สงบก็ยอมรับได้ เรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่สงบ อยู่กับความเจ็บปวด อยู่กับสิ่งที่ไม่ถูกใจด้วยใจที่ไม่ทุกข์ รถติดจิตก็ไม่ตก ไม่ว่าเจออะไร คำต่อว่าด่าทอมากระทบใจก็ยังสงบได้ ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีใครว่า ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีเสียงกระทบหู แต่เพราะว่ามีสติต่างหากจึงไม่ปล่อยให้อารมณ์อกุศลมาครอบงำจิต รู้ทันมัน แล้วก็เห็นมัน แล้วก็วางมันลง 
1/14/202431 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25661117pm--เปลี่ยนที่ใจก็ไม่ทุกข์

17 พ.ย. 66 - เปลี่ยนที่ใจก็ไม่ทุกข์ : แต่ถ้าหากว่ารู้จักไตร่ตรองจนเห็นเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา เเล้วก็ปรับแก้ที่ใจเรา บางทีเราไม่จำเป็นต้องมองว่าเสียงระเบิดว่าเป็นเสียงความสุขเหมือนกับเด็ก 3 ขวบคนนั้นก็ได้ แต่ว่าเราอาศัยสติ เวลาเสียงแบบนั้นมันดังกระทบหู ใจกระเพื่อม เห็นอาการของใจที่กระเพื่อม เห็นความตกใจที่เกิดขึ้น แล้วความตกใจมันก็สงบลง ก็จะพบว่า เป็นเพราะใจเราที่มันถลำเข้าไปในความตกใจในอารมณ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทุกข์ ได้ยินเสียงแต่ใจไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะรู้ทันความตกใจ หรือ รู้ทันอาการของใจที่เกิดขึ้น มันก็ใช้สติช่วยได้เหมือนกัน ใช้สติช่วยทำให้เราไม่ใช่แค่ปล่อยวางอารมณ์ลบที่เกิดขึ้น ซึ่งเท่านี้มันก็ช่วยทำให้ใจเราไม่ทุกข์แล้ว เพราะว่าความตกใจถ้าเราเห็นมัน มันก็ไปครอบงำใจเราไม่ได้   แต่ถ้าเราเห็นต่อไปว่า มันเป็นเพราะเราไปคาดหวังความสงบ ทุกอย่างจะต้องราบรื่น แต่พอมันไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง จึงเกิดความทุกข์ อย่างที่ท่านว่า “ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์” แต่ถ้าไม่ปรารถนา แม้ไม่ได้มันก็ไม่ทุกข์   เพราะฉะนั้นการไม่ได้ มันไม่ได้แปลว่าจะทำให้เราทุกข์ เพราะเหตุแห่งทุกข์จริงๆ อยู่ที่ความปรารถนาสิ่งนั้น จับสมุทัยให้ถูก แล้วเราก็จะแก้ทุกข์ในใจของเราได้ โดยที่ไม่ต้องรอให้สิ่งแวดล้อมภายนอก มันเปลี่ยนแปลงหรือถูกใจเรา อย่างที่แซมเขาก็พบความสงบในใจ เพราะเขาไม่ได้เรียกร้องคาดหวังความเข้าใจจากคนอื่น แต่เขากลับมาเปลี่ยนที่ใจเขาเอง
1/13/202430 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25661116pm--กล้าผิดไม่กลัวเผลอ

16 พ.ย. 66 - กล้าผิดไม่กลัวเผลอ : ระหว่างเป็นผู้เครียดกับเห็นความเครียดมันต่างกัน แล้วการที่เราจะเห็นความเครียดว่ามันต่างจากการเป็นผู้เครียด เงื่อนไขแรกคือต้องยอมให้มันเครียดก่อน ยอมให้ความเครียดเกิดขึ้นก่อน เราถึงจะเห็นว่ามีความเครียดเกิดขึ้น และเห็นความแตกต่างระหว่างการเห็นความเครียดและการเป็นผู้เครียด อย่างน้อยพื้นฐานต้องมาถึงตรงนี้ และพอเราเห็นแล้ว ความเครียดก็ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะมันเกิดระยะห่าง เราจะเห็นความเครียดก็ต่อเมื่อออกจากความเครียดก่อน แต่ถ้าเป็นผู้เครียดก็คือเข้าไปคลุกวงในแล้ว ไปจมอยู่ในความเครียดแล้ว มันก็ทุกข์ แต่พอเราพาจิตออกจากความเครียด มันก็จะเห็นความเครียด และใจก็จะไม่ทุกข์   และไม่ใช่แค่ไม่ทุกข์หรือสงบได้ง่ายขึ้น แต่ยังเกิดปัญญาด้วยว่า ความเครียดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นความรู้ที่สำคัญมาก เพราะถ้าเราเห็นต่อไปว่า ความโกรธเมื่อเกิดขึ้น มันเป็นแค่อาการที่เกิดขึ้นกับใจ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตรงนี้เรียกว่าปัญญาเริ่มเกิดแล้ว มันไม่ใช่แค่ความสงบ แต่ว่ามันเกิดความสว่างขึ้นในใจด้วย 
1/12/202429 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25661115pm--รู้ทันกิเลส เห็นเหตุแห่งทุกข์

15 พ.ย. 66 - รู้ทันกิเลส เห็นเหตุแห่งทุกข์ : นักปฏิบัติธรรมบางคนเห็นความโกรธ แต่มองไม่เห็นเบื้องหลังความโกรธคือความอยาก เป็นกิเลสตัวหนึ่ง ต้องเห็น เราต้องปฏิบัติจนกระทั่งเห็น ไม่ใช่แค่ตัวความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมันทำให้จิตใจว้าวุ่นหรือว่าเกิดความไม่พอใจ แต่ต้องเห็นตัวการที่มันอยู่เบื้องหลังความไม่พอใจนั้น ทำนองเดียวกัน เวลาเราทำอะไรดีแล้วมีคนชม เราก็ดีใจ เราก็เห็นความดีใจนั้น เห็นความดีใจแล้วก็วาง ไม่ปล่อยให้ใจเคลิ้มกับคำชม อันนี้ดี แต่จะดียิ่งขึ้นถ้าเกิดไปเห็นว่าเบื้องหลังความพอใจคืออะไร เป็นเพราะเรารู้สึกได้หน้าได้ตา เป็นเพราะอัตตามันพองโต เป็นเพราะอยากได้คำชื่นชมสรรเสริญ อันนี้ก็คือกิเลสอีก ก็ให้รู้   ถ้าเราเจริญสติแล้วเรารู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แต่ไม่ทะลุถึงกิเลส ถือว่ายังไม่ก้าวหน้าพอ ต้องทะลุไปจนถึงเห็นอะไรที่มันลึกไปกว่านั้น   บางคนมีญาติมายืมเงิน เครียดมาก เดินจงกรมกลับไปกลับมาก็มีความเครียด แต่ก็มีสติรู้ทันเห็นความเครียด พอรู้แล้วก็วาง สุดท้ายใจก็สงบ ไม่เครียดแล้ว แต่นั่นยังไม่พอ จะดีกว่านั้นถ้าเกิดเห็นว่าที่เครียดเพราะอะไร เครียดเพราะว่ายังมีความตระหนี่ในเงิน ยังเสียดายเงิน ยังมีความหวงแหนในเงิน ตรงนี้ก็ทำให้เราเห็นกิเลส   ฉะนั้นแค่เห็นความคิด เห็นอารมณ์ยังไม่พอ ต้องเห็นกิเลสที่อยู่เบื้องหลังความคิดและอารมณ์เหล่านั้นด้วย และต่อไปมันจะเห็นลึกไปถึงขั้นว่าจริงๆ แล้วความทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันไม่ได้อยู่ที่มีอะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเรา มันอยู่ที่ใจเรา อยู่ที่การวางใจของเรา อยู่ที่อากัปกิริยาหรือท่าทีของใจเรา ซึ่งถ้าไม่เห็นก็ไม่รู้ 
1/11/202429 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25661114pm--สติมาไว ใจคลายทุกข์

14 พ.ย. 66 - สติมาไว ใจคลายทุกข์ : สติก็เหมือนกัน เราก็ต้องให้โอกาสสติได้ทำงาน คือให้สติระลึกนึกขึ้นมาได้เอง เดินจงกรมไปเรื่อยๆ สร้างจังหวะไปเรื่อยๆ ใหม่ๆ กว่าจะรู้กก็คิดไปสิบเรื่อง แต่ทำไปเรื่อย ทำไปเรื่อยๆ ผ่านไปสองสามชั่วโมง สี่ห้าชั่วโมง สติก็จะรู้ทันความคิดได้ไวขึ้น รู้ทันอารมณ์ได้ไวขึ้น และเป็นการรู้เอง และพอถึงจุดหนึ่ง แค่คิดยังไม่ทันจบเรื่อง มันก็รู้แล้ว บางทีคิดปั๊บก็รู้ปุ๊บเลย ถึงตอนนั้นก็อดทึ่งไม่ได้ว่า โอ้โหสติทำงานได้อย่างน่าทึ่งมาก เรียกว่าเหมือนปาฏิหาริย์เลยทีเดียว ไม่เคยคิดว่าสติจะทำงานได้เร็วขนาดนี้   เผลอคิดปุ๊บมันรู้ปั๊บเลย รู้แล้ววาง รู้แล้ววางโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องคอยไปดักจ้องความคิด สติทำงานแทน สติบอกเราเองว่า ตอนนี้เผลอไปแล้ว มีความคิดเกิดขึ้นแล้ว มีอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว มันรู้แล้ววาง ทันทีเลย   มันจะถึงภาวะนี้ได้ มาถึงจุดนี้ได้มันก็ต้องยอม อดทนให้สติได้ทำงาน เปิดโอกาสให้เขาได้ทำงานของเขา แม้จะช้า แต่เราก็ต้องใจเย็น อย่าไปใจร้อน ต้องมีความอดทน แล้วสติก็จะเติบโตและทำงานได้ดีขึ้นๆ ใจเราก็จะเบา ความคิดอารมณ์ก็จะมารบกวนจิตใจเราน้อยลง 
1/10/202430 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25661113pm--ขุมทรัพย์กลางใจ

13 พ.ย. 66 - ขุมทรัพย์กลางใจ : คนเราเป็นหนี้สติและความรู้สึกตัว โดยที่ไม่รู้ตัว เพราะว่าถ้าไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว ป่านนี้เราคงแย่ไปแล้ว หรือแย่กว่านี้ อาจจะประสบอุบัติเหตุขณะขับรถ อาจจะโดนรถชนขณะข้ามถนน หรือว่าอาจจะเผลอไผลไปทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน จนกระทั่งต้องลงไม้ลงมือทำร้ายกัน หรือเป็นทาสของสิ่งยั่วยุและเย้ายวน เช่น อบายมุขต่างๆ ตัวหนึ่งของการที่เราไม่ตกไปเป็นเหยื่อของสิ่งเหล่านี้ แล้วก็พาตัวมาถึงตรงนี้ได้ ก็เพราะว่าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว แต่ถ้าเรามีสติที่เร็วกว่านี้ ว่องไวกว่านี้ มีความรู้สึกตัวที่แจ่มชัดกว่านี้ เราจะได้พบสิ่งดีๆ อีกมากมายที่มีคุณค่าต่อชีวิต ถึงขั้นหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เลย   สติจึงเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐมาก เรียกว่าอริยทรัพย์ ไม่ต้องไปแสวงหาทรัพย์ที่ไหน เพราะว่าของดีมีอยู่แล้วในใจเรา อยู่ที่ว่ามารู้จัก แล้วก็ทำให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้น และนี่แหละก็คือสิ่งที่เราควรจะหวังได้จากการปฏิบัติ หรือหวังได้จากการเดินทางมาปฏิบัติถึงที่นี่ 
1/9/202428 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25661104pm--ทำบุญแล้ววางใจให้เป็นด้วย

4 พ.ย. 66 - ทำบุญแล้ววางใจให้เป็นด้วย : คนทุกวันนี้เสียเวลา เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เยอะมาก เพราะไปให้ค่า ไปให้ความสำคัญกับมัน อาจจะเป็นเพราะยึดติดในความถูกต้อง หรือยึดติดในมารยาทจะต้องไม่มามีอะไรมากระทบฉัน ยึดติดในความถูกต้องว่า “ฉันมีสิทธิ์ในร่างกายของฉัน อย่ามากระแทกกระเทือกอะไรกับฉัน” ถ้าคิดแบบนี้ก็ทุกข์ เหมือนกับถ้ามีเสียงโทรศัพท์ดังในห้องนี้ ที่จริงก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าไปหงุดหงิดหัวเสียกับมัน เราขาดทุน ฉะนั้นถ้าเรารู้จักวางใจเสียบ้าง ดูแลใจให้ดี อย่าไปเสียเวลา เสียอารมณ์ไปกับเรื่องเล็กน้อย อย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ   ปัญหาคือทุกวันนี้คนเราไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย อะไรเป็นเรื่องใหญ่ เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ไปหมด เพื่อนบ้านส่งเสียงดังก็เป็นเรื่องใหญ่ ใครทำอะไรไม่ถูกใจขวางหูขวางตาก็เป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายหาความสงบเย็นในจิตใจไม่ได้เลย ทั้งที่เวลาในชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงไปทุกทีๆ เอาเวลาที่มีอยู่ซึ่งมีคุณค่ามาใส่ใจกับเรื่องสำคัญดีกว่า เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เรื่องเล็กน้อยปล่อยมันไปเถอะ อย่าไปเอาถูกเอาผิดกับมันมาก เพราะว่าเราไม่สามารถจะให้ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกต้องได้ 
1/8/202447 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661103pm--เติมเต็มจิตด้วยปัญญาและคุณธรรม

3 พ.ย. 66 - เติมเต็มจิตด้วยปัญญาและคุณธรรม : แต่ว่ามีบางคนที่ฉลาดมีปัญญา การเติมเต็มชีวิตแทนที่จะเอาอะไรต่ออะไรมาสุมมากอง ก็อาศัยคุณธรรมความดีแล้วก็ปัญญา แสงประทีปที่เต็มห้องเปรียบอุปมาหมายถึง ‘ปัญญา’ ส่วนกลิ่นหอมก็หมายถึง ‘ความดีคือคุณธรรม’ ห้องนี้มันก็ชัดอยู่แล้วหมายถึง ‘ชีวิตหรือจิตใจ’ คนเราแทนที่จะไปหาเงินทองชื่อเสียงมาเติมเต็มชีวิตหรือจิตใจ ก็มาแสวงหาคุณธรรม ความดี แล้วก็สติปัญญา ปัญญาในที่นี้หมายถึง ‘การรู้จักตัวเอง’ และ ‘การเข้าใจความจริงของชีวิต’ จนกระทั่งรู้อะไรคือสาระที่แท้ของชีวิต รู้ว่าอะไรคือจุดหมายที่แท้ของชีวิต จนกระทั่งสามารถที่จะรักตัวเองได้ รักตัวเองได้เพราะว่าเห็นคุณค่าของตัวเองหรือภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจเพราะอะไร ภูมิใจเพราะได้ทำความดี การทำความดีก็ทำให้เกิดความสุข เป็นความสุขใจ   นั้นคนเราที่ ‘พร่อง’ หรือ ‘ว่างเปล่า’ เอาเงินทองเท่าไหร่มาเติมก็ไม่เต็ม เพราะมันไม่ได้ทำให้เกิดความสุขอย่างแท้จริง ความสุขอย่างแท้จริงมันเกิดจากการที่รู้จักรักตัวเอง เคารพตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง รวมทั้งการที่ได้หมั่นทำดี สร้างกุศล จนรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และรวมถึงการได้เข้าถึงความสงบในจิตใจด้วย 
1/7/202427 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25661029pm--แม้ถูกกระทบใจก็สงบได้

29 ต.ค. 66 - แม้ถูกกระทบใจก็สงบได้ : อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระสาวกอย่างตัวอย่างที่เล่ามา ใครเขาจะติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างไร เราก็อย่าโกรธ อย่าขุ่นมัว อย่าพยาบาท เพราะขืนทำเช่นนั้นอันตรายก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง และเราก็จะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นดีหรือไม่ดี จริงหรือไม่จริง ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คำพูดบางอย่างแม้มันจะเป็นคำหยาบคาย แต่อาจมีประโยชน์ ถ้าเรารู้จักมอง เช่น เอามาเป็นเครื่องสอนใจว่า โลกธรรมก็เป็นอย่างนี้ มีคนชมเราก็ต้องมีคนตำหนิ มีคนชอบก็ต้องมีคนชัง คำต่อว่าด่าทอ หรือว่าความชังที่เกิดจากผู้อื่น มันก็สอนสัจธรรมให้กับเรา แล้วขณะเดียวกันมันก็เป็นเครื่องฝึกสติของเรา ให้รู้จักไวในการรู้ทันเมื่อมีความโกรธเกิดขึ้น แล้วก็ฉลาดในการปล่อยวาง   ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ใจเราไม่ทุกข์ แถมมีความเจริญงอกงามมากขึ้น สามารถที่จะรับมือกับความทุกข์ที่อาจจะรุนแรงหนักหนาสาหัสในวันข้างหน้าได้   เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราวางใจแบบนี้ได้ถูก ไม่ใช่เราจะพบความสงบในใจเมื่ออยู่วัด แม้ออกไปข้างนอก หรือกลับไปภูมิลำเนา ถ้าเป็นพระสึกหาลาเพศไป หรือเป็นนักปฎิบัติที่กลับบ้านไป ไปทำงาน ไปสู่ครอบครัว ก็ยังสามารถพบความสงบได้ เป็นความสงบที่ไม่ได้เกิดจากสถานที่ แต่เป็นความสงบที่เราสร้างขึ้นมาในใจ จากการที่เรารู้จักฝึกตนจนสามารถรับมือกับความผันผวนปรวนแปรต่างๆ ที่เกิดขึ้น หรือว่าสิ่งที่มากระทบได้ มันจะมากระทบตา กระทบหู กระทบกายอย่างไร ใจไม่กระเพื่อม จิตไม่กระเทือน   นี้คือความสงบที่เราสามารถจะสร้างขึ้นได้ในใจของเรา ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปหาที่วัด หรือแม้จะอยู่วัด มีอะไรมากระทบใจก็ไม่กระเทือน เราก็มีความสงบได้ อันนี้แหละก็เป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะฝึกได้สร้างได้ จากการที่เรารู้จักฝึกตน รวมทั้งเรียนรู้ด้วยการฝึกจากสิ่งที่มากระทบต่างๆ มากมาย 
1/4/202430 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661028pm--อุบายสู่ความพอดี

28 ต.ค. 66 - อุบายสู่ความพอดี : แต่เวลาคนมีความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนอีกแบบหนึ่งว่าในทุกข์ หาสุขพบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีปัญญาแม้ประสบทุกข์ก็ยังหาสุขพบ คนส่วนใหญ่ติดสุข พระพุทธเจ้าก็เลยเตือนว่า ระวัง ! มันมีทุกข์รออยู่นะ หรือว่าทุกข์กำลังอยู่กับเราในขณะนี้แล้วเพื่อไม่ให้ติดสุข แต่คนที่มีทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าก็สอนว่าอย่าจมในทุกข์ ให้เห็นว่าในทุกข์ มันมีสุข อันนี้เป็นวิธีการสอนที่คนอาจจะไม่เข้าใจ มักจะมองพุทธศาสนาว่ามองลบ ที่จริงท่านก็มองบวกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะติดสุข พระพุทธเจ้าก็เลยชี้ให้เห็นทุกข์ แต่คนที่มีทุกข์พระพุทธเจ้าก็สอนให้มองว่ามันมีสุขอยู่ด้วย ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วย   แม้จะถูกต่อว่าด่าทอก็ยังดีกว่าถูกเขาทำร้ายด้วยก้อนหิน ถูกเขาทำร้ายด้วยก้อนหินก็ยังดีที่เขาไม่ทำร้ายด้วยท่อนไม้ ทำร้ายด้วยท่อนไม้ก็ยังดีที่เขาไม่เอาของแหลมมาแทง เอาของแหลมมาแทงก็ยังดีที่เขาไม่ฆ่าให้ตาย และเขาฆ่าให้ตายก็ยังดีที่ไม่ต้องไปหาอาวุธมาทำร้ายตัวเอง อันนี้เป็นบทสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระปุณณะ   พระปุณณะบอกว่า เจออะไรก็ดีทั้งนั้น ถูกเขาด่าว่าก็ดี ถูกเขาเอาหินขว้างก็ดี ถูกเขาเอาไม้มาฟาดก็ดี ถูกเขาเอาศาสตรามาทิ่มแทงก็ดี ดีที่ไม่แย่ไปกว่านี้ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าดีแล้ว ถือว่าเอาตัวรอดได้ อันนี้คือตอนที่พระปุณณะไปเมืองสุนาปรันตชนบทซึ่งคนเมืองนี้ดุร้ายมาก ซึ่งเป็นการมองบวก ชี้ให้เห็นว่า เวลาเจอทุกข์ ถ้าเรารู้จักมองบวกบ้าง มันก็ยังไม่จมในทุกข์   แต่เป็นเพราะคนเราชอบเพลินในสุข พระพุทธเจ้าจะเตือนให้เห็นว่าสุขที่กำลังเพลิดเพลิน มันทุกข์ทั้งนั้น “เราทั้งหลายเป็นผู้ที่ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว” แต่สำหรับคนที่จมอยู่ในทุกข์ พระพุทธเจ้าก็จะเตือนว่า “ในทุกข์ หาสุขพบ” 
1/3/202430 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25661027pm--ยกใจให้สูงขึ้น

27 ต.ค. 66 - ยกใจให้สูงขึ้น : เราก็จะเห็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นกันเยอะเลย ซึ่งมันทำให้หลายคนก็รู้สึกว่า ทำไมรู้ธรรมะเยอะ ฟังธรรมะก็มาก แต่ทำไมยังเห็นแก่ตัวอยู่ ทำไมยังขี้โกรธอยู่ อันนี้ก็เพราะว่าหัวอยู่อุดมแล้วแต่ใจยังประถมอยู่เลย หรือมันยังมีช่องว่างระหว่างหัวกับใจมาก ช่องว่างระหว่างความคิดกับความรู้สึก เพราะฉะนั้นต้องพัฒนาทั้งหัวทั้งใจ ความรู้ก็ต้องมี เข้าใจธรรมะขั้นสูง แต่ก็ต้องฝึกใจให้มีความเห็นแก่ตัวน้อย มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักพอใจสิ่งที่มียินดีสิ่งที่ได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องพื้นฐานมากเลยสำหรับธรรมะ แต่พื้นฐานจำเป็น หรือถึงแม้ว่าความรู้อาจจะยังน้อย แต่ว่าถ้าหากว่าพื้นฐานที่ฝึกจิตฝึกใจพัฒนา   หมายความว่าหัวอาจจะยังอยู่ขั้นมัธยม แต่ว่าใจอาจจะพัฒนาไปถึงระดับอุดมแล้ว อันนี้ยิ่งประเสริฐเลย ฉะนั้นเวลาฝึกธรรมะหรือสอนธรรมะ ต้องตระหนักว่าทำอย่างไรจะให้ใจมันยกระดับสูงขึ้น จนกระทั่งมันประสานกับหัว หรือว่าอารมณ์ความรู้สึกประสานเป็นหนึ่งเดียวกับความคิด คิดอย่างไร เห็นอย่างไร ใจก็คล้อยตามโน้มไปทางนั้น ไม่ใช่ว่าความคิดความเห็นไปทางหนึ่ง ใจไปอีกทางหนึ่ง   เพราะเดี๋ยวนี้แม้กระทั่งง่ายๆ เช่นว่า ก็รู้เหล้าไม่ดี บุหรี่ไม่ดี แต่ก็ยังห้ามใจไม่ได้ ยังหวงแหนยังโหยหาสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็เหมือนกันเป็นช่องว่างระหว่างหัวกับใจ อย่างที่เขาเรียกว่าดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ได้ 
1/2/202428 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25661026pm--มองตนก่อนคิดเปลี่ยนคนอื่น

26 ต.ค. 66 - มองตนก่อนคิดเปลี่ยนคนอื่น : สอนคนอื่นได้ แต่ว่าสอนตัวเองไม่ได้ ในขณะที่อยากให้คนอื่นเขาเปลี่ยนแปลง แต่ตัวเองไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทั้งที่ตัวเองมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่า เพราะว่าการที่มาเดินจงกรม สร้างจังหวะ มันอาจจะน่าเบื่อในช่วงแรก แต่ว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาซึ่งเทียบไม่ได้กับการมานั่งอ่านหนังสือ หรือว่าต้องเลิกเล่นเกม การมาทำอะไรที่ไม่คุ้นไม่เคย มาทำอะไรที่ไม่ชอบ สำหรับเด็กเป็นเรื่องที่หนักกว่า เราที่เป็นผู้ใหญ่เรายังทำไม่ได้แม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่กลับไปเรียกร้องให้เด็กซึ่งมีวุฒิภาวะน้อย ประสบการณ์น้อย ทำอะไรต่ออะไรหลายอย่างซึ่งมันดี แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย ฉะนั้นก่อนที่เราจะเปลี่ยนแปลงคนอื่น ต้องกลับมาเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน 
1/1/202426 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661025pm--ทำดีได้ดีจริงหรือ

25 ต.ค. 66 - ทำดีได้ดีจริงหรือ 
12/25/202328 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25661024pm--ความสงบสยบปัญหา

24 ต.ค. 66 - ความสงบสยบปัญหา : รู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่เสีย เขาก็หาว่าแก้ตัว อาจจะกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน ท่านก็เลยคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือนิ่งเสีย อย่างมากก็พูดเพียงแค่ “อ๋อ อย่างนั้นเหรอ” ก็ถือว่าท่านมีสติ มีปัญญา และมีความหนักแน่น เพราะว่ารู้ดีว่า อธิบายชี้แจงไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้นิ่งเสียดีกว่า อย่างที่มีภาษิตไทยว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” ในกรณีท่านฮาคุอิน ท่านก็เห็นแล้วว่าพูดไปไม่มีประโยชน์ ท่านก็ดี ถูกด่าท่านก็นิ่ง เวลาได้รับคำชมท่านก็นิ่ง คือไม่ยินดียินร้ายกับคำต่อว่าด่าทอ และคำสรรเสริญ อันนี้ก็เป็นลักษณะการมีอุเบกขาของท่าน จากในกรณีนี้ท่านเห็นแล้วว่า การนิ่งเวลาถูกใส่ร้ายหรือถูกด่า มันเป็นวิธีที่ดีที่สุด   ซึ่งคนธรรมดาก็อาจจะไม่เห็นอย่างนั้น เพราะว่าอดรนทนไม่ได้ “ก็ฉันไม่ได้ทำ” หรือว่า “กูไม่ได้เป็นอย่างนั้น” ก็ต้องโต้เถียง ก็เกิดเรื่องทะเลาะยืดยาว ไม่มีประโยชน์ อันนี้เพราะขาดสติแล้วก็ขาดปัญญา แต่ว่าท่านฮาคุอินท่านมีสติ อัตตาท่านก็น้อย ใครจะว่าท่านยังไง ท่านก็เฉย ท่านรู้ว่า การนิ่งมันดีกว่า
12/24/202331 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25661023pm--ธรรมสองระดับ

23 ต.ค. 66 - ธรรมสองระดับ : จะเห็นได้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีการสอนสองระดับอยู่เสมอควบคู่กันไป ระดับแรกท่านอาจารย์พุทธทาสใช้คำว่าขังคอก ให้อยู่ในกรอบ กรอบของศีลธรรม กรอบของความถูกต้อง รู้จักบังคับกดข่มอารมณ์ กดข่มอารมณ์เอาไว้ รู้จักหักห้ามใจ แต่พอถึงระดับหนึ่งท่านสอนให้ชี้ทางให้ผิดไป รู้จักปล่อย รู้จักวาง หรือว่าให้รู้ทันความคิด ให้เห็นความจริงว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา ให้เข้าใจเรื่องอนัตตา ในขณะที่ระดับพื้นฐาน ท่านก็สอนให้รักตน รักตนไว้ก่อน เช่นเดียวกันในระดับพื้นฐานท่านก็สอนให้รู้จักละชั่ว หรือเว้นชั่วและทำดี ในโอวาทะปาติโมกข์สองข้อแรกเราคุ้นกันดี พอถึงข้อสามท่านสอนว่าให้รู้จักทำจิตให้บริสุทธิ์ ก็คือไม่ใช่แค่ทำดีอย่างเดียวแต่ต้องรู้จักทำจิตหรือทำใจด้วยจึงจะได้เข้าถึงสัจธรรม ทำดีมันก็ยังเป็นระดับจริยธรรมซึ่งก็ยังคงอยู่ในระดับสมมติ ในระดับโลกียะ แต่พระพุทธศาสนาไปไกลกว่านั้น สอนเรื่องโลกุตระ สอนเรื่องปรมัตถสัจจะด้วย ไม่ใช่แค่ติดอยู่กับสมมติสัจจะ ยังติดอยู่กับดีชั่ว แต่ว่าต้องรู้จักไปให้พ้นดีชั่ว เพราะว่าสุดท้ายมันก็ยังเป็นสมมติอยู่ ต้องเข้าถึงปรมัตถสัจจะ เข้าถึงสภาวะที่เรียกว่าโลกุตระซึ่งมีนิพพานเป็นเป้าหมายไม่ใช่แค่ความร่ำรวยในชาตินี้ หรือการไปสุคติ หรือการเข้าถึงสวรรค์ในชาติหน้า   เราต้องเข้าใจคำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งสองระดับ และนำมาใช้ให้ถูก ในบางครั้งเราก็อาจจะต้องอยู่ในกรอบของความถูกต้อง แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้ว่า ถ้ายึดมันถือมั่นมากไปมันก็เป็นโทษ ก็ต้องสามารถที่จะออกจากกรอบนั้น จนกระทั่งได้เห็นหรือเข้าถึงสภาวะที่เป็นการปล่อยวาง   ถ้าเราเข้าใจธรรมะสองระดับที่ว่านี้ การปฏิบัติก็จะถูกต้อง และเวลาสอนคน เราก็จะสอนได้ถูกต้องสมกับภูมิหลังหรืออินทรีย์ของเขา
12/23/202326 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661022pm--ให้อภัยคือยาสามัญประจำใจ

22 ต.ค. 66 - ให้อภัยคือยาสามัญประจำใจ : ความทุกข์มันเกิดขึ้นเมื่อใจเราไปร่วมมือกับเขา ถ้าเกิดว่าใจเราไม่ไปร่วมมือ ความทุกข์นั้นจะเกิดขึ้นได้เฉพาะภายนอก กับร่างกาย กับทรัพย์สิน ถ้าเกิดว่าเราเห็นตรงนี้ ว่าความโกรธมันเป็นภัยแก่ตัวเราเอง มันก็จะเกิดความกระตือรือร้นในการที่จะจัดการกับความโกรธ แล้ววิธีจัดการกับความโกรธ มันไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีสติรู้ทัน จะผลักไสกดข่มมันก็ไม่ได้ มันก็หลบ มันก็ซ่อน มันก็กลายเป็นเก็บกด ต้องรู้ทันนะ เห็นมัน เราก็แค่ดูมันเฉยๆ ดูมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ท่านติช นัท ฮันห์ ถึงกับใช้คำว่าให้ทำยิ่งกว่านั้นคือ “โอบกอด”   โอบกอดความโกรธ โอบกอดด้วยสติ โอบกอดด้วยความอ่อนโยน ท่านเปรียบเหมือนกับว่าแม่กำลังทำงานอยู่ดีๆ ทารกลูกน้อยเกิดร้องไห้ขึ้นมา แม่รีบทิ้งงานต่างๆ เลยเพื่อมากอดทารกน้อยอย่างอ่อนโยน ท่านติช นัท ฮันห์ บอกว่าความโกรธนั้นเปรียบเหมือนกับทารกน้อย ที่ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็ต้องโอบกอดมันด้วยความอ่อนโยน ท่านพูดถึงขนาดนี้เลย   แต่ที่จริงแม้เพียงแค่เห็นมันเฉยๆ รู้ทันมัน มันก็เหมือนกับกองเพลิงที่พอไม่มีใครเติมฟืนเติมไฟให้มัน มันก็ดับเอง ตรงข้ามถ้าไปกดข่มมัน ไปผลักไสมัน ไปพยายามตัด พยายามห้ามมัน มันก็ยิ่งลุก ยิ่งกลายเป็นการต่ออายุ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้ ถ้าเราไม่ใช้การให้อภัยหรือการแผ่เมตตา ก็ต้องมีสติที่จะรู้ทันความโกรธ แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันหรือยอมให้มันครองใจ หรือหวงแหนมันเอาไว้ในใจ
12/22/202328 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25661021pm--สุขหรือทุกข์อยู่ที่การปรุงแต่งในใจเรา

21 ต.ค. 66 - สุขหรือทุกข์อยู่ที่การปรุงแต่งในใจเรา : ถ้าเราดูแลใจดี ไม่ปล่อยให้จิตปรุงแต่ง เมื่อเกิดผัสสะขึ้นมา ไม่ปรุงแต่งเป็นภพ ชาติ มันก็ไม่เกิดชรา มรณะ มันก็ไม่เกิดทุกข์โทมนัส อันนี้เป็นสิ่งสำคัญมาก การที่เราพบความจริงว่า ทุกข์ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีเมื่อเกิดมีการกระทบ แต่ทุกข์เกิดขึ้นเมื่อมีการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการปรุงแต่งในทางลบ หรือหรือว่ารวมไปถึงกิริยาอาการอย่างอื่น เช่น ผลักไส ยึดติดถือมั่น หรือที่สำคัญคือการปรุงแต่งตัวกูของกูขึ้นมา ตรงนี้แหละที่มันจะเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดทุกข์ แปลว่าอะไร แปลว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา ไม่ได้ที่รูปรสกลิ่นเสียงที่มากระทบ ถ้ารู้ถ้าเห็นทุกข์อยู่ที่รูปรสกลิ่นเสียงที่มากระทบ เราจะแย่เลยเพราะว่าเราต้องเจอกับรูปรสกลิ่นเสียงที่ไม่ดีมากมายตลอดทั้งวัน ตลอดชีวิต   แต่ถ้าเกิดว่าเหตุแห่งทุกข์อยู่ที่ใจเรา อยู่ที่การปรุงแต่ง มันก็หมายความว่า เรามีความสามารถที่จะไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าเราไม่ปล่อยให้มันปรุงแต่งไปในทางลบ รวมทั้งไม่ผลักไส ไม่ยึดติดถือมั่น หรือถ้าจะปรุงแต่งก็ปรุงแต่งในทางบวกอย่างตัวอย่างที่ยกมา ซึ่งอันนี้มันอยู่ในวิสัยที่เราจะทำได้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่เราเลือก ว่าเราจะเลือกปรุงแต่งในทางไหน
12/21/202330 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25661020pm--ปฎิบัติธรรมที่นี่เดี๋ยวนี้

20 ต.ค. 66 - ปฎิบัติธรรมที่นี่เดี๋ยวนี้ : จริงๆ ถ้าหากว่ามีสติ มีความรู้สึกตัว ทันทีที่เกิดผัสสะมีการเห็น มันก็มีแต่การเห็น แต่มันไม่มีผู้เห็น เมื่อเสียงกระทบหู เกิดการได้ยิน ก็มีแต่การได้ยิน ไม่มีผู้ได้ยิน แต่คนเราใหม่ๆ จะให้มีสติประเภทว่าไม่มีผู้เห็น ไม่มีผู้ได้ยิน นี่มันยาก แต่อย่างน้อยเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมา ความคิด เกิดความยินดีเกิดความยินร้าย เกิดความพอใจไม่พอใจ เกิดความโกรธ ก็มีแต่อารมณ์นั้น แต่ไม่มีผู้ยินดี ไม่มีผู้ชอบ ไม่มีผู้โกรธ คือมันไม่มีการปรุงตัวกูขึ้นมาเป็นเจ้าของอารมณ์นั้น อันนี้ก็ต้องอาศัยสติที่เห็น ไม่เข้าไปเป็น มีความโกรธ ไม่มีผู้โกรธ มีความยินดี ไม่มีผู้ยินดี มีความคิดเกิดขึ้น แต่ไม่มีผู้คิด ถ้ามาเห็นตรงนี้ได้อย่างทันท่วงที ใจก็จะเป็นปกติได้ ใครเขาจะด่าว่าอย่างไร ใจก็เป็นปกติ จะร้อนจะหนาวอย่างไร ใจก็เป็นปกติ แม้มันจะมีการเผลอยินดียินร้ายเกิดขึ้น แต่ว่าใจเป็นปกติ   และตรงนี้แหละเป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าของการปฏิบัติ หรือเป็นเครื่องวัดว่าเราปฏิบัติถูกหรือไม่ ก็คือเมื่อมีการกระทบ เมื่อเกิดผัสสะแล้ว ใจเรายังเป็นปกติได้ ไม่ใช่พอมีใครพูดไม่ถูกหู มีใครนินทากระทบหู เกิดความโกรธ เกิดความหงุดหงิด มีเสียงดังมากระทบหูก็ไม่พอใจ คนที่จิตใจกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงเมื่อมีผัสสะ อันนี้เรียกว่ายังไม่ได้ปฏิบัติเพราะว่าไม่ได้เห็นธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ อย่างแจ่มแจ้ง   เพราะฉะนั้นคำว่า ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มันไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งที่กำลังทำอยู่เท่านั้น แต่มันยังหมายถึงความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้ เดี๋ยวนี้ด้วย ว่าเราปฏิบัติได้ถูกต้องไหม เราเห็นทัน เรารู้ทันไหม หรือเราเห็นมันหรือเปล่า นี่แหละคือการปฏิบัติที่สำคัญ ซึ่งมันก็ไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนอะไรเลย มันไม่ต้องใช้ความรู้หรือว่าความคิดพิสดารอะไรมาก มันเป็นธรรมะที่เข้าใจง่าย ขอเพียงแต่ปฏิบัติให้ถูกเวลา ให้ถูกกรณีก็แล้วกัน
12/20/202326 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25661019pm--โลกไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา

19 ต.ค. 66 - โลกไม่ได้เป็นไปตามความอยากของเรา : กามสุขมันก็มีหลายระดับ อย่างหยาบๆ ก็เหล้า การพนัน ยาเสพติด จะเลิกหรือเป็นอิสระจากความสุขอย่างหยาบๆ นี้ได้ก็ต้องเจอความสุขที่หยาบน้อยกว่า หรือประณีตกว่า เช่น บางคนที่เลิกเหล้าได้เพราะว่าได้มีความสุขจากการทำงาน ความสุขจากการเล่นกีฬา ความสุขจากมิตรภาพ ความสุขจากเพื่อนฝูง หรือความสุขจากสมาธิ บางคนเลิกเหล้าได้เพราะว่าได้นั่งสมาธิแล้วเกิดสุข บางคนเลิกเหล้าได้เพราะว่าได้มีความสุขจากสิ่งอื่น จากการทำความดี จากการทำสิ่งที่มีประโยชน์ ความสุขจากมิตรภาพ ได้รับความอบอุ่นจากเพื่อน จากชุมชน มันก็เลิกได้ คือพวกนี้ต้องอาศัยการลงทุนลงแรงด้วย ไม่ใช่ว่าอาศัยความอยากอย่างเดียว อยากอย่างเดียวแต่ว่าไม่ไม่ลงทุนลงแรง ไม่ประกอบเหตุ มันก็ไม่เกิด   เพราะฉะนั้นเวลาเราอยากจะเลิก ลด ละบางสิ่งบางอย่างที่เราเคยเสพเคยติด บางคนอาจจะติดหรือว่าหลงในเงินเพราะว่าเงินเป็นที่มาของกามสุข หลายคนหลงในเงินจนกระทั่งยอมทุจริตเพื่อจะได้มีเงินไปซื้อโน่นซื้อนี่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีความสุขจากสิ่งอื่นมาแทนที่ มันก็ยังวนเวียนอยู่กับการทุจริตอยู่นั้นแหละ ต่อเมื่อพบว่าความสุขบางอย่างที่มันดีกว่าเงิน ดีกว่าสิ่งเสพ จึงจะเป็นอิสระได้ เพียงแค่จะอดใจ ไม่ข้องเกี่ยว มันจะอดได้ไม่นาน เหมือนกับอดเหล้า อดเหล้าอดได้ไม่นานจนกว่าจะเจอความสุขอย่างอื่นที่มันดีกว่าถึงจะเลิกได้ เพราะจิตไม่โหยหาอีกแล้ว
12/19/202328 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25661018pm--สกัดตัวตนให้เบาบาง

18 ต.ค. 66 - สกัดตัวตนให้เบาบาง : อันนี้ก็เปรียบเหมือนกับการสลักเสลาสกัดเอาสิ่งที่มันไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต สิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพราะถ้าเราไม่ทำ ไม่สลัดหรือละวางความยึดมั่นถือมั่น อย่าว่าแต่ความยึดมั่นในตัวกูของกูเลยที่เป็นอัตตวาทุปาทาน แม้กระทั่งความยึดมั่นในทรัพย์ ความยึดมั่นในสิ่งของต่างๆ ถึงเวลาตายมันทรมานมาก เพราะมันยอมรับความสูญเสีย มันยอมรับการที่ต้องจากพรากสิ่งเหล่านั้นไปไม่ได้ และอย่างน้อยถ้าเราได้ตระหนักว่า เมื่อถึงวันที่เราต้องตาย เราต้องหมดตัวอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องฝึกปล่อย ฝึกวาง ฝึกสละตั้งแต่ตอนนี้ แต่ที่จริงถ้าหากว่าทำตั้งแต่ตอนนี้ มันไม่ใช่ว่าจะไปมีความสงบในเวลาสุดท้าย แต่ว่าทำตอนนี้ก็พบกับความสงบ ความโปร่งเบาในเวลานี้ ไม่ต้องไปรอถึงตอนที่จะหมดลม แต่ว่าความสงบตอนที่จะหมดลม มันก็เป็นหลักประกัน มันเป็นสิ่งที่แน่นอนถ้าหากเรารู้จักสลัด รู้จักวางสิ่งต่างๆ ออกไปจากใจให้มากที่สุด   เพราะฉะนั้นจึงบอกว่าชีวิตที่พึงปรารถนา คือชีวิตที่เป็นอุดมคติในพุทธศาสนา คือชีวิตที่มีให้น้อย ปล่อยวางให้มาก สลัดออกไปจากใจให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติอยู่ ว่าเราปฏิบัติไปแล้วความโลภน้อยลงไหม ความเห็นแก่ตัวน้อยลงไหม ความโกรธน้อยลงไหม ความยึดมั่นถือมั่นในหน้าตา ในทรัพย์สมบัติน้อยลงหรือเปล่า   หรือพูดอย่างถึงที่สุดคือว่าความยึดมั่นในตัวกูน้อยลงไหม ถ้าไม่น้อยลง ถึงแม้จะเข้าวัดบ่อย ทำบุญมาก มันก็ยังไม่เรียกว่ามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ แล้วก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเข้าถึงชีวิตที่พึงปรารถนาในทัศนะของชาวพุทธ
12/18/202329 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25661017pm--เป็นพุทธที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่หัว

17 ต.ค. 66 - เป็นพุทธที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่หัว : ไม่ใช่ว่าดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ ทำสิ่งตรงข้ามกับความถูกความเหมาะความควร รวมทั้งเมื่อถึงเวลาสูญเสียพลัดพรากก็ทำใจได้ ไม่ใช่รู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น รู้ทั้งร้อยรู้เต็มที่เลย แต่พอสูญเสียแม้จะเล็กน้อย เช่นเงินหายไม่กี่ร้อยก็โมโหเสียดาย อันนี้เรียกว่าเป็นพุทธที่หัว แต่ว่าไม่ได้เป็นพุทธที่ใจ คือทำใจไม่ได้ ทั้งที่รู้หมดว่าควรปล่อยควรวาง แต่ว่าทำใจไม่ได้ ถ้าเราฝึกพัฒนาอารมณ์ พัฒนาความรู้สึก เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ใจมันก็พลอยคล้อยตามไปด้วย มีอะไรสูญเสียพลัดพรากมันก็ไม่เสียอกเสียใจปล่อยวางได้ ไม่ปรุงแต่งให้กลายเป็นความโกรธ หรือเป็นความโศกความเศร้า   เพราะฉะนั้น เรื่องของการสร้างความสมดุลให้เกิด ระหว่างความคิดและอารมณ์ความรู้สึก มันเป็นสิ่งจำเป็น อย่าพัฒนาแต่ความคิดหรือว่าอย่าเน้นแต่หัว แต่ให้พัฒนาอารมณ์ความรู้สึกหรือเน้นเรื่องใจด้วย เพื่อให้มันสมดุลกัน
12/17/202328 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25661016pm--อย่าให้มานะครองใจ

16 ต.ค. 66 - อย่าให้มานะครองใจ : เราก็ต้องพยายามรู้เท่าทัน เวลาอัตตาหรือมานะ มันบงการจิตใจของเรา อยากให้เราโชว์ อยากให้เราอวด เราก็อย่าไปหลงเชื่อทำตาม ต้องขัดขืนมันบ้าง ที่จริงการที่มีอัตตาฟูฟ่องบ้างมันก็ดีเหมือนกันเพราะถ้าอัตตาติดลบมันก็แย่ แต่ถ้าปล่อยให้อัตตาครองใจมากไป มันก็จะกลายมามีอำนาจเหนือเรา เราก็จะพลอยแย่ไปด้วยเพราะว่าเราต้องคอยเลี้ยงมัน มันเหมือนกับว่ามีปีศาจที่ต้องคอยปรนเปรอมันอยู่เสมอ ถ้าไม่ปรนเปรอมันด้วยการตามใจอัตตา ตามใจกิเลส มันก็จะอาละวาดโวยวาย แต่ถ้าปล่อยให้มันครองใจ บงการชีวิตเรา สุดท้ายเราก็ไม่เป็นผู้เป็นคนเหมือนกัน   เพราะฉะนั้นทางที่ดี เราก็พยายามระมัดระวัง อย่าให้มันครองจิตครองใจ หรือบงการจิตใจเรามาก รู้เท่าทันและขัดขืนมันบ้าง หัวเราะเยาะใส่มันบ้าง ให้กลับมามีสติ มีความรู้สึกตัว เพราะถ้ามีความรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ความสำคัญมั่นหมายว่าตัวตนหรือตัวกูก็จะมีอำนาจมีอิทธิพลน้อย 
12/16/202328 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661015pm--ความทุกข์มีประโยชน์

15 ต.ค. 66 - ความทุกข์มีประโยชน์ : คนเราจะมีสติรู้ทันความคิด มีสติรู้ทันความหลงได้ก็ต้องยอมให้มีความคิดความหลงเกิดขึ้น จะรู้ทันความโกรธก็ต้องยอมให้ความโกรธมันเกิดขึ้น แล้วก็เรียนรู้จากความโกรธ เรียนรู้จากความหลง เรียนรู้จากความฟุ้งซ่าน ที่จริงความโกรธความฟุ้งซ่านก็เกิดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าเป็นเพราะเราไม่คิดจะเรียนรู้จากมัน ฉะนั้นคนที่ยิ่งโกรธเท่าไหร่ก็ยิ่งกลายเป็นคนหงุดหงิดเจ้าอารมณ์มากเท่านั้น แต่ถ้าเรารู้จักใช้มันเอามาเรียนรู้ระหว่างปฏิบัติ ยิ่งมันเกิดขึ้นเราก็ยิ่งเชี่ยวชาญชำนาญในการรู้ทัน แล้วก็รู้ทางของมัน จับทางมันได้ว่ามันจะมาอย่างไร ก็ทำให้มันมีอิทธิพลครองจิตครองใจเราน้อยลง   คนเราถ้าไม่เรียนรู้จากอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในใจในระหว่างปฏิบัติ มันก็สูญเปล่านะ แต่ถ้าเราเรียนรู้จากมัน เราก็จะเกิดปัญญา สติเราก็จะงอกงาม แล้วเราก็สามารถจะเอาสติและปัญญานี้มาใช้ในการใคร่ครวญ เวลามีความทุกข์เกิดขึ้น มันจะไม่ลุกลามกลายเป็นวิกฤติในชีวิต แต่มันจะกลับทำให้เราเกิดปัญญา แล้วก็สามารถจะพาจิตพาใจผ่านความทุกข์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้ 
12/15/202326 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25661014pm--กินข้าวทุกมื้อ เจริญสติทุกวัน

14 ต.ค. 66 - กินข้าวทุกมื้อ เจริญสติทุกวัน : เห็นกายเคลื่อนไหว เห็นใจคิดนึก อันนี้ก็คือไปรู้ทันความคิด รู้ทันหรือรู้ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้น คือมักจะเกิดจากการที่มีอะไรมากระทบ เช่นเสียงมากระทบหูเกิดความไม่พอใจ ลมเย็นมากระทบกายเกิดความยินดี ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการที่มีการกระทบ หรือมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือว่า รุ้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเจอสิ่งกระทบ คนเราวันทั้งวันก็มีแค่ 2 อย่าง ถ้าไม่ทำนู่นทำนี่ ก็เจอนั่นเจอนี่ ระหว่างที่ทำถ้าทำด้วยกาย ก็รู้กายเคลื่อนไหว แล้วเมื่อเจอนั่นเจอนี่ เจอคำพูดของคน เจอการกระทำบางอย่างของคนรอบข้าง มีความยินดีบ้าง มีความยินร้ายบ้าง มีความพอใจ มีความไม่พอใจ มันก็รู้ กินอาหารอร่อยเกิดความยินดีก็รู้ อาหารไม่อร่อยเกิดความไม่พอใจก็รู้ อันนี้เรียกว่า รู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจคิดนึก หรือว่ารู้กายเคลื่อนไหวเมื่อทำกิจ รู้ใจคิดนึกเมื่อเจอผัสสะ หรือเจอการกระทบ   ถ้าทำได้ 3 ข้อนี้ ก็เรียกว่าเป็นการเจริญสติ สามารถทำได้ทั้งวันและทำได้ทุกที่ แล้วจะทำให้ชีวิตเรา จิตใจเรามีความโปร่งเบามากขึ้น มีความทุกข์ก็สามารถที่จะเห็นว่า ทุกข์มันเกิดจากใจ เกิดจากการยึดติดถือมั่น เกิดจากการปล่อยให้กิเลสมาครองใจ เกิดจากการที่ไปแบกสิ่งต่างๆ เอาไว้ อาจจะเป็นอดีต หรือเรื่องราวอนาคต หรือความคาดหวัง   แล้วก็รู้ว่า ที่ทุกข์นี้ก็เพราะใจแท้ๆ หรือทุกข์เพราะหลง พอใจมันไม่หลง พอใจมีสติ มันก็หายทุกข์ ก็เหมือนกับการกินข้าว กินข้าวทำให้หายทุกข์กาย หายหิว ส่วนการเจริญสติก็ทำให้หายทุกข์ใจ ซึ่งก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกชีวิต 
12/14/202326 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25661013pm--อย่ารอให้เกิดวิกฤตจึงค่อยได้คิด

13 ต.ค. 66 - อย่ารอให้เกิดวิกฤตจึงค่อยได้คิด : ความตายมันทำให้ความทุกข์ที่เคยเจอทั้งมวลนั้น มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย และดังนั้นหลายคนซึ่งโชคดีไม่ตายเพราะมีคนมาช่วย เขามาได้คิดเลยว่าสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่คอขาดบาดตาย มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเลย เพราะว่าตอนนั้นแหล่ะที่ได้เจอกับความตายแบบใกล้ชิดมาก ความตายทำให้คนได้ตระหนัก ว่าความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงที่เรามีเราเจอ มันเล็กน้อยมาก เพราะไม่มีทุกข์ใดที่มันยิ่งใหญ่กว่าความตาย โดยเฉพาะสัญชาตญาณของมนุษย์ที่อยากจะมีชีวิตให้ยืนยาว และหลายคนทั้งที่อยากจะตาย จึงโดดลงมาจากสะพาน แต่ว่าพอได้รับการช่วยชีวิตนั้น กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมากขึ้น ปล่อยวางได้มากขึ้น เพราะรู้ว่าสิ่งต่างๆที่เคยยึดมั่นถือมั่นจนกระทั่งเกิดความผิดหวัง เศร้าโศกเสียใจ คับแค้น จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเลย   อย่างนี้เรียกว่าเป็นเพราะโชคดีที่เอาชีวิตรอดมาได้ หรือเป็นเพราะมีคนช่วยเอาไว้ แต่หลายคนที่มาได้คิดตอนกำลังจะกระทบพื้นน้ำ แต่ว่าคนช่วยไม่ทัน อันนั้นก็เรียกว่าน่าเสียใจ   แต่ว่าคนเราไม่ต้องรอให้เจอความตายใกล้ตัว ไม่ว่าจะโรคภัยไข้เจ็บ หรือว่าพบอุบัติเหตุ ถ้าเรานึกถึงความตายเป็น ก็จะช่วยทำให้เราได้คิดว่าเราทำอะไรที่ควรทำ และเมื่อถึงเวลา เราจะได้ไม่มีความรู้สึกผิดกับชีวิตที่ผ่านมา 
12/13/202330 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25661012pm--อย่าหลงเชื่อเหตุผลของกิเลส

12 ต.ค. 66 - อย่าหลงเชื่อเหตุผลของกิเลส : เหตุผลมันสามารถจะใช้ไปในทางที่ส่งเสริมคุณธรรม ความดีก็ได้ หรือใช้ไปในทางที่ส่งเสริมกิเลส หรือทำความชั่วก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราไม่รู้ทันกิเลส เราก็จะเชื่อเหตุผลของมัน ก็เหมือนกับคนที่มีเหตุผลในการทุจริตคอรัปชั่น เหตุผลดีทั้งนั้นแหละ แต่หลายคนก็มีเหตุผลที่ทำให้ไม่ทำการทุจริต เพราะฉะนั้นเรื่องเหตุผล จริงๆ แล้วมันอยู่ที่การรู้จักใช้ เหตุผลอย่างเดียวกัน สามารถจะใช้เป็นข้ออ้างในการทำชั่วก็ได้ หรือสนองกิเลสก็ได้ เหตุผลอย่างเดียวกัน สามารถจะใช้เป็นแรงกระตุ้น ให้ทำความเพียรก็ได้   อย่างเช่นเรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต ไม่ใช่ว่าคนไม่รู้นะว่าในที่สุดเราก็ต้องตาย แต่บางคนหรือจำนวนมากเอามาเป็นข้ออ้างว่าในเมื่อฉันจะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นฉันขอสนุกสนานให้เต็มที่ ขณะที่บางคนเห็นว่าชีวิตมันสั้น ระลึกถึงความตายเสมอ ก็เอามาใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล   คนทุกวันนี้ มีความฉลาดในการคิด เพราะฉะนั้นจะมีความสามารถในการคิดหาเหตุผล เราก็ต้องรู้จักจำแนกแยกแยะ ให้ได้ว่าเหตุผลที่มันเกิดขึ้นมาในหัว มันเป็นเหตุผลของกิเลส หรือเป็นเหตุผลของคุณธรรม คนที่มีธรรมะก็จะใช้เหตุผลเพื่อส่งเสริมคุณธรรม เพื่อรับมือกับคำต่อว่าด่าทอ ด้วยใจที่สงบไม่โกรธ เจอปัญหาก็ไม่วิตกกังวล เพราะรู้ว่าถ้ามันแก้ได้ จะกังวลไปทำไม แล้วถ้ามันแก้ไม่ได้ กังวลไปแล้วมีประโยชน์อะไร   แต่คนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ทันกิเลส หรือตกอยู่ในความหลง มันก็จะหลงเชื่อเหตุผลอีกแบบหนึ่ง ที่ทำให้ทุกข์หนักขึ้น หรือไม่ก็แย่กว่านั้น คือเป็นข้ออ้างในการทำชั่ว หรืออาจจะทำให้พาชีวิตตกต่ำย่ำแย่ เช่นปัญหามันแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไปกินเหล้าย้อมใจดีกว่า ไปหาอบายมุขดีกว่า จะได้ลืมๆ จะได้ไม่ต้องวิตกกังวลอะไร จะได้ไม่ทุกข์ ไม่เครียด ไม่กลุ้ม ก็ว่าไปทางโน่นเลย แต่ถ้าเราใช้เหตุผลได้ถูกต้อง มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องวิตกกังวล เพราะกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์
12/11/202326 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25661011pm--อย่าสร้างคุกให้ใจ

11 ต.ค. 66 - อย่าสร้างคุกให้ใจ : เราเอากายมาเป็นฐานของใจ จะว่าไปก็เหมือนกับเอากายเป็นบ้านของใจ ใจมันต้องการบ้าน และบ้านของใจก็หมายถึงบ้านที่มีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าบังคับใจให้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ เช่นมาอยู่กับกาย กายก็จะไม่ใช่บ้านแล้วกลายเป็นคุก อย่าให้กายเป็นคุกของใจ เพราะถ้ากายเป็นคุกของใจ มันจะหนีมันจะแหก ถ้าเราบังคับจิตให้อยู่กับกาย นั่นคือกำลังทำให้กายเป็นคุกของใจ แต่ถ้าเราทำให้กายเป็นบ้านของใจ ก็หมายความว่ามันมีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าหากว่าใจรู้ว่ากายเป็นบ้าน และมีอิสระที่จะไปที่จะมา มันก็จะพอใจที่จะอยู่กับกาย   เหมือนกับเด็กวัยรุ่น ถ้าหากว่าเขารู้ว่าบ้านมันไม่ใช่คุก เขาก็อยากจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านมันคือคุก เพราะพ่อแม่บังคับทุกอย่างเลย เขาก็อยากจะแหกออกจากคุก ไม่อยากกลับบ้าน จะกลับก็ต้องดึกๆ ดื่นๆ หรือไม่ก็หาเรื่องเที่ยวเตร่ 3-4-5 วันกลับที เพราะเขารู้สึกว่าที่นั่นไม่ใช่บ้านแต่คือคุก แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านเป็นที่ที่เขามีอิสระ เขาก็อยากจะอยู่   ใจก็เหมือนกัน ทำกายให้เป็นบ้านของใจ จะมาก็ได้จะไปก็ได้ แต่ว่าเราก็จะอาศัยสติมาเชื้อเชิญ มาชวนเกลี้ยกล่อมให้ใจกลับมาอยู่บ้าน คือกลับมาอยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว   พอมารู้กาย ไม่นานก็จะคล่องแคล่วในการรู้ใจ คือรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วก็สามารถที่จะพาจิตหลุดออกจากความคิดและอารมณ์ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก็จะทำให้เราพบกับความสงบได้ พบกับความโปร่งเบา ทำอะไรก็ทำได้อย่างมีสติ ได้ผล ไม่หลงลืม ไม่ละเลยในเป้าหมายที่ได้มุ่งเอาไว้
12/10/202327 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25661010pm--อยากก้าวหน้าอย่ากลัวหลง

10 ต.ค. 66 - อยากก้าวหน้าอย่ากลัวหลง : การปฏิบัติแบบนี้ “อย่าไปกลัวหลง” บางคนกลัวหลงมาก ก็เลยพยายามไปบังคับจิต ไปจ้องดูจิต เหมือนกับถ้าเราจะขี่จักรยาน ขี่ไม่เป็น จะฝึกขี่อย่ากลัวล้ม ถ้ากลัวล้ม มันจะขี่ไม่เป็น บางคนกลัวล้ม ต้องเอาล้อ 2 ล้อมายันไว้ที่ล้อหลังจะได้ไม่ล้ม มันไม่ล้มก็จริงแต่ว่ามันขี่ไม่เป็น ถอด 2 ล้อเล็กออกเมื่อไหร่ก็ล้มเมื่อนั้น จะขี่จักรยานเป็นมันก็ต้องไม่กลัวล้ม เหมือนกับคนที่จะพูดภาษาอังกฤษเป็นต้องไม่กลัวผิด คนไทยเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นสิบปีแต่พูดไม่ได้เลย แอนดรูว์ บิ๊กส์ เป็นฝรั่งสอนภาษาอังกฤษ เขาตั้งข้อสังเกตว่าคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษไม่ก้าวหน้าเลย เพราะกลัวผิดจึงไม่กล้าพูด กลัวผิด Grammar กลัวผิด Tense เลยไม่กล้าพูด พอไม่กล้าพูดก็เลยพูดไม่เป็น   ขณะที่บางคนเขาไม่กลัวผิด ไม่มีหน้าจะต้องรักษา ไม่กลัวเสียเซลฟ์ (self) พูดตะบันไปเลย คนแบบนี้ที่กล้าพูดโดยไม่กลัวผิดจะเรียนภาษาอังกฤษได้เร็ว ที่จริงแอนดรูว์ บิ๊กส์ เขาพูดภาษาไทยได้คล่องเพราะเขาไม่กลัวผิด พูดเรื่อยเปื่อย ผิดก็มีคนแก้ เอาผิดเป็นครู ก็เลยพูดภาษาไทยได้เร็วและสำเนียงก็ได้   ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราปฏิบัติแล้วเรากลัวหลง เราก็จะปฏิบัติได้ช้า เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องกลัวหลง บางคนกลัวหลง ก็จะต้องหาทางเพ่ง เอาจิตไปเพ่งที่เท้า เอาจิตไปเพ่งที่มือ มันจะได้ไม่หลง มันจะได้ไม่ฟุ้ง บางทีไม่พอมีคำบริกรรมอีก มีการนับ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกลัวหลง กลัวฟุ้ง   มันเหมือนกับเวลาจะข้ามท้องร่อง สมัยก่อนข้ามท้องร่องในสวน เขาใช้ไม้ไผ่แค่ลำเดียว บางคนกลัวตก ต้องมีราวเอาไว้จับ ถ้าไม่มีราวจับมีแต่ลำไม้ไผ่ล้วนๆ ไม่กล้าเดินเพราะกลัวตก การปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนเปรียบเหมือนกับการข้ามท้องร่องด้วยลำไม้ไผ่โดยที่ไม่มีราว ใหม่ๆ พอข้ามไม่ทันถึงท้องร่อง ยังข้ามไม่ทันถึง ก็ตกเสียแล้ว แต่ถ้าไม่ท้อขึ้นมาใหม่ เดินข้ามอีก แล้วก็ตกอีก ก็ไม่เป็นไร เดินข้ามบ่อยๆ เดี๋ยวก็ข้ามท้องร่องด้วยลำไม้ไผ่โดยที่ไม่มีราว   การปฏิบัตินี้ บางคนหวังพึ่งราวก็คือคำบริกรรม คือการเพ่ง คือการนับ ต้องมีราวเพื่ออะไร เพื่อจะได้ไม่ตก แต่ถ้าเราไม่กลัวตก เดินไปเลย มันจะตกก็ช่างมัน ก็กลับมาเริ่มต้นใหม่ สุดท้ายก็เดินข้ามท้องร่องลำไม้ไผ่โดยที่ไม่ต้องมีราวได้ มันเป็นความชำนาญ ที่เกิดจากชั่วโมงบิน เกิดจากการทำบ่อยๆ เหมือนขี่จักรยาน ถ้าไม่กลัวล้ม สุดท้ายก็ขี่ได้คล่อง แต่ถ้ากลัวล้ม ต้องมีคนประคอง ต้องมีล้อ 2 ล้อมาคอยยันไว้ที่ล้อหลัง ไม่ล้มก็จริงแต่ว่าขี่ไม่เป็นหรือขี่ได้ช้า   ฉะนั้นการปฏิบัติแบบนี้อย่าไปกลัวหลง อย่าไปกลัวฟุ้ง อนุญาตหรือให้โอกาสสติได้ทำงานแล้วก็จะมีสติรู้ทัน แล้วเกิดความรู้สึกตัวได้เร็ว เร็วแบบชนิดที่เรียกว่าไม่ทันตั้งตัวเลย อย่างไม่คาดคิด
12/9/202327 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25661009pm--ทำเหตุเต็มที่ แต่ปล่อยวางผล

9 ต.ค. 66 - ทำเหตุเต็มที่ แต่ปล่อยวางผล : การทำงานแบบปล่อยวาง มันไม่ใช่เป็นเรื่องที่เพ้อฝัน มันเป็นเรื่องที่ทำได้และควรทำด้วย เพราะส่วนมากคือต้องเข้าใจด้วยว่าการปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ปล่อยวางคืออย่างน้อยก็ปล่อยวางผลที่มุ่งหวัง ปล่อยวางความสำเร็จที่อยากได้ หรือปล่อยวางความสงบหรือว่าสติความรู้สึกตัวที่อยากจะทำให้เกิดมีขึ้นในระหว่างการปฏิบัติ อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดี ประกอบเหตุให้เต็มที่ นี่คือสิ่งที่เราควรทำในขณะที่เรามาปฏิบัติธรรมที่นี่ วางผลเอาไว้ก่อน ผลที่คาดหวัง อย่าให้ความต้องการหรือความปรารถนา ความคาดหวังในผล มารบกวนการปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นก็จะเครียด   ถ้าเรารู้จักการปล่อยผล ต่อไปเราก็จะปล่อยวางอื่นได้ ความหงุดหงิด ความรำคาญใจ ความปวด ความเมื่อย มันก็จะวางได้มากขึ้น ทำงานก็ให้กายทำไป ใจก็เพียงแต่รับรู้ว่ากายกำลังทำอะไร แต่ใจไม่ได้แบกอะไรเลยสักอย่าง ก็จะทำให้การทำงานนี้นอกจากคนทำไม่ทุกข์แล้ว บางทียังจะมีความสนุกหรือมีความสุขกับงาน และงานก็ทำได้ดี ทำได้มากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ
12/8/202324 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25661008pm--อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็แค่รู้ทัน

8 ต.ค. 66 - อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็แค่รู้ทัน : ใหม่ๆ สติมันงุ่มง่าม กว่าจะตามหาจิตเจอ หลงเข้าไปในป่าในความคิด แต่ว่าพอทำบ่อยๆ มันจะไวมากในการตามหาใจหรือหาจิตจนเจอ หลุดจากความคิด หลุดจากป่าหรือว่าเขาวงกตแห่งความคิด เข้ามาสู่ความรู้สึกตัว กลับมาสู่ปัจจุบัน กลับมารู้เนื้อรู้ตัวได้ไวขึ้น เราก็ต้องมีความอดทน ไม่เร่งรีบ ถ้าอยากให้สติทำงานได้เร็ว รู้สึกตัวได้ไว มันมีวิธีเดียวคือทำบ่อยๆ ทำเยอะๆ ทำซ้ำๆ   จึงบอกว่าสำหรับผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะผู้ฝึกใหม่ต้องเอาปริมาณไว้ก่อน เอาปริมาณเป็นหลัก แล้วคุณภาพจะตามมา สิ่งที่จะช่วยให้เราทำอย่างนี้ได้ก็คือ ลดความคาดหวัง ลดความอยากลง ทำโดยไม่มีความอยากให้เกิดความสำเร็จไวๆ เช่นให้จิตมาสงบเร็วๆ ให้มีความรู้สึกตัวไวๆ ลดความคาดหวัง   แม้ว่าจะไม่ได้หวังความสงบ ความรู้สึกตัว แต่ว่าความรู้สึกตัวบางครั้งมันก็ขึ้น บางครั้งมันก็ลง บางครั้งก็ต่อเนื่อง บางครั้งก็สั้น มันจะเป็นยังไงหน้าที่ของเราคือแค่รู้ รู้เฉยๆ   อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็เปลี่ยนให้เป็นรู้ให้หมด” มันจะง่ายถ้าหากว่าเราเตือนใจของเราอยู่เสมอว่า อะไรเกิดขึ้นกับใจก็แค่รู้เฉยๆ อะไรเกิดขึ้นกับกายก็รู้เฉยๆ เกิดขึ้นกับกาย เช่นปวดเมื่อยหรือว่าสบายก็แค่รู้ ไม่มีการผลักไสและก็ไม่มีการไหลตาม
12/7/202326 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25661005pm--ธรรมน้อมใจให้รู้จักวาง

5 ต.ค. 66 - ธรรมน้อมใจให้รู้จักวาง : พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระนันทิยะนะว่า อารมณ์ที่น่าพอใจ อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ เมื่อใดที่มันเกิดขึ้นก็ให้วางไว้ วางไว้ตรงนั้นแหละ อย่านำไปเก็บไปแบกเอาไว้ เช่นเดียวกันเมื่อเจอคำนินทาว่าร้าย หรือว่าลมปากของผู้คน มันก็จะไม่ทำให้ใจสั่นสะเทือน เพราะว่าพอมันเข้าหูซ้ายก็ทะลุหูขวา ไม่ทำให้เกิดความหวั่นไหวใจกระเพื่อมแต่อย่างใด คำชมก็เหมือนกันนะ คำชมก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าถ้าเขาว่าเราก็ปล่อยวาง แต่พอเขาชมก็เก็บมาคลอเคลีย ซึ่งก็ไม่ใช่ ก็ให้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาเหมือนกัน มีความดีใจก็รู้ มีความยินดีก็รู้แล้วก็วาง ถ้าไม่วางถึงเวลาที่เสียใจก็จะยึดก็จะแบก ถ้าไม่รู้จักวางถึงเวลาที่เกิดความยินร้ายมันก็ยึดก็แบกเหมือนกัน   เพราะฉะนั้นจะเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตาม ก็วางทั้งนั้น มันมาเพื่อให้เราเห็นเฉยๆ เห็นแล้วก็วาง และนี่ก็คือวิธีของการปฏิบัติของการประพฤติธรรมที่เราควรจะใส่ใจ
12/6/202327 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25661011pm--อย่าสร้างคุกให้ใจ

11 ต.ค. 66- อย่าสร้างคุกให้ใจ : เราเอากายมาเป็นฐานของใจ จะว่าไปก็เหมือนกับเอากายเป็นบ้านของใจ ใจมันต้องการบ้าน และบ้านของใจก็หมายถึงบ้านที่มีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าบังคับใจให้อยู่ตรงนั้นตรงนี้ เช่นมาอยู่กับกาย กายก็จะไม่ใช่บ้านแล้วกลายเป็นคุก อย่าให้กายเป็นคุกของใจ เพราะถ้ากายเป็นคุกของใจ มันจะหนีมันจะแหก ถ้าเราบังคับจิตให้อยู่กับกาย นั่นคือกำลังทำให้กายเป็นคุกของใจ แต่ถ้าเราทำให้กายเป็นบ้านของใจ ก็หมายความว่ามันมีอิสระที่จะมาและจะไปได้ ถ้าหากว่าใจรู้ว่ากายเป็นบ้าน และมีอิสระที่จะไปที่จะมา มันก็จะพอใจที่จะอยู่กับกาย   เหมือนกับเด็กวัยรุ่น ถ้าหากว่าเขารู้ว่าบ้านมันไม่ใช่คุก เขาก็อยากจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านมันคือคุก เพราะพ่อแม่บังคับทุกอย่างเลย เขาก็อยากจะแหกออกจากคุก ไม่อยากกลับบ้าน จะกลับก็ต้องดึกๆ ดื่นๆ หรือไม่ก็หาเรื่องเที่ยวเตร่ 3-4-5 วันกลับที เพราะเขารู้สึกว่าที่นั่นไม่ใช่บ้านแต่คือคุก แต่ถ้าเขารู้สึกว่าบ้านเป็นที่ที่เขามีอิสระ เขาก็อยากจะอยู่   ใจก็เหมือนกัน ทำกายให้เป็นบ้านของใจ จะมาก็ได้จะไปก็ได้ แต่ว่าเราก็จะอาศัยสติมาเชื้อเชิญ มาชวนเกลี้ยกล่อมให้ใจกลับมาอยู่บ้าน คือกลับมาอยู่กับกาย รู้เนื้อรู้ตัว   พอมารู้กาย ไม่นานก็จะคล่องแคล่วในการรู้ใจ คือรู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วก็สามารถที่จะพาจิตหลุดออกจากความคิดและอารมณ์ กลับมาอยู่กับกาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน ก็จะทำให้เราพบกับความสงบได้ พบกับความโปร่งเบา ทำอะไรก็ทำได้อย่างมีสติ ได้ผล ไม่หลงลืม ไม่ละเลยในเป้าหมายที่ได้มุ่งเอาไว้
12/5/202327 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25661004pm--ลดตัวตนให้เบาบาง

4 ต.ค. 66 - ลดตัวตนให้เบาบาง : ถ้าเราลดตัวตนได้มากเท่าไหร่หรือว่าลดการยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้มากเท่าไหร่ ถึงเวลาที่มีความทุกข์ มันก็ทุกข์น้อย เวลามีใครมาตำหนิต่อว่าก็จะทุกข์น้อย ยิ่งไม่มีตัวตนเลยยิ่งไม่ทุกข์เลยนะ มันเหมือนกับกระจก ถ้าถูกก้อนหินตกลงมากระแทกก็แตก แต่ถ้ามีไม่มีกระจกเลย ก้อนหินตกลงมามันก็ไม่มีอะไรแตก ถ้าเป็นคนก็ไม่เจ็บ คนที่ไม่มีตัวตน มีอะไรมากระทบก็ไม่กระเทือน อย่างที่เราสวดเมื่อสักครู่ บทมงคลสูตร ผู้ที่ฝึกจิตไว้ดีแล้ว จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลส มีตัวตนน้อย หรือว่ายึดมั่นถือมั่นในตัวตนน้อยมาก พอถึงเวลาปวด เวลาเจ็บ มันก็มีแต่ความเจ็บความปวด ไม่มีผู้ปวด ถ้ามีตัวตนเมื่อไหร่มันก็มีความเป็นผู้ปวด ผู้เจ็บ ผู้สูญเสีย ผู้โกรธ แต่ถ้ามีตัวตนน้อย มีความโกรธแต่ไม่มีผู้โกรธ มีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ ถึงเวลาตายก็มีแต่ความตาย ไม่มีผู้ตาย มันจะช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะเลย   แต่ถ้ามีตัวตนหนาแน่นเมื่อไหร่ เวลามีความปวด ก็ไม่ได้มีแต่แค่ความปวด มีผู้ปวดด้วย และปวดมากด้วย เวลามีความโกรธก็มีผู้โกรธ โกรธมากด้วย เวลามีความทุกข์ ไม่ได้มีแต่ความทุกข์อย่างเดียว มีผู้ทุกข์ ทุกข์มากด้วย   มาช่วยกันลดตัวตน ลดความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน แล้วก็สวนทางกับความปรารถนาที่จะมีตัวมีตนเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รู้จัก แม้ว่ามันจะรู้สึกอัดอั้นตันใจเวลาทำดีแล้วอยากจะอวด แต่ถ้าเราลองหักห้ามใจไม่อวด ไม่ให้อาหารกับกิเลส อัตตา หรือมานะ ต่อไปมันก็จะมีจิตใจที่เบาบาง แล้วทุกข์น้อยลง 
12/5/202329 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25661003pm--ดีใจได้แต่อย่าลืมตัว

3 ต.ค. 66 - ดีใจได้แต่อย่าลืมตัว : ความดีใจนี่ถ้าเราปล่อยใจหรือจมไปกับมัน มันไม่ใช่ดีนะ มันไม่ใช่แค่ทำให้เราลืมเนื้อลืมตัว หรือไม่รู้สึกตัว ตัวอย่างที่พูดไปสักครู่มันยังทำให้ถึงเวลาที่เราเสียใจ เราก็จะจมอยู่ในความเสียใจได้ง่าย ถ้าเพลินอยู่กับความดีใจมันก็จะจมอยู่กับความเสียใจได้ง่าย เหมือนคนที่หัวเราะเสียงดังดีใจ ถึงเวลาเศร้าใจเขาก็จะร้องไห้เสียงดังเหมือนกัน ถ้าไม่อยากจมอยู่กับความทุกข์ความเสียใจก็อย่าไปเพลิน หรือหลงอยู่กับความดีใจ ฉะนั้นเวลาฝึกดูใจ ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ ไม่ใช่แค่รู้ทันเฉพาะเวลามีอารมณ์ฝ่ายลบ เช่นความโกรธ ความหงุดหงิด หรือว่าความเครียด แม้กระทั่งอารมณ์ที่เราเรียกว่าอิฏฐารมณ์ น่าพึงพอใจ ก็อย่าไปเพลินกับมันมาก ให้ตั้งสติ ตั้งการ์ดดู เห็นมันมาแล้วก็ไป   เพราะฉะนั้น ท่านจึงสอนว่าให้รู้จักวางใจให้ดี อย่าไปยินดียินร้าย บางคนสงสัย ยินร้ายน่ะเข้าใจแต่ทำไมไม่ต้องยินดีด้วย อยากจะปล่อยใจให้มันยินดีถ้าไม่อยากยินร้ายก็ต้องฝึกให้ไม่ยินดี หรือถึงแม้ยินดีก็รู้ทัน ถ้าไม่อยากเศร้าเวลาสูญเสีย ไม่อยากโกรธเวลาถูกต่อว่า   เช่นเดียวกัน เวลาได้ก็อย่าไปดีใจมาก หรือเวลาได้รับคำชมก็อย่าไปเหลิง เพราะเรื่องพวกนี้มันเป็นของคู่กัน ดีใจมากก็เสียใจมาก ดีใจกับเสียใจมันใกล้กันมาก เพราะว่าอะไรๆ ก็ไม่เที่ยง ใจเรามันก็ไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น แม้กระทั่งความดีใจยามสมหวัง ยามได้รับชัยชนะ หรือว่าได้โชคได้ลาภก็อย่าไปเพลินกับมันมาก ต้องฉลาดในการรู้ทันมัน
12/4/202328 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25661002pm--อย่าซ้ำเติมตนด้วยความอยาก

2 ต.ค. 66 - อย่าซ้ำเติมตนด้วยความอยาก : แม้ว่าเราจะยังไม่มีปัญญาเห็นแจ่มแจ้งถึงความจริงว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง พูดง่ายๆ คือไม่รู้ความจริง แต่อย่างน้อยถ้ารู้ทันความอยากที่มันเกิดขึ้น มันก็ช่วยได้เยอะ ไม่รู้สัจธรรม ไม่รู้ไตรลักษณ์ ก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าตราบใดที่ยังรู้ทันความอยากที่เกิดขึ้น นั่นก็คือมีสตินั่นเอง พอมีสติ มันก็จะเห็นความอยากที่มาบงการจิต และไม่ต้องทำอะไรกับความอยาก แค่รู้เฉยๆ มันก็ค่อยๆ เลือนหายไปเอง ไม่ต้องไปอยากให้ไม่อยาก ซึ่งมันหนักเข้าไปใหญ่ เราเพียงแค่รู้ความอยาก เห็นความอยากก็พอ พอมันถูกรู้หรือถูกเห็นด้วยสติ มันก็ค่อยๆ จางคลายไป เพราะว่ามันเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่รู้สึกตัว ความหลงนั่นเอง แต่พอมีสติ มีความรู้สึกตัว ความหลงหาย ความอยากก็ดับไป ไม่มีที่ตั้ง   เพราะฉะนั้นเวลาเรามีความทุกข์ขึ้นมา ก่อนที่จะไปจัดการกับอะไรต่ออะไรที่เราคิดว่ามันทำให้เราทุกข์ ลองกลับมาดูว่า เป็นเพราะความอยากของเราหรือเปล่า อย่างอาจารย์คนที่เล่าถึงนั้น เขาคิดว่าลูกชายทำให้ตัวเองทุกข์ เพราะลูกชายไม่ยอมเรียนหมอ แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก ลูกชายไม่ได้ทำให้พ่อทุกข์ แต่ความอยากหรือความคาดหวังของพ่อเองต่างหากที่ทำให้พ่อทุกข์ พอพ่อลดความคาดหวังลง หรือยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ มันก็หายทุกข์ แล้วแทนที่จะลดความอยาก แทนที่จะขับไล่ความอยาก ก็เพียงแต่ยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น อย่าอยากในสิ่งที่ไม่มีหรืออยากในสิ่งที่ไม่ได้เป็น แค่ยอมรับสิ่งที่มี สิ่งที่เป็น ความทุกข์มันก็ลดลง
12/3/202327 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25661001pm--ก้าวข้ามความสุขอย่างหยาบ

1 ต.ค. 66 - ก้าวข้ามความสุขอย่างหยาบ : ความอยากจะเอาชนะ อยากจะเป็นผู้ชนะ มันสนองอัตตาตัวตนเต็มที่ แล้วมันพร้อมที่จะผลักไสให้เราทำชั่วก็ได้ ทำร้ายคนอื่นก็ได้ เพื่อจะเป็นผู้ชนะ หรือถลำเข้าไปในวงจรของอบายมุขเพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ แต่มันเป็นชัยชนะที่จอมปลอมและเป็นชัยชนะที่น่ากลัวมาก สู้ชัยชนะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ชนะตนประเสริฐกว่าชนะผู้อื่นนับร้อยนับพันครั้ง” และ ‘ชนะตน’ ในที่นี้ หมายถึงชนะกิเลสหรืออัตตาด้วย เพราะอัตตามันก็จะพยายามล่อหลอกเราให้สนองหรือปรนเปรอมัน สรรหาเหตุผลมาเพื่อที่จะล่อหลอกให้เราหลง แล้วเวลาที่เราจะชนะกิเลสพวกนี้ได้ มันต้องมีสติมากเลยนะ มีสติที่จะรู้เท่าทันอุบายของตัวอัตตาตัวกิเลสเหล่านี้ มันจะหลอกเรายังไง มันจะบอกว่า “ครั้งเดียวเท่านั้น” หรือ “ครั้งสุดท้ายแล้ว” เราก็ไม่เชื่อนะ ก็เพราะไม่เชื่อนี่แหละนะ จึงทำให้เราเป็นอิสระจากอำนาจของมันได้
12/2/202327 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660930pm--ถามไม่ถูก ออกจากทุกข์ไม่ได้

30 ก.ย. 66 - ถามไม่ถูก ออกจากทุกข์ไม่ได้ : บางทีถ้าหากว่าเราหมั่นถามสักหน่อยนะ แทนที่จะถามว่าใคร แต่ถามว่าอะไร เราก็จะเห็นความจริงได้ ความจริงที่จริงแท้ได้มากขึ้น แทนที่จะถามว่าใครเห็นก็ถามว่าอะไรเห็น แทนที่จะถามว่าใครเดินก็อะไรเดิน แทนที่จะถามว่าใครได้ยินก็ถามว่าอะไรได้ยิน ก็อาจจะพบว่ามันเป็นรูปที่เดิน มันเป็นจิตที่เห็น มันเป็นจิตที่ได้ยิน จึงมีคำว่าจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ วิญญาณคือการรับรู้ของจิตนั่นเอง คนเราไปติดที่คำว่าใครๆๆ มันก็เลยเห็นแต่ความจริงในระดับสมมติสัจจะ พอมองว่าใครก็มีแต่เรากับเขา แต่ถ้ามองว่าอะไร มันก็จะเห็นรูปเห็นนาม แล้วต่อไปก็จะเห็นเป็นขันธ์ 5 แล้วถ้าเรามองอะไร แทนที่จะมองว่าใคร มันก็จะเห็นขันธ์ 5 หรือ รูป นาม กาย ใจ ซึ่งเป็นความจริงแท้ แต่ถ้าเราเอาแต่ถามว่าใครๆๆ มันก็จะเห็นความจริงระดับสมมุติสัจจะ ซึ่งมันก็พาเราไปสู่ความหลงได้ง่าย   แต่ในชีวิตจริงเราก็คงหนีไม่พ้นนะที่จะต้องถามว่าใครๆๆ แต่ถ้าถามว่าอะไรบ้างก็ดี โดยเฉพาะถามในลักษณะที่ทำให้สาวไปถึงเหตุ สาวไปถึงปัจจัย อย่างเช่น เวลาเราเห็นอุบัติเหตุ หรือว่าอาชญากรรม แทนที่เราจะถามว่าใครทำ เราถามว่า “อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยให้เกิดเหตุเหล่านั้น” ใครฆ่าหรือว่าใครทำ มันอาจจะไม่ได้มีประโยชน์เท่ากับว่า อะไรที่ทำให้เกิดเหตุเหล่านั้นขึ้น อาจเป็นเพราะยาบ้า เป็นเพราะว่าการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะสังคมทำให้คนหลงผิด เกิดความโลภเกิดความหลง อันนี้ก็ทำให้สาวไปสู่การแก้ปัญหา   แล้วก็อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าตรัสกับพระโมลิยะที่ถามว่า “ใครเสวยเวทนา” ที่ถามผิดนี่ถามผิด ยังถามไม่ถูก ต้องถามว่าอะไรเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา สุดท้ายก็จะพบสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา ซึ่งใครทุกข์นี่มันไม่สำคัญเท่ากับว่า อะไรเป็นปัจจัยทำให้เกิดทุกข์ แล้วสุดท้ายก็จะพบว่า กระบวนการก่อทุกข์ก็คือปฏิจจสมุปบาท   สังเกตนะ ปฏิจจสมุปบาทไม่มีคำว่าใครเลย ไม่มีใครเป็นผู้ก่อเหตุ ไม่มีใครเป็นผู้รับผล มันมีแต่อะไร เเละนี่เป็นการมองที่ทำให้เห็นความจริงที่ช่วยพาให้ออกจากทุกข์ได้
12/1/202328 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25660929pm--ทุกข์มาให้รู้

29 ก.ย. 66 - ทุกข์มาให้รู้ : พอเห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ใจมันก็จะหน่าย ไม่อยากจะยึดแล้ว แต่ก่อนเห็นว่าอะไรๆ ก็เป็นสุข มันก็เลยยึด รวมทั้งร่างกายนี้ พอเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ให้ความสุขกับเรา แต่พอเห็นว่าเป็นตัวทุกข์ มันก็วาง นี่เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้นมาเห็นความจริง พอรู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ จิตมันก็คลาย ไม่ยึดมั่นถือมั่น พอจิตไม่มั่นถือมั่นมันก็พ้นทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” เพราะฉะนั้นการรู้ทุกข์สำคัญนะ เราไม่ได้รู้ด้วยการท่องจำเอา ทีแรกรู้ด้วยสติ ต่อไปก็รู้ด้วยปัญญา แม้จะยังไม่ถึงขั้นเห็นทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้น แต่อย่างน้อยเวลามันเกิดทุกข์ที่กาย ก็ไม่ไปยึดว่าฉันทุกข์ เวลามันมีความปวดที่กาย ก็ไม่ยึดมั่นสำคัญว่าฉันปวด เรียกว่าเห็นความปวดแต่ไม่มีผู้ปวด เวลามีความโศกความเศร้าเกิดขึ้น หรือความโกรธก็เห็นมัน เห็นความโกรธไม่เป็นผู้โกรธ แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว ถ้าเกิดว่าเราหมั่นฝึกรู้ทุกข์บ่อยๆ ด้วยการเอาสติมาดูกายดูใจอยู่เรื่อยๆ มันก็จะเห็นทุกข์ได้ไวขึ้น และเห็นทุกข์เมื่อไร มันก็ไม่เป็นทุกข์เมื่อนั้น
11/30/202329 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25660928pm--มีชีวิตโดยไม่เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา

28 ก.ย. 66 - มีชีวิตโดยไม่เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา : มันมี 2 สิ่งนะที่คนส่วนใหญ่เสียใจ 1 ทำโดยไม่ได้คิด 2 ได้แต่คิดแต่ไม่ทำ” ทำโดยไม่คิดก็คือว่าจะทำด้วยอำนาจของกิเลสหรือด้วยอำนาจของราคะหรือโทสะเรียกว่าทำโดยไม่คิดเสร็จแล้วก็มาเสียใจว่าฉันไม่น่าเลย ไม่น่าพลั้งเผลอ รู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่าหรือ ประเภทที่ 2 ได้แต่คิดแต่ไม่ทำเพราะว่าอาจจะคิดว่าเดี๋ยวก็ทำวันหลังก็แล้วกันผัดผ่อนไปเรื่อยคิดว่ามีเวลาแต่ลืมไปว่าความตาย หรืออย่าว่าแต่ความตายเลย ความเจ็บป่วยไม่รอใคร ถึงแม้ไม่ตายแต่ความเจ็บป่วยก็ทำให้ไอ้สิ่งที่คิดและอยากจะทำสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ฉะนั้นคนเราถ้าหากว่ามาถึงบั้นปลายของชีวิตแล้วถ้าเราไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจหรือเสียดาย ก็ถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ได้อย่างหนึ่ง จะเรียกว่าโชคดีก็คงไม่ถูกเพราะเรื่องอย่างนี้มันไม่เกี่ยวกับโชค มันเกี่ยวกับเรื่องของการที่รู้จักวางแผนชีวิตอย่างมีสติ มีวิจารณญาณ เมื่อเรามาถึง ระยะท้ายของชีวิตแล้วถ้าเราไม่รู้สึกเสียดายหรือเสียใจกับสิ่งที่ทำ ไม่มีความปรารถนาที่จะย้อนเวลากลับไปเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำอยู่   ถ้าคนเรามาถึงตระหนักตรงนี้หรือมาพบว่าไม่มีความจำเป็นที่จะย้อนเวลากลับไป เพราะที่ทำก็ทำดีที่สุดแล้ว อันนี้ก็ถือว่ามีชีวิตที่น่าภาคภูมิใจซึ่งเราทุกคนนี่ก็สามารถจะทำอย่างนั้นได้ถ้าหากว่าเรารู้จักวางแผนชีวิต แล้วก็มีสติกับการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะให้เวลากับการฝึกฝนปฏิบัติธรรมให้เวลากับจิตกับใจของตัวนอกเหนือจากเรื่องของสุขภาพและก็ครอบครัว 
11/29/202322 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660927pm--สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา

27 ก.ย. 66 - สิ่งมีค่าที่ควรถนอมรักษา : เราใส่ใจกับเรื่องอะไร จิตของเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราอยากให้ใจเรามีความสุข มีความสงบ เราก็ต้องรู้จักที่จะใส่ใจ ซึ่งก็ได้แก่มารู้กายรู้ใจ มาใส่ใจกับกายเวลาเคลื่อนไหว มาสังเกตรู้ทันความคิดและอารมณ์ เมื่อมันมีสิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นในใจ ถ้าเราเห็นคุณค่าของความใส่ใจ ตระหนักว่ามันเป็นทรัพยากรที่มีค่า เราจะหวงแหน ทะนุถนอมว่าเราจะใส่ใจกับอะไร จะไม่มัวแต่ปล่อยให้ใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องราวของชาวบ้าน คำพูดคำจาที่ชวนให้หงุดหงิด ที่บางท่านเรียกว่าเป็นขยะที่หลุดจากปากของใครต่อใคร เป็นเพราะเราไม่รู้จักควบคุมความใส่ใจของเรา หรือไม่รู้จักสงวน ไม่รู้จักรักษาความใส่ใจ จิตใจเราจึงเต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะว่ามัวไปจับไปฉวยเอาขยะ สิ่งที่ไม่เป็นสาระมาสุมไว้ในใจ แต่ถ้าเรารู้จักเลือกใส่ใจ เราก็จะรับเอาสิ่งดีๆ เข้ามา ทำให้จิตใจเราเบิกบานแจ่มใส เป็นกุศล และเจริญงอกงาม 
11/28/202329 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25660926pm--อะไรจะดีหรือไม่อยู่ที่ใจเรา

26 ก.ย. 66 - อะไรจะดีหรือไม่อยู่ที่ใจเรา : อย่างที่ครูบาอาจารย์หรือว่าพระอรหันต์หลายท่านก็ใช้ตัณหาละตัณหา ใช้มานะละมานะ เพราะฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นกับเรานี่มันไม่สำคัญเท่ากับว่าเรามีท่าทีกับมันอย่างไร เราปฏิบัติกับมันอย่างไร คือรู้สึกกับมันอย่างไร หรือใช้ประโยชน์กับมันได้แค่ไหน หรือปล่อยให้มันเข้ามามีอำนาจครองใจเรา อันนี้ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา หรือสิ่งที่เกิดในใจของเรานะ มันก็เหมือนกันหมดนะ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วจะดีหรือไม่อยู่ที่เรา จะดีหรือร้ายหรือไม่อยู่ที่เรา หรืออยู่ที่การปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติได้ดี ปฏิบัติได้ถูกต้อง ของดีก็ทำให้เกิดประโยชน์ โชคลาภก็ทำให้เกิดประโยชน์ หรือแม้จะเป็นเคราะห์ ความยากลำบาก ความเจ็บป่วย หรือความทุกข์ มันก็กลายเป็นของดีได้นะ ถ้าหากว่าเรารู้จักใช้มัน และอันนี้แหละคือเคล็ดลับสำคัญนะในการที่คนเราจะเป็นอิสระจากความทุกข์ หรือว่าสามารถที่จะยกจิตยกใจอยู่เหนือสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ไม่ว่ารอบตัวเรา กับชีวิตของเรา หรือว่าในใจของเรา 
11/27/202327 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25660925pm--ความอยากที่ควรรู้ทัน

25 ก.ย. 66 - ความอยากที่ควรรู้ทัน : อารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจของเราก็เหมือนกัน ถ้าเราไปรู้สึกลบกับมัน ไปโรมรันพันตูกับมัน อยากขับไสไล่ส่งมัน มันยิ่งดื้อด้าน แต่พอเราไม่มีอาการแบบนั้น จะอยู่ก็อยู่ไปฉันไม่ว่าอะไร พอเราวางใจแบบนี้ มันกลับค่อยๆ ล่าถอยไป อารมณ์ความคิดมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติ ลองสอบถามหรือตรวจสอบใคร่ครวญดูว่าลึกๆ ในใจเรามีความรู้สึกอยากจะกำจัดความคิดและอารมณ์ต่างๆ ออกไปจากใจหรือเปล่า ลองใช้สติตรวจสอบ ก็อาจจะพบว่ามันมีความคิดนี้ซุกซ่อนอยู่ ที่มันคอยบงการอยู่เบื้องหลังการปฏิบัติของเรา ถ้าเห็นก็ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ก็แค่รู้ว่ามันมีอยู่ เพียงแค่มันถูกรู้ถูกเห็น มันก็คลายพิษสงลงแล้ว มันก็จะไม่มาบงการจิตใจของเราต่อไป   แม้กระทั่งความอยากที่จะให้สิ่งต่างๆ หายไปหรืออยากจะกำจัดสิ่งต่างๆ ความอยากแบบนี้เราก็ไม่ควรจะอยากกำจัดให้มันหายไปจากใจเหมือนกัน อย่าไปอยากซ้อนอยาก ก็แค่รับรู้มันเฉยๆ แล้วก็รู้ว่ามันเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ ล่าถอยไปเอง 
11/26/202328 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25660924pm--ขยันรู้ ขยันดู

24 ก.ย. 66 - ขยันรู้ ขยันดู : ธรรมชาติของคนเราสมัยนี้มันชอบไปบงการบังคับควบคุมจัดการกับอะไรต่ออะไรมากมาย ถึงเวลามาปฏิบัติก็มาพยายามบังคับควบคุมจัดการกับจิต แทนที่จะปล่อยให้จิตเป็นอิสระเป็นธรรมชาติ และหน้าที่ของเราคือให้สติได้มารู้มาเห็น ถ้าหากว่าเราปล่อยให้สติเขาทำงาน ใหม่ๆ อาจจะเงอะงะงุ่มง่าม ช้านะ เหมือนกับสมัยที่เราอยู่ ป.1 ป.2 เวลาท่องสูตรคูณ มันต้องนึกอยู่นาน 5x8 ได้เท่าไหร่ ต้องนึกอยู่นาน 9x8 ได้เท่าไหร่ ต้องนึกอยู่นาน แต่พอเราท่องบ่อยๆ หรือทำเลขบ่อยๆ มันออกมาเลยทันที 5x8=40 9x8=72 นั่นเพราะอะไร เพราะทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ แต่ใหม่ๆ มันงุ่มง่ามอยู่แล้ว มันจะนึกคำตอบนี่ช้ามาก เหมือนกับสติของเรา จะให้มันรู้มันเห็นความคิดและอารมณ์ใหม่ๆ มันช้า แต่เราอย่าใจร้อน เราให้โอกาสเขา เพราะว่าเรื่องนี้มันต้องให้สติรู้เองเห็นเอง อย่าไปทำแทนสติ ต้องเปิดโอกาสให้สติได้ทำงาน สติก็จะเติบโต เมื่อสติเติบโตแล้วก็จะทำงานแทนเรา เวลาเผลอก็เผลอไม่นาน สติมาบอกเลยนะว่าตอนนี้กำลังฟุ้งแล้ว มันรู้ทัน มันเห็นความคิดและอารมณ์ได้ทันโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเลย หลักการเจริญสติที่นี่ไม่มีอะไรมาก ขยันรู้อย่างเดียวเลย รู้ตะพึดตะพือ อะไรเกิดขึ้นกับกายกับใจก็รู้อย่างเดียว ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง 
11/25/202329 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25660923pm--ทำบุญอย่าทิ้งธรรม

23 ก.ย. 66 - ทำบุญอย่าทิ้งธรรม : ธรรมะสามารถจะเข้าสู่ใจเราได้ ประการแรกด้วยการฟัง เรียกว่าสุตมยปัญญา การฟังแต่ฟังแล้วไม่พอจะต้องใคร่ครวญด้วย ใคร่ครวญจากประสบการณ์ของผู้คนมากมายที่เคยรุ่งแล้วก็ร่วง หรือว่าเคยสำเร็จแต่แล้วก็ล้มเหลว ชีวิตเคยขึ้นแต่แล้วก็ลง ถ้าเราคอยใคร่ครวญ แบบนี้เรียกว่าจินตามยปัญญา หรือที่ดียิ่งกว่านั้นคือภาวนามยปัญญา คือปฏิบัติธรรม อันนี้ยิ่งเป็นเรื่องยากสำหรับชาวพุทธจำนวนมาก จะให้มาทำบุญน่ะได้ แต่จะให้มาปฏิบัติธรรมน่ะฉันไม่เอา มักจะพูดว่าฉันยังไม่ทุกข์จะปฏิบัติธรรมไปทำไม รอให้แก่ก่อน แต่ถึงเวลาแก่ก็เลี่ยงไปเรื่อยๆ   ภาวนามยปัญญาคือการเจริญสติ การทำสมาธิ การทำกรรมฐาน เป็นหนทางแห่งการเปิดใจให้เข้าถึงธรรม อนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้าได้แต่เรียนรู้ผ่านการฟังเท่านั้นมันไม่ซาบซึ้งถึงใจนะ ถึงเวลาเกิดเหตุก็ลืม ลืมไปเลยนะเพราะว่ามันเป็นแค่สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา แต่ถ้าเราภาวนาจนเห็นรูปเห็นนาม โดยเฉพาะความคิดอารมณ์ที่มันไม่เที่ยง มันตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ ก็จะเข้าใจซาบซึ้ง   พอเข้าใจไตรลักษณ์แล้ว มันจะไม่ลืมหรือลืมยาก ถึงเวลาเกิดความผันผวนแปรปรวนขึ้นมาในชีวิต ก็ทำใจได้ ยอมรับได้ ไม่บ่นโวยวาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่คร่ำครวญ เพราะรู้จักใคร่ครวญจากประสบการณ์ทั้งจากการปฏิบัติธรรม และจากการดำเนินชีวิต ที่สำคัญคือทำให้มีธรรมะรักษาใจ ได้แก่ สติ สมาธิ ปัญญา อันนี้เป็นของที่ประเสริฐกว่าบุญที่เราเข้าใจเสียอีก   เพราะฉะนั้น อย่าคิดแต่จะเอาบุญนะ แต่ว่าให้เปิดใจรับฟังธรรมะด้วย ถ้าเอาบุญแต่ว่าเมินธรรมะ ก็ถือว่าชีวิตยังมีความเสี่ยง ทำบุญน่ะดีแล้ว แต่ว่าต้องอย่าลืมธรรมะด้วย 
11/24/202328 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25660922pm--ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้

22 ก.ย. 66 - ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้ : ความอยากนี้แปลกนะ ยิ่งอยากเท่าไหร่ยิ่งได้ผลตรงข้าม อยากเลิกเหล้ากลับกินเหล้าหนักขึ้น อยากหายป่วยกลับป่วยหนักขึ้น อยากให้มันสงบมันกลับจะฟุ้งหรือเครียดหนักขึ้น ฉะนั้นเวลาปฏิบัติต้องกลับมาดูนะ มาตรวจสอบดูว่ามันมีความอยากไหม ถ้าเห็นความอยากอย่าไปกดข่มมัน ให้รู้สึกเป็นกลางกับมัน แค่รู้เฉยๆ มันก็มากพอที่จะทำให้มันไม่สามารถบงการจิตใจได้ อย่าประเภทว่า จะอยากให้ไม่อยากนะ ถ้าอยากให้ไม่อยาก มันจะยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย ก็แค่ดูมันเฉยๆ รู้ทันมันเฉยๆ ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นแต่ไม่ไหลตามมัน เรียกว่ารู้ซื่อๆ มันก็จะไม่มาบงการจิตใจเรา ทำให้เกิดความเพี้ยนหรือว่าเกิดอาการเหวี่ยงวีน 
11/23/202326 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660921pm--ทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง

21 ก.ย. 66 - ทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง : คำว่าทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส ก็คือการทำกิจแล้วก็ทำจิต ทำเต็มที่คือขยันหมั่นเพียร ใส่ใจพิจารณาว่า อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ แต่ขณะเดียวกันใจก็ไม่ยึดติดถือมั่นกับผลสำเร็จ ใจอยู่กับปัจจุบัน ไม่ไปชะเง้อมองอนาคตหรือผลที่มุ่งหวัง เพราะถ้าทำไปแต่ใจไปอยู่กับผลสำเร็จ หรือผลที่คาดหวัง มันทุกข์นะ แม้แต่เพียงแค่เดินทางไปเที่ยวหลายคนก็ทุกข์แล้วเพราะว่าใจไปนึกแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึง ทั้งที่ไปเที่ยวแท้ๆ แต่ใจทุกข์แล้วเพราะว่าใจไปอยู่ที่เป้าหมาย พอใจอยู่ที่เป้าหมายนั้นก็จะมีความรู้สึกว่าเมื่อไรจะถึง สักที ทำดีหรือทำอะไรเพื่อส่วนรวม หรือแม้กระทั่งทำการงานส่วนตัว หากว่าจิตมันไปอยู่ที่เป้าหมายอยูที่ความสำเร็จ มันก็จะทุกข์นะว่าเมื่อไหร่จะถึง แต่พอถอนจิตออกจากเป้าหมายที่มุงหวัง มาอยู่กับปัจจุบัน ก็ทำได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์เรียกว่าทำได้เต็มที่แต่ไม่ซีเรียส จะเรียกว่าทำด้วยจิตปล่อยวางก็ได้ หรือทำด้วยใจที่อยู่กับปัจจุบัน   เพราะฉะนั้นการทำกิจด้วยจิตปล่อยวาง มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกัน จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และควรทำด้วย และนี่คือสิ่งที่ตรงกับคำสอนของพุทธศาสนาที่ท่านสอนให้ทำกิจแล้วก็ทำจิตไปพร้อมๆ กัน 
11/22/202329 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660920pm--ทำดีเป็นหน้าที่ของเรา

20 ก.ย. 66 - ทำดีเป็นหน้าที่ของเรา : เราต้องรู้จักแยกแยะนะ ใครทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา อย่าเอามาเป็นปัญหาของเรา หรืออย่าเอามาเป็นเครื่องกีดขวางการทำความดีของเรา ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อแม่ เป็นผู้มีพระคุณ เป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ว่าเขาจะทำดีหรือไม่ มันเป็นเรื่องของเขา ส่วนหน้าที่ของเราคือทำความดีเท่าที่เราจะทำได้ เพราะความดีเป็นสิ่งที่ดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว ใครทำคนนั้นก็ได้ เราไม่ควรจะทำดีเพียงเพราะว่าจะมีคนชื่นชมสรรเสริญ หรือเพียงเพราะว่าทำแล้วเขาจะเห็นความดีของเรา หรือทำแล้วเขาจะสำนึกในบุญคุณของเรา ถ้าเราทำดีโดยมีเงื่อนไข มันก็ไม่ใช่การทำดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ถ้าเราทำดีโดยที่ไม่สนว่าคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร หรือไม่สนแม้กระทั่งว่าคนที่เราทำเขาจะมีกิริยาหรือพฤติกรรมอย่างไร   ตราบใดสิ่งที่เราทำมันเป็นความดี แล้วทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ทำไปเถอะ แล้วอย่าทำให้พฤติกรรมของเขา มาเป็นเครื่องกีดขวางการทำดีของเรา พูดง่ายๆ คือว่า เขาทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ส่วนเราไม่สน เรายังทำดีต่อไปเรื่อยๆ 
11/21/202327 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25660919pm--รักษาใจให้อยู่บนทางสายกลาง

19 ก.ย. 66 - รักษาใจให้อยู่บนทางสายกลาง : ที่ใจเป็นกลางได้เพราะอะไร เพราะว่ามีสติ สติจึงเป็นเหมือนกับยามที่รักษาใจไม่ให้ศัตรู หรืออารมณ์อกุศล และความทุกข์เข้ามาครอบงำทำร้ายจิตใจเราได้ ถ้าไม่ไปโรมรันพันตู ผลักไสอารมณ์พวกนี้ มันก็ไม่มีอำนาจเหนือใจเรา ฉะนั้น การวางใจเป็นกลางต่ออารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ภายนอก คือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส หรืออารมณ์ภายในที่เรียกว่าธรรมารมณ์ จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อเรามีสติ มีความรู้สึกตัว   สติ ความรู้สึกตัวทำให้การรักษาใจให้เป็นกลางต่อสิ่งต่างๆ รวมทั้งให้อยู่ตรงกลางๆ ระหว่างนอกกับใน มันถึงเป็นไปได้ และช่วยทำให้ใจอยู่บนทางสายกลางได้ ไม่เผลอ แล้วก็ไม่เพ่ง ไม่ไหลไปตามกิเลส แล้วก็ไม่ไปต่อสู้ผลักไสกิเลส เป็นเรื่องเดียวกันหมดเลยนะ มันเชื่อมโยงกัน โดยมีสติ ความรู้สึกตัวเป็นตัวสำคัญ   เพราะฉะนั้น การเจริญสติจึงเป็นสิ่งสำคัญมากนะสำหรับการที่จะช่วยทำให้ใจเราอยู่บนทางสายกลาง ถ้าใจคนเราอยู่บนทางสายกลางแล้ว การมีชีวิตที่ดำเนินบนทางสายกลางก็เกิดขึ้นได้ง่าย และก็เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้นการเจริญสติจึงเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตบนทางสายกลาง 
11/20/202325 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660918pm--ขัดใจให้ใสสะอาด

19 ก.ย. 66 - ขัดใจให้ใสสะอาด : ขัดใจมันมี 2 ความหมายนะ ขัดใจที่เรามักจะได้ยินก็คือ ขัดใจแล้วมันก็เกิดความขุ่นมัว เกิดความหงุดหงิด อย่างแบบนี้เป็นทุกข์ เป็นโทษ แต่มันสามารถจะเอามาขัดใจเราให้ใสสะอาดได้ อย่างหลวงพ่อพุธเป็นตัวอย่าง เจอเด็กพูดจาหยาบคายแบบนั้น ในช่วงหนึ่งมันก็ขัดใจ เป็นสิ่งขัดใจท่าน ทำให้ท่านขุ่นมัว แต่ท่านก็เอามาใช้ขัดใจให้ใสสะอาด ด้วยการเอามาเป็นเครื่องฝึกใจ เตือนใจ ให้เห็นว่าเรายังมีสิ่งที่ต้องจัดการอยู่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สิ่งที่ขัดใจเราให้ขุ่นเคืองมันเป็นตัวกระตุ้นให้เราเห็นกิเลสที่บางครั้งก็ซุกซ่อนอยู่ การที่กิเลสผุดขึ้นมา เช่น ความโกรธ ความเกลียด มันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ ถ้าเรามองว่ามันคือการบ้านที่จะใช้ในการจัดการ เราจะไม่สามารถขัดใจให้สะอาดได้ ถ้าเราไม่รู้ว่าใจมันหม่นหมอง ใจมันสกปรก   บางคนไปคิดว่าใจของเราสะอาดผ่องแผ้ว ทั้งๆ ที่กิเลสก็เคลือบหนาเลย แต่พอเจอเหตุการณ์บางอย่างกระทบแล้วทำให้กิเลสมันชูคอ มันปรากฏตัวขึ้นมา ข้อดีก็คือเราได้รู้ว่าเรายังมีการบ้านที่ต้องทำ กิเลสมันก็ฉลาดนะ บางทีมันก็ซุกซ่อนได้อย่างแนบเนียนมาก จนกระทั่งคนบางคนคิดว่าตัวเองปฏิบัติดีแล้ว บางทีคิดว่าตัวเองหลุดพ้นแล้วด้วยซ้ำ แต่ถ้ามีอะไรกระทบแล้วทำให้กิเลสมันโผล่ขึ้นมา มันก็ทำให้เรารู้ว่าเรายังเป็นปุถุชน หรือว่ายังมีการบ้านที่ต้องจัดการ เห็นจิตของตัวเอง มีความหม่นหมองที่จะต้องขัดให้มันใสสะอาด 
11/19/202325 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660917pm--อย่าหลงเชื่อลูกไม้ของกิเลส

17 ก.ย. 66 - อย่าหลงเชื่อลูกไม้ของกิเลส : การที่เราเห็นความไม่ดี หรือกิเลสในใจ ก็เป็นเรื่องดีนะ แต่ถ้าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา จนเกิดความเข้าใจว่าเราเลว เราแย่ แสดงว่ายังดูไม่ถูก ยังมองไม่เป็น แต่ที่แย่คือมองไม่เห็นเลยนะ เห็นแต่ความดี เห็นแต่ความประเสริฐของเรา ไม่ใช่เห็นแค่ความดีเฉย ๆ แต่เห็นว่าเป็นเราด้วย ก็เลยเกิดการพอกพูนอัตตาหนาแน่นมากขึ้น เวลาทำอะไรผิดพลาด เวลาทำอะไรด้วยความเห็นแก่ตัวก็มีข้ออ้าง กิเลสมันสรรหาเหตุผลข้ออ้างให้เราเชื่อว่า เราดี มันเป็นกลไกปกป้องอัตตา เป็นกลไกปกป้องกิเลสแบบหนึ่งที่เราต้องระมัดระวัง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามองตนจริง ๆ มันก็จะไม่ใช่ว่าไปหลงใหลหลงปลื้มในตัวเอง แต่จะมีท่าทีของการวิจารณ์ซึ่งช่วยทำให้เราได้รู้เท่าทันกิเลสมากขึ้น ยิ่งเห็นความโกรธ ยิ่งเห็นความโลภก็ยิ่งดี ทำให้รู้ว่าจะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร   อย่างเช่นที่หลวงพ่อเทียนตอนที่ท่านเห็นความโกรธที่เกิดจากการทักท้วงของภรรยา มันทำให้ท่านเห็นเลยนะว่า ที่เราทำบุญ รักษาศีล มันยังไม่พอ เพราะทำแล้วยังมีความโกรธอยู่ อย่างนี้ต้องไปภาวนาให้หนัก แล้วก็ทำให้ท่านถึงกับเลิกทำการค้าขายเลย สะสางงานการเพื่อไปทุ่มเทให้กับการภาวนาโดยตรง ท่านบอกว่าแบบนี้มันจะดีกว่า 
11/18/202328 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25660916pm--อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายใจ

16 ก.ย. 66 - อย่าเอาทุกข์มาทำร้ายใจ : อารมณ์อกุศลนะ มันเกิดขึ้นจากการกระทบ แต่ไม่ใช่ว่ามันจะทำร้ายจิตใจเราได้ทันที ถ้าเรามีสติ ก็แค่เห็นมัน มันก็คงอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เป็นเพราะเราเข้าไปจับ ไปฉวย ไปยึดมัน หรือที่หลวงพ่อคำเขียนพูดว่า เป็นผู้เป็น มันจึงเกิดความทุกข์ เรามักจะเผลอไปจับไปฉวยอารมณ์อกุศล รวมทั้งความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นมาทำร้ายจิตใจของเราอยู่เสมอ แต่ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว เราจะไม่ทำอย่างนั้นนะ แม้มันจะมีความคิดหรือความทรงจำบางอย่างประทับอยู่ในใจเรา แต่มันไม่อาจทำร้ายจิตใจเราได้ถ้ามีสติ อารมณ์อกุศลแม้เกิดขึ้นในใจก็ไม่ใช่ว่ามันจะทำร้ายจิตใจเราได้ทันทีนะ ถ้าหากว่าเราเห็นมัน หรือวางระยะห่างจากมัน   ก็เหมือนกับที่มีคนเปรียบว่า เรือมันไม่จมนะ เพราะน้ำที่อยู่รอบๆ เรือ มันจะจมก็ต่อเมื่อน้ำเข้าไปในเรือ ตราบใดที่ความคิดและอารมณ์ มันยังอยู่รอบนอกของใจ มันก็ไม่ทำให้ใจเป็นทุกข์นะ แต่ถ้าเกิดว่าปล่อยให้มันเข้ามาในใจ มาทำร้ายจิตใจ นั่นแหละจึงจะเกิดทุกข์ และที่มันเข้ามาทำร้ายจิตใจได้เพราะไม่มีสติ สติเหมือนกับเป็นยามที่รักษาใจให้ปลอดภัย ไม่ให้อารมณ์อกุศลเข้ามาทำร้ายจิตใจ แต่ถ้าไม่มีสติเมื่อไร ก็เหมือนว่าไปคว้ามัน ใจก็ไปคว้ามันมาทำร้ายจิตใจตัวเอง แล้วก็เกิดความทุกข์เกิดความรุ่มร้อน เกิดความเจ็บปวด   ฉะนั้นในขณะที่เราพยายามหนีห่างความทุกข์ เราต้องระมัดระวังนะ อย่าไปคว้าเอาทุกข์มาใส่ตัว หรือไปคว้าเอาสิ่งเลวร้ายมาทำร้ายจิตใจของตัว แต่ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว เราก็จะทำอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป ไม่เพียงแต่ไปยุ่งเอาเรื่องของคนอื่น เอาความทุกข์ของคนอื่น เอาปัญหาของคนอื่นมาเป็นความทุกข์ของตัว แต่ยังเอาอารมณ์อกุศลต่าง ๆ มาทำร้ายจิตใจของตนด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถจะเลี่ยงได้ ถ้าเรามีสติ มีความรู้สึกตัว 
11/14/202327 minutes, 16 seconds
Episode Artwork

25660914pm--โลกเป็นอย่างไรอยู่ที่ใจเรา

14 ก.ย. 66 - โลกเป็นอย่างไรอยู่ที่ใจเรา : เราเลือกมองอะไรหรือรับรู้อะไร มันก็มีผลต่อใจของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาถ้าหากว่าเอาใจมาอยู่กับลมหายใจหรือว่าสวดมนต์ จิตใจเราก็พลอยเป็นกุศล แต่ตื่นเช้าขึ้นมาเปิดดูโทรศัพท์มือถือ เปิดดูโซเชียลมีเดีย หรือว่าเปิดดูเรื่องราวที่มันแย่ๆ ในทางการเมือง จิตใจก็ห่อเหี่ยว ฉะนั้นการรับรู้มันก็มีผลต่อใจของเรา เราก็ต้องรู้จักรับรู้หรือเลือกรับรู้ เพื่อให้สิ่งที่รับรู้ที่เป็นสิ่งดีงามมันกล่อมเกลาใจเราให้ดีงามไปด้วย แต่ถ้าเราฝึกสติมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ ถ้าจิตใจเราปลอดโปร่ง ผ่องใส เบิกบาน หรือมีความรู้ตัว แม้จะรับรู้สิ่งที่แย่ๆ แม้จะได้ยินคนตำหนิ ใจเราก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้ มันไม่ใช่ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร ใจเราก็จะต้องเป็นอย่างนั้น   บางทีโลกภายนอกมันแย่ หรือว่าเจอคำตำหนิคำต่อว่า แต่ถ้าใจเรามีสติ มันก็ไม่ได้แปลว่าใจเราก็จะหม่นหมองตามไปด้วย คนพูดไม่ดีกับเรา แต่ใจเราไม่ไปใส่ใจด้วย หรือมองเขาด้วยความเข้าอกเข้าใจ มันก็ไม่มีความโกรธความเกลียด อันนี้ก็อยู่ที่ใจเราว่าเราฝึกดีหรือเปล่า ถ้าใจเราฝึกดี ไม่ว่าสิ่งรอบตัวเราจะเป็นอย่างไร แม้จะเป็นลบ แต่ใจเราก็เป็นกลางได้   อันนี้ก็ขึ้นอยู่ที่การฝึกจิตฝึกใจของเรา รู้เท่าทันสิ่งที่รับรู้ รับรู้ด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็ทำให้ใจเป็นอิสระจากสิ่งเร้าไปได้ อย่างที่เคยเล่าว่าคนที่ฝึกปฏิบัติมา พอใจเขามีสติ มีความรู้สึกตัว จะเจอคนมาต่อว่าอย่างไร ใจเขาก็นิ่งได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องหงุดหงิดหัวเสียเมื่อได้ยินคำตอบว่าอย่างเดียว ใจเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมภายนอกก็ได้เหมือนกัน 
11/13/202331 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660912pm--เจอสิ่งเร้า ใจไม่เอาด้วย

12 ก.ย. 66 - เจอสิ่งเร้า ใจไม่เอาด้วย : ความคิดซึ่งอาจจะเคยทำให้เราทุกข์ เพราะคิดลบคิดร้ายหรือชอบนึกถึงเรื่องเก่าๆ ทำให้เจ็บปวด บางคนบอกว่าคิดเมื่อไหร่ก็ทุกเมื่อนั้น มันไม่ใช่นะ คิดแล้วไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าหากว่ามีสติเห็นมัน มีความโกรธเกิดขึ้นแล้วไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้ามีสติเห็นมัน เห็นความโกรธ รู้ทันมัน นี่คือสิ่งที่เราจะพบได้จากการเจริญสติ นั่นคือการตระหนักว่า ไม่ว่าจะมีสิ่งกระทบหรือสิ่งเร้าจากภายนอกหรือภายใน แต่ใจเราไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะเรามีสติเป็นเครื่องรักษาใจ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อควบคุมความคิด แต่เราปฏิบัติเพื่อไม่ให้ความคิดมาควบคุมเรา ถ้าเราปฏิบัติเพื่อควบคุมความคิด ก็จะพยายามบังคับจิตไม่ให้คิด ฝึกจิตให้มั่นนิ่งเอาไว้ แต่ถ้าเราปฏิบัติเพื่อไม่ให้ความคิดมาควบคุมเรา ก็หมายความว่ามีความคิดเกิดขึ้นก็ได้ แต่มันทำอะไรเราไม่ได้ทำอะไรใจไม่ได้ เพราะใจมีสติเป็นเครื่องป้องกัน หน้าที่ของสติที่จะป้องกันใจไม่ให้ทุกข์ก็คือการรู้ทันเห็นมันได้ไวๆ จนกระทั่งไม่ปล่อยให้มันเข้ามาบงการจิตใจ 
11/12/202326 minutes, 12 seconds
Episode Artwork

25660911pm--ถ้ารักตนก็อย่าเบียดเบียนตน

11 ก.ย. 66 - ถ้ารักตนก็อย่าเบียดเบียนตน : 'ประโยชน์ตน’ กับ ‘ความเห็นแก่ตัว’ มันต่างกันนะ ความเห็นแก่ตัวส่วนใหญ่มันจะคำนึงถึงความถูกใจ ส่วนประโยชน์ตนจะเป็นไปเพื่อความถูกต้อง ‘ถูกต้อง’ กับ ‘ถูกใจ’ มันต่างกันนะ ส่วนใหญ่เราสนใจหรือคำนึงแต่ความถูกใจ ที่อยากร่ำอยากรวย อยากมีโชคมีลาภ หรือว่าอยากกินของอร่อยโดยที่ไม่คำนึงถึงสุขภาพ หรือว่าติดเกม ติดการพนัน ติดเหล้าบุหรี่ พวกนี้มันล้วนแล้วแต่เป็นเพราะมุ่งแต่ความถูกใจ ถ้ามุ่งถึงความถูกต้อง สิ่งที่ว่ามาเราก็จะไม่สนใจ เพราะอะไร เพราะมันไม่ถูกต้อง เพราะมันเป็นเป็นโทษต่อสุขภาพ เพราะมันเป็นอันตรายต่อจิตใจ   ทำอะไรที่คำนึงถึงความถูกใจ ส่วนใหญ่มันก็เป็นไปเพื่อส่งเสริมกิเลสซึ่งทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว หนักขึ้น แต่ถ้าทำอะไรเพื่อความถูกต้อง มันก็จะไปก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกายสุขภาพใจ ไม่ว่าจะเป็นการมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ฝืดเคือง ไม่ยากจน การทำอะไรเพื่อความถูกใจต่างหากที่มันทำลายประโยชน์ตนหรือเป็นการเบียดเบียนตน ซึ่งคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจมองไม่เห็น 
11/11/202329 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25660910pm--นึกถึงธรรมแม้ในยามสุข

10 ก.ย. 66 - นึกถึงธรรมแม้ในยามสุข : ในยามนี้ ธรรมะมันจะช่วยเราได้ ให้อยู่กับความทุกข์ ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ โดยเฉพาะถ้าเรายังมีสติ มีสติก็ทำให้ความทุกข์เกิดขึ้นกับกาย แต่ว่ามันจะช่วยรักษาใจ ไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้ป่วยไปด้วย มันช่วยให้เราสามารถจะรับมือกับทุกข์เวทนา ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้ และจะทำอย่างนั้นได้ มันต้องมาฝึก ต้องมาสะสม ต้องมาสร้างกันตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ คือตั้งแต่ตอนที่ยังมีสุขภาพดี ตอนที่ยังมีกำลังวังชา ตอนที่บ้านเมืองยังปกติสุขอยู่ จึงบอกว่า เวลามันไม่ใช่แค่ในยามทุกข์เท่านั้นที่เราควรจะนึกถึงธรรม ในยามสุข หรือแม้กระทั่งในยามที่ชีวิตอยู่ในช่วงขาขึ้น ก็ต้องนึกถึงธรรม   และนึกถึงอย่างเดียวไม่พอ ต้องปฏิบัติ อย่าไปเพลินกับความสำเร็จ หรือความปกติสุข จนกระทั่งลืม ตระหนักถึงความจริงว่า ไอ้สิ่งที่มีอยู่ มันเป็นของชั่วคราวเท่านั้นแหละ ดังนั้นหากเรานึกถึงธรรมะเอาไว้ มันจะทำให้เราเกิดความขวนขวาย เกิดความกระตือรือร้น และทำให้เราเร่งปฏิบัติธรรม ทำความเพียร ซึ่งมันจะให้ผลที่คุ้มค่ามาก วันนี้เรารักษาธรรมนะ ต่อไปธรรมก็จะรักษาเรา อันนี้คือสัจจธรรมความจริงอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม 
11/10/202326 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25660909pm--เข้าถึงสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข

9 ก.ย. 66 - เข้าถึงสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข : คนที่ขยันทำงาน มีความสุขกับการทำงาน เขาก็จะไม่ให้ความสำคัญกับเงินทองมาก การที่จะไปคอรัปชั่นเพื่อที่จะได้มีเงินไปซื้ออะไรมาปรนเปรอตนก็น้อย เพราะเขามีความสุขจากการทำงานอยู่แล้ว หรือความสุขจากการที่ได้ทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่น มันก็ทำให้คลายความยึดติดในสิ่งเสพ ยิ่งความสุขจากสมาธิภาวนาหรือความสงบในใจนี้ มันก็ยิ่งทำให้หันหลังให้กับความสุขจากสิ่งเสพได้เลย อย่างครูบาอาจารย์หรือว่าพระที่ท่านพบกับความสงบในจิตใจนี้ จากการทำกรรมฐาน นั้นเพียงแค่บริขาร 8 ท่านก็อยู่ได้อย่างมีความสุขนะ นั้นคนบางคนสงสัยทำไมพระอยู่ได้ยังไงนะ หลวงพ่อหลวงตาท่านไม่ได้มีอะไรเลยนะ แต่ทำไมท่านอยู่ได้ เพราะว่าท่านมีความสุขจากสมาธิภาวนา ใจก็เลยไม่ตกเป็นทาสของวัตถุสิ่งเสพ จิตใจมันปล่อยมันวางในวัตถุในทรัพย์เอง เพราะว่าได้พบสิ่งที่ประเสริฐกว่า   ฉะนั้นถ้าเราพยายามที่จะเข้าถึงความสุขที่ประณีต เริ่มจากความสุขจากการทำสิ่งที่ดี ใฝ่รู้ใฝ่ธรรม ขยันทำงาน มีความสุขกับการทำงาน มีฉันทะในการทำงาน อันนี้ก็ถือว่าเรามีของดีที่จะช่วยทำให้ใจเราเป็นอิสระจากวัตถุสิ่งเสพได้มากขึ้น   ยิ่งถ้าเราสามารถจะเข้าถึงความสงบภายใน สงบจากกิเลส สงบจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวนภายใน ก็ยิ่งทำให้วัตถุสิ่งเสพมันมีความหมายหรือแรงดึงดูดต่อจิตใจเราน้อยลง เราก็สามารถจะเป็นอิสระนะจากสิ่งเหล่านี้ได้ ความยึดติดถือมั่นในสิ่งนั้นก็จะค่อยๆ คลายไปเอง แม้จะยังมีอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในระดับที่จะเป็นพิษเป็นภัยหรือเป็นโทษต่อชีวิตจิตใจ 
11/9/202328 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25660908pm--ฝึกจิตให้เป็นมิตรที่ประเสริฐ

8 ก.ย. 66 - ฝึกจิตให้เป็นมิตรที่ประเสริฐ : มันสุดแท้แต่ว่าเราจะฝึกจิตแบบไหน ถ้าเราฝึกไปในทางที่ดี จิตก็จะเป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเรา ถึงเวลาเกิดอุปสรรคเกิดความวิกฤตอะไรต่างๆ สติก็ดี ความรู้สึกตัวก็ดี เมตตาก็ดี มันก็จะเข้ามาช่วยรักษานะให้ผ่านพ้นจากวิกฤตได้ ฉะนั้นมันอยู่ที่การเลือกของเรา เราจะเลือกฝึกจิตให้เป็นมิตรที่ประเสริฐที่สุดของเรา หรือจะฝึกจิตให้เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเราก็ได้ ฉะนั้นการที่เราฝึกสติ ถ้าเราฝึกสติบ่อยๆ สร้างความรู้สึกตัวบ่อยๆ แน่นอนเลยว่ามันจะช่วยทำให้จิตของเราเป็นจิตที่ประเสริฐ เป็นจิตที่พร้อมที่จะพาเราผ่านพ้นอุปสรรค ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม   การสวดมนต์บ่อยๆ การเจริญสติบ่อยๆ การทำความรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ พวกนี้ไม่มีคำว่าสูญเปล่า ไม่มีคำว่าไร้ประโยชน์ มันจะมีประโยชน์เกื้อกูลเราไม่วันนี้ก็วันหน้า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราพยายามทำสิ่งนี้ซ้ำๆ กัน ทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ เราจะได้ที่พึ่งที่หาได้ยาก
11/8/202328 minutes, 10 seconds
Episode Artwork

25660907pm--หาประโยชน์จากทุกข์ให้เจอ

7 ก.ย. 66 - หาประโยชน์จากทุกข์ให้เจอ : หลวงพ่อคำเขียนจึงบอกว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” ซึ่งท่านเขียนไว้ในช่วงท้ายๆของชีวิต ทีแรกก็เห็นทุกข์ด้วยสติก่อน คือเห็นอารมณ์ที่มันทำให้ทุกข์ และยกจิตหรือพาจิตออกจากอารมณ์เหล่านั้น อันนี้เรียกว่าไม่เข้าไปเป็นผู้ทุกข์ เพราะเห็นทุกข์ เห็นอารมณ์ที่ทำให้ทุกข์ แต่ต่อไปก็เห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ทั้งนั้นแหล่ะ อันนี้เป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งมาก เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นตัวทุกข์ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นเหมือนของหนักที่แบกเมื่อไหร่ก็หนักเมื่อนั้น เป็นเหมือนของร้อนที่จับเมื่อไหร่ก็ลวกมือเมื่อนั้น เป็นเหมือนของแหลมที่ถูกเมื่อไหร่ก็เจ็บเมื่อนั้น ฉะนั้นอย่างเดียวที่ควรทำคือ วางมันลงซะหรือไม่เกี่ยวข้องกับมันเกี่ยวข้องแบบไม่ยึด เรียกว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น พวกนี้ทำให้พ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ลองพิจารณาดูดีๆความทุกข์แม้ว่าเราจะยังไม่เห็นว่าทุกข์คือสัจธรรม แต่อย่างน้อยไม่ว่ามันจะเป็นความเจ็บความป่วย ไม่ว่าจะเป็นความสูญเสียพลัดพราก มันก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์รู้จัก ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากมัน 
11/8/202326 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25660906pm--รักษาใจในยามป่วย

6 ก.ย. 66 - รักษาใจในยามป่วย : พอเกิดทางความปวดทางกาย แล้วจิตมันโวยวายตีโพยตีพาย มันเกิดอาการต่อสู้ผลักไส ไม่ยอมรับ ตรงนี้คือตัวเพิ่มทุกข์ เป็นตัวซ้ำเติมความทุกข์ให้กับจิต แต่ถ้าเกิดว่าแม้เราจะไม่มีสติไวพอที่จะเห็นเวทนา ไปดูเวทนาทีไร มันเข้าไปเป็นผู้ปวดทุกที แต่ว่าสามารถที่จะเอาสติมาดูจิตได้ ดูจิตเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น เห็นอาการที่ไม่ปกติของจิต ที่มันโวยวายตีโพยตีพาย เห็นอาการของจิตที่มันเกิดความหงุดหงิด อาการพวกนี้พอมันถูกเห็นด้วยสติ มันก็จะสงบ มันก็จะกลับมาเป็นปกติขึ้นมา ที่เคยปฏิเสธไม่ยอมรับ ที่เคยผลักไส มันก็จะสงบ มันก็จะนิ่ง มันก็จะเป็นการทำให้ความทุกข์ของใจมันลดลง ก็คือมีสติมาเห็นจิต มีสติมาดูจิต แม้ว่าสติยังไม่ไวพอ แข็งแรงพอที่จะมาดูเวทนา   เรื่องพวกนี้พูดไปก็อาจจะเข้าใจยาก แต่ถ้าเราได้ลองทำดู ลองฝึกดู เวลามดกัดยุงกัด เวลาแดดเผา เราก็มาฝึกดูเวทนา หรือไม่ก็ฝึกดูจิต ดูอาการของจิตที่มันโวยวายตีโพยตีพาย ผลักไส ไม่ยอมรับ ไม่ไหวแล้วๆ มีสติเห็นจิตก่อน พอมีสติเห็นจิตได้ไว ต่อไปมันก็จะมีสติดูเวทนา แต่ก่อนก็เห็น ไม่เข้าไปเป็นผู้โกรธ ผู้หงุดหงิด ต่อไปมันก็จะเห็นความปวดแต่ไม่มีผู้ปวด อันนี้ก็ช่วยทำให้สามารถที่จะอยู่กับความปวดได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ 
11/5/202330 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25660905pm--เมินให้เป็นก็เย็นได้

5 ก.ย. 66 - เมินให้เป็นก็เย็นได้ : สติ ถือว่าเป็นเครื่องคุ้มกันจิต ไม่ให้ความคิดและอารมณ์เหล่านี้มาครอบงำ เราห้ามมันไม่ได้ ห้ามมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่แม้มันเกิดขึ้นแล้วมันทำอะไรจิตใจเราไม่ได้ เพราะเรามีสติ มีความรู้สึกตัว หรือเรามีความรู้ตัว ที่เรามาฝึกสติกันก็อย่างนี้แหละ เพื่อที่เราสามารถที่จะเมิน หรือว่าวางความคิดหรือและอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นอกุศล รวมทั้งเราสามารถที่จะเมินความพร่องความไม่สมบูรณ์ รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา มันเกิดขึ้นแต่ถ้าเราไปใส่ใจกับมันมาก เราก็ยิ่งทุกข์ เราไม่ใช่แค่ทุกข์กายแต่ทุกข์ใจด้วย แล้วพอมีความเจ็บป่วยก็เกิดทุกข์ก็เวทนาขึ้นมา ทุกขเวทนานี้แหละคือสิ่งที่เราสามารถที่จะเมินมันได้เหมือนกัน อย่าไปจดจ่อใส่ใจกับมันมาก แต่ธรรมดาพอเกิดทุกขเวทนาความเจ็บความปวดเกิดขึ้น ยิ่งไม่ชอบยิ่งจดจ่อ ยิ่งไม่ชอบยิ่งจดจ่อ ความคิดลบคิดร้ายยิ่งไม่ชอบยิ่งผุดยิ่งโผล่   แล้วถ้าเรายิ่งปฏิบัติต่อมันไม่ถูกต้อง เช่นไปกดข่มมันเอาไว้ มันก็ยิ่งอาละวาดหนัก ความเจ็บความปวดที่เราพยายามผลักไสมัน มันยิ่งรบกวนรังควานจิตใจ แต่ถ้าเรารู้จักรู้ทันมัน เราก็สามารถที่จะเมินได้ วางมันลงได้   นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากเลย ศิลปะในการเมิน ในการไม่ใส่ใจ ไม่ว่าสิ่งที่อยู่นอกตัวเรา หรือว่าสิ่งที่เกิดกับตัวเรา ร่างกายของเรา หรือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ เราต้องรู้จักฉลาดในการเมิน หรือว่าสามารถที่จะมีศิลปะในการเมินสิ่งเหล่านี้ได้ 
11/4/202327 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25660904pm--เจอทุกข์แต่ใจสงบ

4 ก.ย. 66 - เจอทุกข์แต่ใจสงบ : ไม่ใช่แค่ฝึกจิตเพื่อจะให้พบกับความสงบและความสุข มันไม่พอ มันต้องฝึกเพื่อสามารถจะอยู่ความไม่สงบและความทุกข์ได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ เพราะชีวิตของเรามันหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้น ความไม่สงบในจิต ความเจ็บปวดทางกาย ความสูญเสียความพลัดพราก พวกนี้เรียกว่าทุกข์หรือว่าอนิฏฐารมณ์ แต่ว่าเกิดขึ้นแล้วใจไม่ทุกข์ก็ได้ เพราะสามารถจะอยู่กับมันได้ ถ้าหากเราฝึกมาถึงตรงนี้ได้ ก็พอจะมีหลักประกันว่า เมื่อเจอความผันผวนปรวนแปรในชีวิตแล้ว เราก็จะไม่ทุกข์ไปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่ากับกาย หรือกับความคิดและอารมณ์ภายใน ไม่ใช่ว่าเราคิดแต่จะหนีทุกข์ หวังแต่จะเจอความสงบอย่างเดียว ซึ่งมันไม่พอ เราต้องเจอความไม่สงบ เสียงดัง เจอคนรอบข้างทำตัวไม่น่ารัก เจอความเจ็บความป่วย เจอความสูญเสีย แล้วอยู่กับมันได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ อันนี้จะเป็นการฝึกจิตขั้นที่สูงขึ้นไปอีก   ตราบใดที่เรายังฝึกจิตเพียงแค่ว่าหวังความสงบและความสุข ยังถือว่าไม่ดีพอ ไม่มีหลักประกันเพียงพอ เพราะความสงบหรือความสุขที่แม้จะบรรลุแต่มันก็ไม่เที่ยง และถ้ามันกลายเป็นความไม่สงบ กลายเป็นความทุกข์ ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความทุกข์ ความคับแค้นใจ 
11/3/202326 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25660903pm--อะไรที่เกิดขึ้นล้วนดีทั้งนั้น

3 ก.ย. 66 - อะไรที่เกิดขึ้นล้วนดีทั้งนั้น : ถ้าเรามองว่า เรามีหน้าที่ฝึกตนให้สมกับเป็นชาวพุทธ การที่เราจะมองอะไรว่า อะไรๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา ดีทั้งนั้น ก็เป็นเรื่องง่าย คนที่มองว่าเรามีหน้าที่ฝึกตน ฝึกจากทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ ทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น คนที่คิดแบบนี้จะมีข้อได้เปรียบก็คือว่า สามารถที่จะเรียนรู้จากทุกสิ่งได้ แม้จะเป็นสิ่งที่มันไม่ถูกใจเรา สามารถที่จะมองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น คำต่อว่าด่าทอ รถติด หรือว่า ความเจ็บ ความป่วย ความแก่ชรา พวกนี้มันดีทั้งนั้น มันมาสอนธรรมให้กับเรา แม้ว่ามันจะทำให้เกิดทุกขเวทนา แต่มันก็เป็นแบบฝึกหัดให้กับใจเรา เพื่อยกจิตให้อยู่เหนือทุกขเวทนาก็ได้ คนเราถ้าคิดว่าชีวิตนี้มันเป็นไปไม่ใช่เพื่อหาความสบาย แต่เพื่อการฝึกฝนตน มันต่างกันมาก เพราะการเกิดมามีชีวิตเพื่อหาความสบายมันก็จะทนไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้แหละ แต่คนเราถ้าหากว่าชีวิตนี้เกิดมาเพื่อฝึกฝนตน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ย่อมดีทั้งนั้นแม้มันจะเป็นอนิฏฐารมณ์ก็ตาม 
11/2/202325 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25660902pm--อย่าเอาถูกเอาผิดจนลืมตัว

2 ก.ย. 66 - อย่าเอาถูกเอาผิดจนลืมตัว : พอยึดมั่นในความถูกต้องใครที่ไม่ถูกก็กลายเป็นคนละฝ่ายคนละพวก เกิดความโกรธ เกิดความเกลียดชังกัน ทั้งๆ ที่ก็เป็นสามีภรรยา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก หรือเป็นเพื่อนก็สามารถจะเกลียดชังกันได้ เพราะว่าไปยึดมั่นถือมั่นในความถูกต้องจนกระทั่งเห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูไป ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าคนเราเวลามีการต่อว่ากัน เวลามีการโจมตีกัน อีกฝ่ายหนึ่งย่อมเกิดความรู้สึกเจ็บปวด แล้วก็ต้องตอบโต้ฉันปวดมากเท่าไหร่ ฉันต้องทำให้เธอปวดมากกว่านั้น อันนี้เป็นเพราะเกิดความลืมตัว พอลืมตัวแล้ว มันก็ลืมหมดว่าคนนี้เป็นเพื่อน คนนี้เป็นสามี คนนี้เป็นภรรยา คนนี้เป็นพ่อ คนนี้เป็นลูก มันลืมหมด ที่ลืมตัวก็เพราะว่า สิ่งที่ตัวเองยึดมั่นเอาไว้ คือยึดว่าเป็นตัวกูของกูมันถูกกระทบ พอตัวกูถูกกระทบ อัตตาก็เข้ามาครองใจ แล้วเมื่ออัตตาเข้ามาครองใจ ก็ลืมหมดว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ก็กลายเป็นว่าพอยึดมั่นในความถูกต้อง แทนที่จะเกิดความถูกต้อง มันจะเกิดความไม่ถูกต้องขึ้นมาในที่สุด   เพราะฉะนั้น ต้องตระหนักว่า การที่คนเราดำเนินชีวิตบนความถูกต้อง ดี แต่ว่าต้องระมัดระวังในการคาดหวัง หรือเรียกร้องความถูกต้องจากคนอื่น หรือจากสิ่งอื่น เพราะว่ามันสามารถทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ 
11/1/202325 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25660901pm--เรียนรู้ทุกครั้งที่เจอทุกข์

1 ก.ย. 66 - เรียนรู้ทุกครั้งที่เจอทุกข์ : ถ้าเกิดว่าเราได้คิดได้ตระหนักว่า ทำยังไงเมื่อเจอความทุกข์แล้วก็อย่าทุกข์ฟรี เมื่อเจอความกลัวก็อย่ากลัวฟรีๆ เมื่อเจอความโศกเศร้าก็อย่าโศกเศร้าฟรีๆ ให้เรียนรู้ว่ามันเกิดเพราะอะไร แล้วตรงนั้นแหละนะที่มันจะทำให้เกิดปัญญาขึ้นมา อย่างที่บอก “เจอทุกข์ จึงจะเห็นธรรม” แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่เจอทุกข์แล้วจะเห็นธรรมเสมอไป ส่วนน้อยที่เจอทุกข์แล้วเห็นธรรม ส่วนใหญ่เจอทุกข์แล้วก็คร่ำครวญ หลง เพราะไม่คิดที่จะใคร่ครวญ ทบทวนชีวิตจิตใจของตัว อันนี้ต่างหากคือสิ่งที่น่ากลัว   ถ้าเกิดว่าเราตระหนักเช่นนี้นี่ เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอความทุกข์ ก็ให้กลับมาตั้งสติ แล้วก็มาใคร่ครวญว่าเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง เพราะว่าความเจ็บปวดทุกครั้ง หรือความทุกข์แต่ละครั้งๆ มันสามารถจะให้บทเรียนแก่เราได้ ถ้าเรารู้ว่ามันทุกข์เพราะอะไร นี้คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าสอนเรา “เมื่อเจอทุกข์ ก็ให้รู้ทุกข์ ให้เห็นทุกข์ เพราะถ้ารู้ทุกข์ เห็นทุกข์ มันก็จะเห็นสมุทัย แล้วถ้าเห็นสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์แล้ว หนทางแห่งการพ้นทุกข์หรือดับทุกข์ก็เกิดขึ้นได้” นี่คือการเรียนรู้ที่สำคัญ   สรุปก็คือว่า อย่าไปกลัวทุกข์ อย่าไปหนีทุกข์ และพร้อมที่จะเรียนรู้จากทุกข์ อย่าทุกข์ฟรีๆ 
10/31/202327 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25660831pm--ฝึกใจให้พร้อมรับความเจ็บป่วย

31 ส.ค. 66 - ฝึกใจให้พร้อมรับความเจ็บป่วย : เราก็จะสามารถที่จะเรียนรู้จากความเจ็บป่วยนี้ได้ แล้วก็จะมีความพร้อมมากขึ้นในการที่จะรับมือกับความเจ็บป่วยในวันหน้าซึ่งก็รักษาไม่หาย คนเราแม้ว่าจะเจอความเจ็บความป่วยมากมาย อาจจะรักษาหายได้ แต่สุดท้ายมันจะมีความเจ็บความป่วยชนิดหนึ่งที่รักษาไม่หาย แล้วก็ยืดเยื้อเรื้อรัง และสุดท้ายมันก็ทำให้เราหมดลม ฉะนั้น ต้องเตรียมตัวรับมือกับพวกนี้เอาไว้ ด้วยการฝึกจิตใจอยู่เสมอ คาถาอาคมต่างๆ ที่เรียนมา หรือที่มาใช้ในการหาบริษัทบริวาร หรือแม้แต่อำนาจที่มีในฐานะที่เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคุณ ก็ไม่ได้ช่วยเลย แต่ว่าธรรมะโดยเฉพาะสติ ความรู้สึกตัว สมาธิ ปัญญา มันจะช่วยเราได้คือ “ทุกข์กาย แต่ใจไม่ทุกข์” หรือว่า “มีทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์” แล้วพวกนี้มันต้องฝึก อย่าฟังแต่ธรรมะอย่างเดียว ไม่พอ อ่านธรรมะเท่าไรมันก็ไม่ช่วย จนกว่าจะได้ฝึก   และไม่ได้ฝึกจากอะไร ก็ฝึกจากความทุกข์นี่แหละ ฝึกจากสิ่งที่ไม่ถูกใจนี่แหละ ฝึกจากอนิฏฐารมณ์นี่แหละ ต้องฝึกจากสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ใจเราจึงจะพร้อมในการที่จะรับมือกับความเจ็บป่วยและความผันผวนปรวนแปรในวันข้างหน้าได้ 
10/30/202328 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25660830pm--รู้ใจช่วยให้ชีวิตปลอดภัย

30 ส.ค. 66 - รู้ใจช่วยให้ชีวิตปลอดภัย : รู้จักเติมสุขให้ใจ มันเป็นประโยชน์ที่มีคุณค่ามาก และที่จริงก็เป็นประโยชน์แค่เสี้ยวเดียวของการ “รู้ใจ” เพราะถ้าเรารู้ใจไปเรื่อยๆ มันก็จะทำให้เราเข้าใจความจริงของใจ แล้วก็ทำให้เราสามารถจะไม่ไปยึดติดถือมั่นกับความคิดและอารมณ์ใดๆ ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ที่สำคัญมาก ซึ่งมันช่วยเสริมความรู้ที่เรียกว่าวิชาชีวิต เพราะในตัววิชาชีวิตมันไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติจากการสังเกตดูใจ มันจะไม่เห็นอย่างแจ่มแจ้งนะว่ามีประโยชน์อย่างไร และจะเอามาใช้กับชีวิตได้อย่างไร แต่ถ้าเรามีความรู้ตัว แล้วก็หมั่นรู้ใจ สังเกตใจ มันก็จะมีความรู้ชนิดที่ว่าดูแลตัวให้อยู่รอด ไม่ได้อยู่รอดแบบมีชื่อมีเสียง แต่อยู่รอดปลอดภัยจากความทุกข์ที่เกิดจากความผันผวนปรวนแปรในชีวิต ความรู้อย่างนี้แหละสำคัญ ที่มันช่วยให้เรามีชีวิตที่ผาสุก มีชีวิตที่ดีงามได้ ถ้ามีความรู้แบบนี้ มันจะไม่เกิดปัญหาว่าความรู้ท่วมหัวออกตัวไม่รอด มันจะไม่มีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เลย 
10/29/202328 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25660823am--มองเป็นก็เห็นทางออกจากทุกข์

23 ส.ค. 66 - มองเป็นก็เห็นทางออกจากทุกข์ : อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนสอนให้รู้ซื่อๆ ไม่ผลักไส ไม่ไหลตาม หรือแค่เห็นไม่เข้าไปเป็น มันก็ช่วยทำให้หาความทุกข์มันบรรเทาเบาบางลงได้ ไม่ใช่แค่ว่าความโกรธหายไป ความหงุดหงิดหายไปเมื่อมีสติ แต่แม้มันยังอยู่ แต่มันก็ทำอะไรจิตใจไม่ได้เพราะว่าแค่รู้ หรือเห็นมันเฉยๆ ไม่ผลักไส เมื่อไม่ผลักไสมัน มันก็ไม่สามารถมามีอำนาจครองใจเราได้ ฉะนั้นถ้าเราหมั่นมองตนอยู่เสมอ เราจะเห็นความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ได้ชัดเจน เราจะเห็นได้ละเอียดขึ้น เราจะไม่มองคลุมๆ การมองแบบพุทธคือการมองแบบละเอียด เห็นเป็นขั้นเป็นตอน เห็นอย่างประณีต ไม่ใช่เหมารวม ไม่ใช่มองคลุมๆ ถ้ามองคลุมๆก็จะบอกว่าที่เอามือปัดกางเกงเพราะมดกัด แต่ถ้ามองละเอียดก็จะพบว่ามันไม่ใช่ สาเหตุนั้นมันอยู่ที่ใจทั้งนั้นเลย ที่เรามาปฏิบัติก็เพื่ออันนี้   ถ้าเราปฏิบัติแล้วมองไม่เห็นว่าเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจ การปฏิบัติของเราก็แค่ผิวเผิน ปฏิบัติแค่ตามรูปแบบ หรือว่าการทำโดยไม่ได้เข้าใจอะไร แต่ถ้าเรามองเป็น เราก็จะเห็นเลยว่าเหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ใจ แล้วก็วางใจให้ดี ปฏิบัติให้ถูก มีสติ ใจก็ไม่ทุกข์
10/23/202334 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25660822pm--หายหลงก็หมดทุกข์

22 ส.ค. 66 - หายหลงก็หมดทุกข์ : อันนี้แหละคือสิ่งที่ต่อมาหลวงพ่อได้สรุปว่า เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์ เห็นว่าขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์ มันก็พ้นทุกข์แล้ว เมื่อเห็นว่ามันเป็นทุกข์ หรือเป็นตัวทุกข์ จิตก็ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ก็เรียกว่าออกจากทุกข์ได้ เรียกว่าความหลง อันได้แก่ การไม่รู้ความจริง หรืออวิชชา มันหมดไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เริ่มต้นจากการที่สร้างความรู้สึกตัวให้เกิดขึ้น เมื่อมีความรู้สึกตัว ความไม่รู้เนื้อรู้ตัวหรือความหลงขั้นพื้นฐานมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เรื่องการปฏิบัติของหลวงพ่อที่ท่านแนะนำ มันไม่ใช่เป็นการปฏิบัติเพื่อให้เราใจสบาย เกิดความสงบชั่วครั้งชั่วคราว แต่ที่จริงแล้วมันสามารถจะช่วยทำให้เราออกจากทุกข์ได้ ทีแรกออกจากทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราวเพราะว่า ปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่ต่อไปมันก็จะเป็นการปล่อยวางไม่ใช่เฉพาะอารมณ์และความคิดที่เกิดขึ้น แต่ปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ที่เรียกว่าขันธ์ 5 หรือสังขารทั้งหลาย ซึ่งนั่นแหละเป็นการออกจากทุกข์อย่างแท้จริง 
10/8/202330 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25660821pm--ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะไม่ทุกข์

21 ส.ค. 66 - ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะ "ไม่ทุกข์" : พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดอาศัยเราเป็นกัลยาณมิตร สัตว์เหล่านั้นจะพ้นจากความเกิด ความแก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจได้ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความแก่ ความป่วย ความตาย จริงๆแล้วมี แต่ไม่มีผู้แก่ ไม่มีผู้ป่วย ไม่มีผู้ตาย แล้วที่มีคือ มีความแก่ มีความป่วย มีความตาย อันนี้เรียกว่าพ้นจากความแก่ความป่วยความตาย ไม่ใช่ว่าไม่มีความแก่ความป่วยความตาย มี แต่ว่าไม่มีผู้แก่ผู้ป่วยผู้ตาย   ฉะนั้นจึงไม่มีความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจได้ ไม่ต้องรอให้ตายก่อน หรือว่าไม่ไปเกิดใหม่ ไม่ไปเกิดใหม่ก็ไม่มีความแก่ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากอีก แม้กระทั่งขณะที่ยังมีลมหายใจ แม้มีความป่วยก็ไม่มีผู้ป่วย แม้มีความแก่ก็ไม่มีผู้แก่ แม้มีความตายก็ไม่มีผู้ตาย อันนี้เรียกว่า แม้ว่าเจอทุกข์แต่ว่าไม่มีผู้ทุกข์ เพราะว่าใจไม่ได้ทุกข์ด้วย แล้วนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้จากการที่เราหันมาศึกษาเรียนรู้กายและใจ ชนิดที่ทำให้เกิดสติและปัญญาที่ทำให้เห็นสัจธรรมความจริง รวมทั้งเห็นอาการที่เกิดขึ้นกับกายและใจ ว่ามันเป็นสักแต่ว่าอาการ ไม่ใช่เราที่เป็นผู้ทุกข์ 
10/7/202327 minutes, 16 seconds
Episode Artwork

25660819pm--อยู่อย่างไรใจไม่ทุกข์

19 ส.ค. 66 - อยู่อย่างไรใจไม่ทุกข์ 
10/6/20231 hour, 9 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25660817pm--เป็นอิสระจากคุกทางใจ

17 ส.ค. 66 - เป็นอิสระจากคุกทางใจ : อันนี้เรียกว่า แม้เจอคุกทางกาย แต่ใจสามารถจะเป็นอิสระได้ในระดับหนึ่ง เราก็ไม่รู้นะว่าเราจะติดคุกแบบนี้หรือเปล่า อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นโรคล็อกอินซินโดรม แต่อาจจะติดเจ็บป่วยนอนติดเตียงอยู่ในห้อง ICU อันนี้ คือสิ่งที่สามารถจะเกิดขึ้นได้กับผู้คนทั้งหลายในยุคปัจจุบันโดยเฉพาะเวลาในวัยแก่ชรา เมื่อร่างกายกลายเป็นคุก ซึ่งหลายคนก็ทนไม่ได้ ปล่อยให้ใจจมอยู่ในคุกอีกชั้นหนึ่ง เกิดความกระสับกระส่าย ทุรนทุราย แต่ถ้าหากว่ามีธรรมะ มีสติ รู้จักกรรมฐาน ก็สามารถที่จะปลดล็อคใจให้เป็นอิสระได้ แม้ว่ากายจะต้องติดเตียง มีพันธนาการ มีสายระโยงระยาง แต่ว่าใจก็ไม่ทุกข์ทรมาน เพราะใจเป็นอิสระ อันนี้เป็นการบ้านที่เราต้องตระหนัก แล้วก็ฝึกเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าวันดีคืนดีจะเจอแบบนี้หรือเปล่า วันที่ร่างกายกลายเป็นคุก แต่ถ้าเราฝึกใจไว้ดี ใจก็เป็นอิสระได้
10/5/202328 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660816pm--อย่าให้ความคาดหวังบีบคั้นใจ

16 ส.ค. 66 - อย่าให้ความคาดหวังบีบคั้นใจ : เหมือนอย่างที่หลวงพ่อชาเคยพูดกับโยม โยมมาบอกว่าขอโทษที่เสียงดนตรีข้างนอกรบกวนการนั่งสมาธิของพระและโยมในศาลา หลวงพ่อบอกว่าโยม อย่าคิดว่าเสียงดนตรีรบกวนเรา เราต่างหากที่ไปรบกวนเสียงดนตรี หมายความว่าที่โยมรู้สึกหงุดหงิด เพราะว่าใจโยมไปทะเลาะกับเสียงดนตรี เสียงดนตรีไม่ได้ทำอะไรเรา ถ้าแค่รู้ซื่อๆ รู้แล้ววาง รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง มันก็ไม่หงุดหงิด หรือถึงจะไม่รู้ทัน เกิดอารมณ์เสร็จแล้ว แต่ก็ยังไม่สายที่จะไปรู้ทันอารมณ์ เช่นความหงุดหงิด รู้แล้วก็วาง อารมณ์พวกนี้มันแพ้การถูกรู้ถูกเห็นด้วยสติ ถ้าไปรู้ไปเห็นมันด้วยสติเมื่อไหร่ มันฝ่อเลย   ฉะนั้นถ้าเกิดพ่อค้ารู้วิธีการฝึกสติ ก็สามารถที่จะรักษาใจให้สงบได้ แม้จะมีเสียงเด็กโหวกเหวกอยู่หน้าร้าน หรือแม้จะเผลอเกิดความหงุดหงิดไปแล้ว แต่ว่าก็วางมันได้เพราะรู้ทัน มีหลายคนทำได้นะ อย่าว่าแต่เสียงโหวกเหวกเลย เสียงเลื่อยยนต์ เสียงเคาะเสียงค้อนกระทบหู แต่ใจก็ยังสงบได้ เพราะว่าเขารู้วิธีการฝึกสติ รักษาใจแม้ว่าสิ่งรอบตัวจะเต็มไปด้วยสิ่งเร้าก็ตาม   ฉะนั้นถ้าเกิดพ่อค้าแกรู้จักวิธีการฝึกสติอย่างถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาทางหลอกล่อให้เด็กเขาเลิกเล่น ด้วยความผิดหวัง ด้วยความไม่พอใจ 
10/4/202325 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25660815pm--จากสะอาด สงบ สู่สว่าง

15 ส.ค. 66 - จากสะอาด สงบ สู่สว่าง : แต่ก่อนมันก็ยึดมั่นในร่างกายนี้ ยึดมั่นแม้กระทั่งความคิดและอารมณ์ว่าเป็นของกูๆๆ ทั้งๆ ที่ไม่น่ายึด แต่นั่นเป็นเพราะความหลง ความไม่มีสติ แต่พอมีสติ มันก็จะเห็นเลยนะว่า นั่นไม่ใช่กู แล้วมันก็ไม่ใช่ของกูด้วย ก็จะทำให้คลายความคิดมั่นถือมั่น ขยายไปถึงสิ่งที่อยู่นอกตัว ไม่ใช่แค่รูปและนามที่คลายความยึดมั่น แต่ว่าสิ่งนอกตัวก็จะเห็นว่า มันไม่น่ายึด ไม่น่าถือ แต่สิ่งสำคัญก็คือตรงนี้แหละ ก็คือการคลายความยึดมั่นในตัวกู เวลาเห็นอะไรเกิดขึ้นกับกาย มันก็ไม่คิดว่าเป็นกู แต่มันเป็นเรื่องของกาย ตอนที่อาจารย์กำพลเริ่มเจริญสติอยู่บนเตียง ท่านก็ไม่ได้ทำอะไรมากนอกจากพลิกมือไป พลิกมือมา และหลวงคำเขียนก็สอนท่านทางจดหมายว่า ที่พลิกนี้คือรูป และความคิดที่เกิดขึ้นมันคือนาม สิ่งที่พลิกมันคือรูป สิ่งที่คิดมันคือนาม พอเจริญสติไปมากๆ เข้า ไม่เพียงจะรู้ทันความคิด แต่ยังเห็นไปอีกว่า เวลาพลิกไม่ใช่เราพลิกนะ มันคือรูปที่พลิก เวลาที่ความคิดเกิดขึ้นมันไม่ใช่เราคิดนะ มันคือนามที่คิด   พอพิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็เห็นเลยนะว่า ที่พิการนั้นไม่ใช่เราพิการนะ แต่มันเป็นแค่กายที่พิการ อาจารย์กำพลจึงได้เห็นความจริงที่เป็นพื้นฐานมากเลยนะ ที่พิการนั้นไม่ใช่เราพิการ หรือไม่ใช่กูพิการนะ แต่เป็นรูปที่พิการ มันไม่มีกูพิการด้วย อาจารย์กำพลบอกว่าตอนนั้นออกจากความทุกข์ได้เลยนะ ไปเผลอหลงคิดตั้งนานว่าเป็นเราที่พิการ ที่จริงไม่ใช่เราหรอก มันเป็นรูปที่พิการต่างหาก ไม่มีเราพิการ เพราะไม่มีเราตั้งแต่แรก มันมีแต่รูปกับนาม 
10/3/202328 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25660814pm--รู้จักฉุกคิด ชีวิตเปลี่ยน

14 ส.ค. 66 - รู้จักฉุกคิด ชีวิตเปลี่ยน : ถ้าเราหมั่นสังเกต เราก็จะพบว่า ที่เรามีความทุกข์ไม่ได้เกิดจากรถติด แต่เกิดจากใจของเรา ถ้าเราวางใจไม่เป็นเราก็หงุดหงิด แต่ถ้าเราวางใจถูกหรือเราไม่สนใจ รถติดใจเราก็ไม่หงุดหงิด อยู่ที่ใจเรา เราต้องรู้จักตั้งคำถาม สังเกต รู้จักเอะใจ คำว่าเอ๊ะ! มันสามารถที่จะเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจของคนเราได้ เพราะมันจะทำให้เกิดการตั้งคำถามกับความเข้าใจเดิมๆ แล้วทำให้เราเห็นว่า จริงๆ แล้ว การวางใจถ้าเราวางใจถูก หรือการที่เราเข้าใจสัจธรรมความจริง หรือการรู้จักตัวเอง ก็ช่วยทำให้เราทุกข์น้อยลง แล้วก้าวข้ามผ่านทุกข์ไปได้ ไม่จมอยู่กับอารมณ์ต่างๆ ที่ครอบงำใจ 
10/2/202327 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25660813pm--ถอนจิตจนเห็นความผิดปกติของใจ

13 ส.ค. 66 - ถอนจิตจนเห็นความผิดปกติของใจ : การถอนออกมาจากสิ่งที่คุ้นเคย ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เราเห็นถึงความไม่เข้าท่า หรือว่าความผิดปกติของสิ่งที่เราเคยเห็นว่าเป็นธรรมดา ใครที่มีความทุกข์อาจจะไม่รู้ตัว หรือว่าไม่เคยรู้ว่ามันเกิดจากอะไร ก็คิดว่าฉันทำถูกแล้ว ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อเป็นลูก หรือว่าเป็นนักธุรกิจ หรือว่าเป็นใครก็ตาม พอถอนออกมาจากสิ่งที่คุ้นเคย จากวิถีชีวิต หรือจากสิ่งแวดล้อม มันจะเห็นเลยนะ เห็นปัญหา เห็นความประหลาด เห็นความพิกล แต่ว่าถอนตัวมาจากสถานที่ที่คุ้นเคย จากชีวิตที่คุ้นเคยก็ยังไม่พอนะ มันต้องถอนใจออกมาจากอารมณ์ จากความคิดต่างๆ ที่เคยคลุกเคล้าด้วย มันจึงจะเห็นชัดเจน แล้วจะรู้ว่า เหตุแห่งทุกข์มันอยู่ที่ไหน เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น แล้วก็จะรู้ว่าจริงๆ ความปกติคือ การที่จิตรู้สึกตัว การที่จิตนี่มีสติเป็นเครื่องรักษาใจ แล้วถึงตอนนั้นมันก็จะทำให้ชีวิตกลับเข้าร่องเข้ารอย สู่ความปกติอย่างแท้จริง 
10/1/202326 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25660812pm--ทำดีอย่ารีรอ

12 ส.ค. 66 - ทำดีอย่ารีรอ : มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่เมื่อถึงวาระสุดท้าย ใกล้ตาย รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำความดี เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะเพิ่งมาได้คิด คิดมานานแล้วแต่ว่าผัดผ่อนอยู่เรื่อย ผัดผ่อนจนกระทั่งสังขารมันไม่อำนวยแล้ว แล้วนี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับคนจำนวนไม่น้อย รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ แต่ว่ารีรอผัดผ่อนอยู่เรื่อย ไม่ว่ากับบุพการีกับพ่อแม่ จนเขาด่วนจากไปเสียก่อน หรือไม่ก็กับคนอื่น จนกระทั่งตัวเองมีอันเป็นไปเสียเอง ไม่มีโอกาสได้ทำ ซึ่งจิตสุดท้ายก็มาหวนคิด เราไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ เช่น ขอขมาพ่อแม่ จะรู้สึกผิดติดค้างใจจนกระทั่งหมดลม อย่างนี้คงจะไปไม่ดีเลย   ฉะนั้น ความดีเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่เท่านั้นไม่พอ ต้องรีบทำด้วย เพราะถ้าเราเอาแต่รีรอผัดผ่อน อาจจะไม่มีโอกาสได้ทำเลยก็ได้
9/24/202329 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25660811pm--เปิดพื้นที่ให้กับสติในใจ

11 ส.ค. 66 - เปิดพื้นที่ให้กับสติในใจ : เดี๋ยวนี้นอกจากขาดเพื่อนแล้ว วัยรุ่นส่วนใหญ่ก็ว่าได้ ก็ไม่เป็นมิตรกับตัวเองด้วยซ้ำ ไม่มีเพื่อน ทั้งภายนอก แล้วก็ไม่มีใจที่เป็นมิตรกับตัวเอง เป็นเพราะว่าไปให้ความสำคัญกับเรื่องของวัตถุ สิ่งเสพมากเกินไป จนกระทั่งข้างในกลวง ว้าเหว่ แต่ถ้าเกิดว่าหันมาให้ความสำคัญกับจิตใจ จนกระทั่งสามารถเป็นมิตรกับตัวเองได้ เรียกว่ามีใจเป็นมิตร มีจิตเป็นเพื่อน ความรู้สึกเหนื่อย ความรู้สึกล้าจนกระทั่งต้องอัดอั้น ระบายออกมา หรือจนกระทั่งบางคนถึงกับรู้สึกว่า ฉันอยู่ไม่ไหวแล้วฉันตายดีกว่า ก็จะเกิดขึ้นน้อยลง และที่สำคัญคือ ถ้าเกิดว่าคนเราสามารถจะทำให้ใจของเรามีที่ว่างให้กับสติบ้าง ก็จะช่วยได้เยอะเลย “สติสเปซ” เขาตั้งใจจะชักชวนให้สำนักงานต่างๆ มีที่ว่างสำหรับการเจริญสติ หรือสำหรับ การปลูกสติในใจ แต่ที่จริงแล้ว สติสเปซที่สำคัญ มันอยู่ข้างใน ถ้าทำใจของเราให้มันว่างพอที่จะมีสติมาสถิต มันจะช่วยทำให้ใจเป็นมิตรกับเรามากขึ้น เพราะว่าสตินี้แหละ มันจะช่วยรักษาใจไม่ให้ผิดเพี้ยน ไม่ให้ถูกครอบงำด้วยกิเลส   จิตถ้าหากว่าไม่มีสติกำกับ มันก็กลายเป็นโทษ กลายเป็นศัตรู สร้างความทุกข์ให้กับเราได้ สามารถจะเอาความทุกข์มาซ้ำเติมตัวเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ถ้าใจเรามีที่ว่างให้กับสติ ใจมันก็จะกลายเป็นมิตร แล้วก็สามารถที่จะนำสิ่งดีๆ มาให้กับชีวิตของเราได้ ทำให้มีกำลังใจ มีเรี่ยวมีแรงที่จะทำสิ่งที่ดีงาม และปิดช่องไม่ให้ความทุกข์เข้ามาเล่นงานจิตใจ 
9/23/202325 minutes, 58 seconds
Episode Artwork

25660810pm--อย่ามองข้ามธรรมขั้นพื้นฐาน

10 ส.ค. 66 - อย่ามองข้ามธรรมขั้นพื้นฐาน : แต่แม้กระทั่งความรู้สึกตัว คนจำนวนมากก็มองข้าม เห็นว่าเป็นเรื่องพื้นฐาน เป็นเรื่องพื้นๆ ฉันมีอยู่แล้วความรู้สึกตัว อยากจะมุ่งเรื่องฌานไปเลย เอาให้เข้าถึงฌาน ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ฉันจะเอาให้ได้ แต่ว่าไม่สนใจความรู้สึกตัว อันนี้ก็เรียกว่าข้ามขั้น เหมือนกับการที่เราจะเรียนคณิตศาสตร์ชั้นสูงได้ มันก็ต้องรู้เรื่องเลขคณิตเบื้องต้นก่อน การที่คนเราจะมีความรู้สูงระดับด็อกเตอร์ อย่างน้อยมันต้องอ่านออกเขียนได้ แล้วก็รวมทั้งรู้เลขคณิตขั้นพื้นฐาน ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า 3Rs; Read, Write, Arithmetics คือถ้ามีพื้นฐานอย่างนี้ ก็สามารถจะมีความรู้ชั้นสูงต่อไปได้ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราจะบรรลุธรรมขั้นสูง ปรมัตถธรรมก็ดี นิพพานก็ดี หรือแม้แต่การเข้าใจเรื่องพระไตรลักษณ์ ก็ต้องไม่มองข้ามเรื่องของความรู้สึกตัว ซึ่งเป็นพื้นฐานของจริยธรรม อันจะนำไปสู่การเข้าใจเรื่องสัจธรรม   ที่จริงแม้กระทั่งการบริโภคก็สำคัญเหมือนกัน มีบางคนบอกว่านิพพานก็อยากได้ แต่ว่ายังติดหนังเกาหลีซีรีย์ เลิกไม่ได้สักที อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้ายังติดซีรีย์ละคร ติดซีรีย์โทรทัศน์ เรื่องนิพพานก็ไม่ต้องพูดถึง อันนี้ก็เป็นเรื่องของการรู้จักประมาณในการบริโภคเหมือนกันนะ ถ้าไม่รู้จักประมาณในการบริโภค ยังเสพติด ยังพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่ากามสุข ประเภทที่เรียกว่าไม่รู้จักประมาณในการบริโภค แทนที่จะเสพวันละชั่วโมง เสพทั้งคืนเลย แล้วก็ยังเสพต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้ไม่ต้องพูดถึงนิพพานแล้ว   ฉะนั้น จะเข้าถึงนิพพานได้ หรือเข้าใกล้มันได้ ก็ต้องรู้จักละ หรือให้ความสำคัญกับธรรมะพื้นฐานที่พระพุทธเจ้าตรัส รู้จักประมาณในการบริโภค 
9/22/202326 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25660809pm--คาดหวังให้น้อย ยอมรับให้มาก

PS660809pm-คาดหวังให้น้อย ยอมรับให้มาก : ถ้าเรารู้จักยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้ มันช่วยได้เยอะเลย ต่อไปเวลาเจอเหตุการณ์ที่ย่ำแย่ ที่ไม่ถูกใจหรือที่ทางพระเรียกว่าอนิฏฐารมณ์ เจอรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ เจอเหตุการณ์ในทางลบ เช่นเสื่อมลาภเสื่อมยศ ถูกนินทาว่าร้าย เราก็สามารถที่จะรักษาใจปกติได้ ไม่ซ้ำเติมตัวเอง เพราะยอมรับมันได้ เวลาเสียเงิน เสียทรัพย์ มันก็เสียแต่ทรัพย์แต่ใจไม่เสีย เพราะยอมรับมันได้ ไม่โวยวายตีโพยตีพาย ถึงเวลาเจ็บป่วย มันก็ป่วยแต่กาย แต่ใจไม่ป่วย เพราะยอมรับได้ ไม่ใช่ว่าโวยวายตีโพยตีพาย หรือคร่ำครวญว่าทำไมต้องเป็นฉัน ฉันอุตส่าห์ทำความดีมา ฉันอุตส่าห์สร้างบุญสร้างกุศลมา ทำไมต้องเป็นฉัน เราจะไม่มีอาการแบบนี้ซึ่งเป็นการทำร้ายตัวเองหรือซ้ำเติมตัวเอง เพราะเรารู้จักยอมรับมันได้ จนถึงขั้นว่าปฏิบัติแล้วมันไม่สงบ ก็ยอมรับได้ ไม่โวยวาย บางทีปฏิบัติแล้วจิตเจ็บป่วยขึ้นมา เกิดความทุกข์ ทุกข์กายไม่พอ ทุกข์ใจ บางคนยอมรับไม่ได้ว่าทำไมฉันถึงทุกข์ใจอย่างนี้ อุตส่าห์ปฏิบัติมา ผิดหวังตัวเองที่ทำไมถึงมีความทุกข์อย่างนี้ เพราะยอมรับตัวเองไม่ได้ ยอมรับความเจ็บปวดทางกายไม่พอ ยอมรับความหงุดหงิดทางใจไม่ได้ เพราะว่าฉันอุตส่าห์ปฏิบัติมา ทำไมมันถึงช่วยฉันไม่ได้   ก็กลายเป็นทุกข์ยิ่งกว่าคนธรรมดา เพราะคนธรรมดาก็เจอแค่สองเด้ง คือยอมรับความทุกข์ทางกายไม่ได้ ก็เลยเกิดความทุกข์ทางใจ แต่นักปฏิบัติบางทียอมรับความทุกข์ทางใจไม่ได้ เพราะว่าอุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งนาน ทำไมฉันก็ยังโกรธอยู่ ทำไมฉันก็ยังหงุดหงิด ทำไมฉันยังทุกข์ทรมานอยู่ ก็กลายเป็นโทษตัวเอง โทษการปฏิบัติ หนักเข้าไปใหญ่   ฉะนั้นฝึกใจให้ยอมรับมันได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อันนี้เป็นวิชาสำคัญเลยนะ แล้วก็เป็นคุณูปการที่มีค่ามากที่เราจะได้จากการปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติได้ถูกต้อง หรือวางใจได้ถูกต้อง 
9/21/202323 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25660808pm--ธรรมที่มีอุปการะต่อชีวิต

8 ส.ค. 66 - ธรรมที่มีอุปการะต่อชีวิต : เพราะฉะนั้นทำใหม่ๆ จึงควรเอาปริมาณเป็นหลัก อย่าเพิ่งเอาคุณภาพ บางคนเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องทางโลก พอมาปฏิบัติธรรม พอเริ่มทำ ก็จะเอาคุณภาพเลย คือว่ามันต้องมีสติ ต้องมีความรู้สึกตัว ใจต้องสงบเลย ดังนั้นก็จะทำผิดทำพลาดได้ พอสติรู้ทันความคิด ลักษณะเด่นของการรู้ทันคือ มันจะรู้เฉยๆ โดยไม่ตัดสิน ไม่ทำอะไรกับความคิดนั้น ไม่ผลักไส ไม่ไหลตาม การรู้ทันความคิดหรือรู้ใจ มันจะมีลักษณะเด่นคือรู้เฉยๆ ส่วนรู้กายมีลักษณะเด่นคือรู้ตัวทั่วพร้อม แต่ว่ารู้ใจ หรือรู้ความคิด รู้อารมณ์ ลักษณะเด่นของมันคือ รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องยาก เพราะว่าหลายคนพอรู้แล้ว มันไม่เฉย จะเข้าไปบี้ ไปจัดการกับความคิดและอารมณ์ ฉะนั้น ต้องยั้งเอาไว้นะ แล้วก็แค่รู้เฉยๆ ไม่ตัดสิน อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง ไม่เป็นไรๆ ต้องใจเย็น 
9/20/202323 minutes
Episode Artwork

25660807pm--ทิ้งขยะในใจให้ฉับไว

7 ส.ค. 66 - ทิ้งขยะในใจให้ฉับไว : สิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าเรารู้สึกตัวอยู่เปล่า หรือว่าใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวไหม ก็คือ มันรู้สึกไหมถึงการเคลื่อนไหวของกายเวลาสร้างจังหวะ เวลาเดินจงกรม ต่อไปมันจะรู้สึกละเอียดขึ้นๆ จนแม้กระทั่งกลืนน้ำลาย กระพริบตาก็รู้ แต่ใหม่ๆ มันยังไม่รู้หรอก อย่าว่าแต่กลืนน้ำลายเลย กระพริบตาหรือแม้กระทั่งลมหายใจก็ยังไม่รู้เลย เพราะมันละเอียด ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อเทียนท่านก็เลยให้มารู้สึกกับการสร้างจังหวะ กับการเดินจงกรมก่อน มันเป็นความรู้สึกที่หยาบ รู้สึกชัด และถ้ารู้สึกเมื่อไรก็แสดงว่าใจอยู่กับเนื้อกับตัว มันเป็นตัวบ่งชี้ และต่อไปเวลาใจมันลอย ทันทีที่มีความรู้สึกว่ามือกำลังเคลื่อนไหว เท้ากำลังเดิน ตัวขยับ ความรู้สึกนี้แหละที่มันจะไปสะกิดใจให้กลับมา ผละจากความคิด ทิ้งความคิดที่กำลังเพลิน กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ทีแรกต้องรู้สึกตัวก่อนจึงจะมารู้สึกกายเคลื่อนไหว แต่ต่อไปความรู้สึกว่ากายเคลื่อนไหว นั่นแหละที่มันจะไปชักนำให้จิตกลับมารู้สึกตัว จากเดิมที่หลง จากเดิมที่ใจลอยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็จะกลับมารู้สึกตัว ลองสังเกตได้ พอเราเดินจงกรมสร้างจังหวะไป ใจลอยคิดไปเรื่องนู้นเรื่องนี้ อยู่ดีๆ มันรู้สึกว่ามือเคลื่อนไหว มันรู้สึกว่าตัวกำลังขยับ เท้ากำลังเขยื้อน ความรู้สึกนี้แหละที่มันจะไปทำให้จิตมันได้สติ แล้วกลับมา จากเดิมที่หลง จมอยู่ในความคิด มันได้สติแล้วกลับมา อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ความรู้สึกทางกาย มันเป็นตัวช่วยให้สติหลุดจากความคิด และต่อไปก็จะเห็นความคิดได้เร็ว แล้วก็ชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นการทำการเคลื่อนไหวด้วยกาย ไม่ว่าจะโดยการสร้างจังหวะหรือการเดินจงกรม จึงมีประโยชน์ เป็นตัวช่วยในการเจริญสติ และยังทำให้สติคล่องแคล่วว่องไวจนกระทั่งมารู้ทันความคิด แล้วก็ฉลาดในการทิ้งขยะในใจได้อย่างรวดเร็ว
9/19/202327 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660806pm--รักษาใจไม่ให้จมทุกข์

6 ส.ค. 66 - รักษาใจไม่ให้จมทุกข์ : การเจริญสติ เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้เรารักษาใจห่างไกลจากความทุกข์ได้ เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น แต่ว่าใจไม่ทุกข์ก็ได้ หรือว่ามีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ สภาวะเช่นนี้เราทำได้ ก็ด้วยการฝึก ฝึกอะไร ฝึกสติ ทำความรู้สึกตัว ถ้าเรามีสติที่เข้มแข็ง มีสติที่พัฒนาแล้ว เราก็จะมีความไวเมื่ออารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าจะเกิดเพราะ ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง หรือพูดง่ายๆคือ เจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ ที่เรียกว่าอนิฏฐารมณ์  เวลาเจออนิฏฐารมณ์ ปุถุชนอย่างเราก็ต้องเกิดความโกรธ เกิดความเศร้า เกิดความเกลียด เกิดความเครียด ความวิตก แต่ถ้าเรามีสติเห็นมัน มันเข้ามาทำร้ายใจเราไม่ได้ เหมือนกับเรือที่ไม่มีรูรั่ว ไม่มีรูรั่วน้ำจะเข้ามาได้อย่างไร ถ้าน้ำเข้ามาในเรือไม่ได้แล้ว เรือก็ไม่มีวันจม เรือกับน้ำก็อยู่ ด้วยกันได้  เช่นเดียวกัน ใจของเรากับอารมณ์อกุศลก็อยู่ด้วยกันได้ ถ้ามีสติเป็นเครื่องรักษา เพราะฉะนั้น การที่เรามาเจริญสติจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่คุ้มค่ากับการทุ่มเทแล้วยังช่วยทำให้เราสามารถอยู่กับความผันผวนปรวนแปรของโลกได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์
9/18/202324 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25660805pm--ปลดทุกข์จากใจ

5 ส.ค. 66 - ปลดทุกข์จากใจ : เรามีวิธีที่จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกได้ ถ้าเราเข้าใจ หรือว่ามีตัวช่วยที่จะทำให้เราสามารถจะปล่อยมันออกไปจากใจได้ แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกความรู้สึกตัวอยู่เสมอ เราก็ไม่ต้องรอให้อารมณ์มันท่วมท้นจนยากที่จะจัดการ เรามีสติไว เพียงแค่มันมีอารมณ์เกิดขึ้นเป็นประกาย หรือยังไม่โตเท่าไหร่ เราก็จะรู้ทัน แล้วก็วางมันลงได้ง่าย ส่วนใหญ่ไม่รู้ทัน ปล่อยให้มันลุกลาม เช่น ความหงุดหงิดกลายเป็นความโกรธ เหมือนกับประกายไฟที่มันกลายเป็นเพลิงที่เผาไหม้ป่า ตอนนี้ดับยาก ฝึกเอาไว้นะ รู้ทันอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะคนทุกวันนี้ มีความเหนื่อย ความท้อ มีความเครียดสูงมากจากการทำงาน จนปล่อยให้ความรู้สึกนั้นมาทำร้ายจิตใจ บั่นทอนร่างกาย ถ้าเกิดว่าเรา หันกลับมามองใจอยู่เสมอในทุกโอกาส มันก็จะช่วยทำให้เราสามารถปลดเปลื้องความรู้สึกที่เป็นลบออกไปจากใจได้ง่ายขึ้น แล้วที่เขาทำสติสเปซก็เป็นโครงการที่น่าอนุโมทนา ใครที่สะดวกก็น่าจะหาโอกาสไปชมนิทรรศการนี้ แล้วมาลองใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเองบ้าง 
9/17/202326 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25660804pm--สิ่งดีๆที่ควรมอบให้กับชีวิต

4 ส.ค. 66 - สิ่งดีๆที่ควรมอบให้กับชีวิต : “ตัวอยู่ไหนใจอยู่นั่น” ฝึกเอาไว้ มันเป็นหลักง่ายๆ ที่มีอานิสงส์มาก ยิ่งมาอยู่วัดแล้ว ปัจจัยก็เอื้ออำนวยให้ทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เพราะว่าถ้าอยู่บ้าน อยู่ข้างนอก มันก็จะมีสิ่งดึงจิตดึงใจออกไปจากเนื้อจากตัว ทำอะไรด้วยความไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่พออยู่ที่นี่ มันก็มีปัจจัยมากมายที่เอื้อให้ใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น สิ่งที่จะดึงจิตให้มันไหลออกไปนอกตัว มันมีน้อยลง มีสิ่งแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นเตือนให้เราเจริญสติ ทำความรู้สึกตัว เพราะมีเพื่อนทำกัน ทั้งในรูปแบบ และในชีวิตประจำวัน เป็นแบบอย่างให้กับเรา ถ้าไม่ใช้โอกาสนี้เวลานี้ในการมอบสิ่งดีๆ ให้กับใจ คือ ความรู้สึกตัว หรือสติแล้วเนี่ย มันก็ไม่รู้ว่าจะหาโอกาสไหนอีกนะ แต่ถึงแม้ไม่ได้อยู่วัดก็ต้องพยายามเปิดโอกาส สร้างโอกาสให้กับชีวิตของตัวเอง อย่าคิดแต่จะใช้ชีวิตเต็มร้อย แต่ว่าไม่สามารถที่จะทำอะไรด้วยใจเต็มร้อยได้ อย่าคิดแต่จะเอาอะไรต่ออะไรมากมายจากชีวิต โดยที่ไม่คิดที่จะให้สิ่งดีๆ หรือความรู้สึกตัว สติ สมาธิ หรือกุศลธรรมให้กับจิตใจ  ต้องเตือนใจอยู่เสมอนะ ที่จะดูแลใจ หรือสร้างความรู้สึกตัวไม่ว่าทำอะไร ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็จะพยายามมีความรู้สึกตัว มีสติ กับสิ่งที่ทำ อยู่กับปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง 
9/16/202323 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25660803pm--อยู่สบายเพราะไม่หวังความสบาย

3 ส.ค. 66 - อยู่สบายเพราะไม่หวังความสบาย : ถ้ามาโดยไม่คาดหวังความสบายเลย ไม่ว่าจะเป็นความสบายจากที่นี่ หรือจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว มันก็จะสบายขึ้นมาเอง แต่เป็นเพราะความคาดหวังหรือความอยาก ตรงนี้แหละที่มันทำให้เราทุกข์ง่าย พอคาดหวังแล้ว มันก็อยากจะได้เห็นอย่างที่หวัง พอไม่ได้อย่างที่หวัง มันก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา ละความอยากเสียได้ ละความหวังเสียได้มันก็สบายขึ้นมาเอง เหมือนกับเจริญสติ ถ้าไม่หวังความสงบมันก็สงบได้ง่าย แต่พอหวังความสงบแล้วมันกลับสงบได้ยาก เพราะว่ามันจะหงุดหงิดขัดเคืองใจไปหมด มีความคิดเกิดขึ้นก็รำคาญ มีความคิดเกิดขึ้นก็หงุดหงิด ก็ไปผลักไสมัน มันก็ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น และที่ผลักไสกดข่มมันเพราะอะไร เพราะอยากจะสงบ แต่พอไม่อยากสงบแล้ว มันก็ยอมรับอะไรต่ออะไรได้ ฟุ้งก็ยอมรับได้ มีความคิดเกิดขึ้นก็ยอมรับได้ พอยอมรับได้ ใจมันก็สงบเอง   เรามาที่นี่ก็ตั้งจิตถามใจตัวเองว่าเรามาเพื่ออะไร เพื่อหวังความสบาย หวังความสงบ หรือเพื่อมาฝึก ถ้าคิดว่ามาที่นี่เพื่อฝึก ก็จะได้ประโยชน์เต็มที่จากการมา 
9/15/202327 minutes
Episode Artwork

25660802pm--อยู่ร่วมกันด้วยความหนักแน่น

2 ส.ค. 66 (เย็น) - อยู่ร่วมกันด้วยความหนักแน่น : ถ้าเกิดว่าเราปากหนัก หูหนัก แล้วก็ใจหนักแน่น ถือว่าเราได้ฝึกวิชาที่สำคัญเลยนะ แล้วมันไม่ได้เป็นประโยชน์ตนอย่างเดียว เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย ทำให้ชุมชนอยู่ด้วยกันอย่างราบรื่น ราบรื่นนี่ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีการกระทบกัน มี แต่ว่าสามารถที่จะรับมือ ไม่ได้คิดแต่จะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น แต่ว่าเปลี่ยนแปลงจากกลางใจของตัวเอง  ที่โบราณเขาว่า อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา ต้องระลึกนึกถึงไว้เสมอ เมื่อเราอยู่คนเดียว เราก็ให้มีสติรู้ทันความคิด สามารถอยู่กับตัวเองได้โดยที่ไม่ถูกความคิดรบกวนรังควาญ อยู่กับคนอื่นก็อยู่ได้ ไม่เป็นทุกข์เพราะวาจาของตนหรือวาจาของคนอื่น หรือว่าการที่เจอกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ 
9/14/202329 minutes, 10 seconds
Episode Artwork

25660802am--ตั้งใจทำดีในพรรษา

2 ส.ค. 66 (เช้า) - ตั้งใจทำดีในพรรษา : เพราะฉะนั้นการเข้าโอกาสเข้าพรรษาเป็นโอกาสที่เราจะบำเพ็ญบารมี อธิษฐานมันก็เป็นบารมีข้อหนึ่ง ถ้าเราอธิษฐานถูกต้อง บารมีหรือคุณความดีในตัวเราก็จะเพิ่มพูนขึ้น ทำให้เรามีกำลังแกร่งกล้าในการเอาชนะกิเลส และการทำความดีที่ยากขึ้นไปได้เรื่อยๆ มันคงไม่มีโอกาสใดที่จะเหมาะสำหรับการทำความเพียรเท่ากับช่วงเข้าพรรษา เพราะว่าใครๆเขาก็ทำกัน เรียกว่ามีเพื่อน ถึงแม้จะไม่ใช่พระ แต่เราก็ควรทำด้วยแม้ว่าเป็นฆราวาส และนอกจากใครๆเขาก็ทำกันทั้งประเทศ แล้วมันยังเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานต่อเนื่อง 3 เดือน ถ้าตั้งใจทำจริงจังก็จะเห็นผลได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลิกกินเหล้า งดกินกาแฟ หรือว่างดใช้โซเชียลมีเดีย หรือว่าใช้น้อยลงแค่วันละชั่วโมง หรือว่ารักษาศีล 5 ให้ครบ หรือว่างดช็อปปิ้งหรือว่าช้อปแค่เดือนละครั้ง ถ้าทำ 3 เดือนต่อเนื่อง เห็นผลแน่นอน แล้วต่อไปก็จะมีกำลังในการที่จะทำให้ได้ยิ่งขึ้นๆไป 
9/13/202321 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25660805pm--ปลดทุกข์จากใจ

5 ส.ค. 66 - ปลดทุกข์จากใจ : เรามีวิธีที่จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกได้ ถ้าเราเข้าใจ หรือว่ามีตัวช่วยที่จะทำให้เราสามารถจะปล่อยมันออกไปจากใจได้ แต่ถ้าเราฝึกสติ ฝึกความรู้สึกตัวอยู่เสมอ เราก็ไม่ต้องรอให้อารมณ์มันท่วมท้นจนยากที่จะจัดการ เรามีสติไว เพียงแค่มันมีอารมณ์เกิดขึ้นเป็นประกาย หรือยังไม่โตเท่าไหร่ เราก็จะรู้ทัน แล้วก็วางมันลงได้ง่าย ส่วนใหญ่ไม่รู้ทัน ปล่อยให้มันลุกลาม เช่น ความหงุดหงิดกลายเป็นความโกรธ เหมือนกับประกายไฟที่มันกลายเป็นเพลิงที่เผาไหม้ป่า ตอนนี้ดับยาก  ฝึกเอาไว้นะ รู้ทันอารมณ์ความรู้สึก โดยเฉพาะคนทุกวันนี้ มีความเหนื่อย ความท้อ มีความเครียดสูงมากจากการทำงาน จนปล่อยให้ความรู้สึกนั้นมาทำร้ายจิตใจ บั่นทอนร่างกาย ถ้าเกิดว่าเรา หันกลับมามองใจอยู่เสมอในทุกโอกาส มันก็จะช่วยทำให้เราสามารถปลดเปลื้องความรู้สึกที่เป็นลบออกไปจากใจได้ง่ายขึ้น แล้วที่เขาทำสติสเปซก็เป็นโครงการที่น่าอนุโมทนา ใครที่สะดวกก็น่าจะหาโอกาสไปชมนิทรรศการนี้ แล้วมาลองใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเองบ้าง
9/12/202326 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25660801pm--ทางสายกลางคือทางเดินของชีวิต

1 ส.ค. 66 - ทางสายกลางคือทางเดินของชีวิต : ชาวพุทธจำนวนมากก็เหมือนกัน รู้อริยสัจ 4 เยอะแต่ว่าเอาเข้าจริงๆ ไม่เข้าใจ หรือไม่ตระหนักว่าสมุทัยหรือเหตุผลที่แท้จริง โดยเฉพาะความทุกข์ใจมีเหตุจากอะไร แล้วก็คิดแต่จะไปแก้ไขสิ่งภายนอก แต่ว่าลืมจัดกาที่ใจของตัว เพราะฉะนั้นอริยสัจ 4 ก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ มันไม่ใช่หญ้าปากคอก แต่เป็นสิ่งที่ต้องนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง แล้วจะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องรู้จักฝึกจิตให้รู้ทุกข์ ให้เป็น ด้วยการหันมามองที่ใจของตน รู้ทันความคิด รู้ทันอารมณ์ แล้วมันก็จะเห็นเลยว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจมีรากเหง้าสาเหตุมาจากความอยาก ความยึด หรือว่าการวางจิตวางใจของเราที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ปฐมเทศนาก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญ แม้พระพุทธองค์จะตรัสสอนมา 2,600 กว่าปีแล้ว แต่ก็ยังมีความหมาย เราจะมาเวียนเทียนหรือไม่ หรือว่าจะรู้ความหมายของวันอาสาฬหบูชาหรือไม่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า เราเข้าใจอริยสัจ 4 และปฏิบัติอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะกิจในอริยสัจ 4 ทุกข์เป็นสิ่งต้องรู้ สมุทัยเป็นสิ่งที่ต้องละ นี่เรียกว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำให้เกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นได้เพราะว่าทำให้มรรคเจริญงอกงามก็คือปฏิบัตินั่นเอง   ในวันอาสาฬหบูชานี้ก็ขอให้เราได้เข้าใจสาระที่แท้ของปฐมเทศนาโดยเฉพาะอริยสัจ 4 แล้วก็ดูแลใจของตัวไม่ให้ถลำไปสู่ทางสุดโต่ง สอง ทาง ประคองใจให้อยู่บนทางสายกลางให้ถูกต้อง แล้วก็หวังว่าการมาศึกษาธรรมของเราในวันอาสาฬหบูชาจะช่วยทำให้เกิดปัญญาในใจของเรา ให้เข้าใจเรื่องกิจญาณ กิจที่พึงทำต่ออริยสัจ จนกระทั่งเกิดกตญาณ คือความรู้ว่าได้ทำสำเร็จแล้ว เพื่อให้ได้เข้าถึงความสิ้นทุกข์โดยถ้วนหน้ากัน 
9/12/202340 minutes, 52 seconds
Episode Artwork

25660729pm--ยอมรับทุกอย่าง ไม่ผลักไสสิ่งใด

29 ก.ค. 66 - ยอมรับทุกอย่าง ไม่ผลักไสสิ่งใด : การปฏิบัติต้องฝึกให้เรายอมรับทุกสิ่ง ไม่ว่าอิฏฐารมณ์หรืออนิฏฐารมณ์ แล้วถ้าคุณทำได้เรียกว่า ใจจะมีอิสระจากความทุกข์ได้ง่ายขึ้น แต่คนไม่เข้าใจว่า ปฏิบัติคือการยอมรับทุกสิ่ง แต่ถ้ายอมรับได้มันสุขมาก นี่คือเหตุที่ไรน์โฮลด์ นีเบอร์ภาวนาว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีความสงบใจที่จะยอมรับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่อาตมาคิดว่าต้องทำมากกว่านั้น แม้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้ไม่ถูกใจก็ต้องยอมรับ คนเปิดโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วส่งเสียงดังริงโทน เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราก็ไปบอกเขาให้หยุด แต่ในขณะที่เสียงยังดังอยู่ก็ยอมรับมันได้ แล้วถ้าหากว่าเราตระหนักว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เรายอมรับได้ รถติดก็ไม่หงุดหงิด ถ้าเรายอมรับได้ เราก็ไม่ทุกข์ เพื่อนผิดนัด เพื่อนมาช้ามาสาย เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว ต้องรอเพื่อนอย่างเดียว ก็รอด้วยใจสงบ   ถึงเวลาเจอความทุกข์ ความเจ็บปวด ความสูญเสีย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เขาตายไปแล้ว แต่เราก็ยอมรับได้ ใจสงบ ถึงเวลาเราจะต้องตายเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ยอมรับมันได้ ใจก็สงบ ฉะนั้นลองฝึกเอาไว้ หลักข้อแรกของแฟรงค์ สำคัญมากไม่ใช่เฉพาะกับผู้ป่วยระยะท้าย แต่กับการดำเนินชีวิต กับการทำงานทุกอย่าง 
9/11/202355 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660724pm--เป็นอยู่อย่างประเสริฐ

24 ก.ค. 66 - เป็นอยู่อย่างประเสริฐ : ถ้าเราฝึกจิต ปฏิบัติธรรมในฐานะผู้ใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษา เราจะได้ประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าดีหรือร้าย เราจะได้ประโยชน์จากทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่ากุศลหรืออกุศล ไม่ว่าอาการของใจมันจะฟูหรือแฟบ มันก็ให้ประโยชน์กับเราในการให้ความรู้เกี่ยวกับสัจธรรมของกายและใจ ให้แก่เรา  แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมชนิดที่แสวงหาความสงบบางทีมันทำให้เราตกหลุม เพราะว่าพอเราเจอสิ่งกระทบต่างๆ ที่ไม่ถูกใจ เราก็จะโวยวายตีโพยตีพาย หรือเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที แต่ไม่รู้จักหาประโยชน์จากมัน ในทางตรงข้ามถ้าเราปฏิบัติ ฝึกจิตอย่างผู้ใฝ่รู้ อย่างนักศึกษา หรือว่าเอาสติเป็นเครื่องมือในการศึกษา เราจะได้ประโยชน์มากเลย ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับกายและใจ ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเราก็ตาม  เพราะฉะนั้นเวลาเราปฏิบัติธรรม ถ้าเราปรับใจให้เป็นผู้ใฝ่รู้ หรืออย่างน้อยก็หมั่นมองตน และคิดอยู่เสมอว่า เมื่อมีทุกข์เราก็จะแก้ที่ตน ไม่คิดไปเรียกร้องให้คนอื่นแก้ไขให้มันถูกใจเรา เราก็จะได้ประโยชน์จากการปฏิบัติ จากธรรมะ 
9/3/202327 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25660723pm--เจอทุกข์จึงเปิดรับธรรม

23 ก.ค. 66 - เจอทุกข์จึงเปิดรับธรรม : คนที่ใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ หรือใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้ากลับกลายเป้นคนที่สอนยาก อันนี้เราก็เห็น ไม่ใช่มีแต่พระฉันนะเท่านั้น พระที่โกสัมพีที่เคยทะเลาะกันโดยไม่ฟังคำทัดทานของพระพุทธเจ้าเลย จนพระองค์ต้องประท้วงด้วยการเสด็จออกไปปลีกวิเวกที่วัดป่าเลไลย์นี่ก็เหมือนกัน พวกนี้ถือว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าทัดทาน ไม่ฟัง ในขณะที่ญาติโยมหรือว่าพระที่อยู่ไกลนี่ยังฟังมากกว่า ที่จริงแม้กระทั่งการใกล้ชิดธรรมะมันก็มีข้อเสียเหมือนกัน บางทีใกล้ชิดธรรมะมาก ได้ยินได้ฟังธรรมะทุกวันๆๆ กลับปรากฏว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะว่าฟังจนชิน เห็นว่าธรรมะเป็นหญ้าปากคอก หรือว่าอาจจะเกิดอาการด้านชา แต่บางคนเป็นคนห่างไกลธรรมะ ห่างไกลวัด พอได้ฟังธรรมะไม่กี่ประโยค จิตเปลี่ยนเลย พวกเราก็ต้องระวังนะ ฟังธรรมะทุกวันๆ อยู่ใกล้ชิดกับครูบาอาจารย์ แล้วก็อยู่ในวัด บางทีอยู่ไปๆ อาจจะเกิดอาการที่เรียกด้าน หรือชาขึ้นมา ไม่เกิดความตื่นตัวในการปฏิบัติ หรือถึงแม้จะไม่ได้อยู่วัด แต่ว่าฟังธรรมะทุกวันๆๆ ฟังจนบางทีท่องได้แต่ว่านิสัยเหมือนเดิม เพราะว่าฟังจนชินเลยไม่มีอะไรที่จะสะดุดใจ พอไม่มีอะไรสะดุดใจก็เลยขาดการตื่นตัว ยิ่งไปเข้าใจว่าตัวเองรู้ธรรมะแล้ว ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ พอรู้ธรรมะเพราะฟังเยอะอ่านเยอะ ก็เลยเกิดความประมาท  เพราะฉะนั้น การที่ใกล้ชิดกับธรรมะ หรือใกล้ชิดครูบาอาจารย์มันก็ไม่ใช่ว่าดีเสมอไป มันก็ทำให้เกิดความประมาทขึ้นมาได้
9/2/202327 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25660722pm--โจทย์สำคัญของชีวิต

22 ก.ค. 66 - โจทย์สำคัญของชีวิต : คนเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพระโสดาบันถึงจะยอมรับได้ด้วยใจสงบ คนที่ฝึกมา เข้าใจความจริงของชีวิตก็จะยอมรับได้ง่าย ทั้งยอมรับด้วยหัวหรือเหตุผล แล้วก็ยอมรับด้วยใจ เพราะมีปัญญาเห็นความจริงของชีวิต ของโลก เป็นเช่นนั้นเอง แต่ถ้ายังไม่มีปัญญา อย่างน้อยก็ยังมีช่องทางให้เรายอมรับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ก็คือการมีสติ โดยเฉพาะสัมมาสติที่ทำให้เราเห็น ไม่เข้าไปเป็น  เมื่อมีความสูญเสีย มีความเศร้าโศกเกิดขึ้น ก็เห็น ไม่เข้าไปเป็น เมื่อมีความคับแค้นเกิดขึ้น โกรธ ก็เห็นไม่เข้าไปเป็น แล้วก็รู้ที่จะทำใจ วางใจเป็นกลาง อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่ารู้ซื่อๆ รู้ซื่อๆ นี่เป็นวิชาที่สำคัญมากสำหรับปุถุชน เพราะมันทำให้เราสามารถยอมรับสิ่งต่างๆ ได้ด้วยใจสงบ ทีแรกก็ยอมรับความคิดและอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยใจที่เป็นกลาง เพราะว่าไม่ผลักไส ไม่กดข่มมัน พอยอมรับอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นในใจได้ ต่อไปมันก็จะยอมรับเหตุการณ์ หรือสิ่งที่มากระทบใจได้ จริงๆ แล้วการยอมรับด้วยใจสงบ มันไม่ควรจะใช้กับเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้กระทั่งสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่ามันไม่ถูกใจเรา เราก็ควรจะฝึกให้ยอมรับได้ ของบางอย่าง ปัญหาบางอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ แต่ตราบใดที่มันยังไม่เปลี่ยนแปลง เราก็ยังสามารถที่จะรักษาใจให้สงบได้ อย่างเช่นเสียงดังจากเพื่อนบ้าน ที่จริงก็เปลี่ยนแปลงได้ ไปบอกให้เขาหยุดส่งเสียง หรือเสียงหมาเห่า เราก็เปลี่ยนแปลงได้ ลงไปแล้วก็ไปสั่งให้มันหยุดเห่า ถ้ามันเชื่อง แต่ระหว่างที่มันยังไม่หยุดเห่า ระหว่างที่ยังมีเสียงจากเพื่อนบ้าน ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกใจ เราก็สามารถฝึกใจให้ยอมรับด้วยใจสงบได้ 
9/1/202326 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25660721pm--อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก

21 ก.ค. 66 - อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก : แล้วถ้าเรายอมรับความคิดที่เกิดขึ้นไม่ได้ ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ การที่จะยอมรับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบทางตาทางหู มันก็เป็นเรื่องยาก ก็จะรู้สึกว่าอะไรมันขวางหูขวางตาไปหมด อะไรมันก็ขัดหูขัดใจไปหมด เสียงดังบ้าง คนพูดคุยกันบ้าง หรือว่าอากาศร้อนบ้าง หงุดหงิดกันใหญ่ เพราะว่าไม่สามารถจะทำใจให้ยอมรับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าภายนอกหรือภายใน อาจจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสิ่งกระทบจากภายนอกยังไม่ได้ แต่อย่างน้อยถ้าฝึกให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน เช่นความคิดและอารมณ์ เช่นความหงุดหงิด ความรำคาญ แล้วก็แค่รู้เฉยๆ แค่ดูมันเฉยๆ รู้เฉยๆ นี่เป็นสิ่งที่จะเรียกว่ายากสำหรับนักปฏิบัติ การปฏิบัติถ้าจะว่ายากก็ตรงนี้แหละ ก็คือรู้เฉยๆ เพราะว่าเวลารู้แล้วมันไม่ยอมเฉย มันจะเข้าไปจัดการ เพราะมันเป็นนิสัยความเคยชินเดิมๆ ที่จะต้องเข้าไปจัดการกับความคิดและอารมณ์ต่างๆ   แต่ถ้าเราฝึกที่จะยอมรับมันได้ มันจะเกิดขึ้นก็แค่รู้มัน แล้วจากรู้ก็จะพัฒนา รู้ทันก็เป็นการรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ปฏิบัติมาบางทีหลายปีแต่ว่าทำตรงนี้ไม่ได้คือรู้เฉยๆ เพราะว่ามันคิดแต่จะไปจัดการกับความคิด จัดการกับอารมณ์ เพราะว่ายอมไม่ได้ สุดท้ายความคิดและอารมณ์มันไม่ได้ทำร้ายเรา การที่ยอมไม่ได้ การที่ไปมีปฏิกิริยากดข่มมันต่างหาก ที่มันสร้างทุกข์ให้กับจิตใจของเรา แล้วถ้าเราลองปรับความเข้าใจเสียใหม่ ว่าการปฏิบัติจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่มันยากเพราะเราวางใจไม่ถูกต่างหาก 
8/31/202325 minutes, 52 seconds
Episode Artwork

25660720pm--อย่าให้ความถูกใจบดบังความถูกต้อง

20 ก.ค. 66 - อย่าให้ความถูกใจบดบังความถูกต้อง : หลายคนบอกว่าโกหกเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอด แต่การนินทานี่มันไม่ได้เป็นเรื่องความเป็นจำเป็นเพื่อความอยู่รอดทางอาชีพเลย แต่มันทำแล้วเมามัน เม้าท์มอยนี่มัน ทั้งที่อาจจะไม่เป็นธรรมกับคนที่ถูกกล่าวถึง ถูกนินทา ในแง่นี้ถ้าเราเลือกเอาความถูกต้องมากกว่าความถูกใจ เราก็จะเบรก ยับยั้งใจตัวเองเอาไว้ว่าเราไม่ควรทำ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าคนเราไม่ใส่ใจตรงนี้  เวลานินทาใคร เราจะมีความสุขมาก เพราะมันถูกใจเวลาเราได้นินทาคนที่เราไม่ชอบ นินทาคนที่เราโกรธ เราเกลียด แต่ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ ฉะนั้นถ้ารู้จักทักทวงใจตรงนี้บ้าง มีสติเอาไว้ ไม่ยินดีกับการไปนินทาใคร เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันก็จะค่อยๆ เสริมสร้างสำนึกเรื่องความถูกต้องเอาไว้ในใจเรา พอถึงเวลาเราไปรับรู้ข้อมูลจากข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับคนที่เราไม่ชอบ ไม่ถูกใจ แล้วเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาถูกกลั่นแกล้ง เราก็จะไม่ยินดีในความเดือดร้อนในความฉิบหายของเขา แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะถูกใจเรา แต่เราไม่ยินดีเพราะมันไม่ถูกต้อง  แล้วสิ่งนี้มันจะช่วยทำให้คุณธรรมในใจเรางอกงามมั่นคง แล้วก็ส่งเสริมเมตตาธรรมในใจเราด้วย แล้วถ้าเกิดว่าเรายินดีหรือสะใจในความฉิบหาย ความเดือดร้อนของคนที่เราไม่ชอบ โดยเฉพาะเขาเจอกับความไม่ถูกต้อง มันก็จะบั่นทอนความเป็นมนุษย์ของเรา เมตตากรุณาก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็จะมีจิตใจที่ไร้คุณธรรมหรือหยาบก็ได้ ซึ่งนั่นก็คงเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ  ฉะนั้นก็อย่าให้ความถูกใจมาบดบังความถูกต้อง ชัยชนะแม้จะเป็นสิ่งที่น่ายินดี ก็อย่าให้มันมาบดบังความถูกต้อง ความยุติธรรมเอาไว้ 
8/30/202330 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660719pm--ทุกข์ใจเพราะไม่ยอมรับความจริง

19 ก.ค. 66 - ทุกข์ใจเพราะไม่ยอมรับความจริง : การที่เรายอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หรือตระหนักว่าเหตุแห่งทุกข์ไม่ได้อยู่ที่สิ่งภายนอกหรือสิ่งใด แต่มันอยู่ที่ใจเราที่ไม่ยอมรับ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ ก็เท่ากับเราเข้าใจธรรมะได้มากขึ้น แต่ไม่ว่าเราจะปฏิบัติแค่ไหน แต่ตราบใดที่เรายังไม่สามารถทำใจยอมรับสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็ยังเรียกว่าเรายังห่างธรรมะอยู่ หรือตราบใดที่เรายังคิดว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นจากสิ่งภายนอก ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่เรารู้สึกลบกับมัน หรือว่าไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเรามองไม่เห็นตรงนี้ก็เรียกว่ายังห่างไกลธรรมะ ถึงแม้เราจะรู้ธรรมะเยอะ ฉะนั้นการฝึกใจให้ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น มันเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติธรรม ที่จะพาเราเข้าถึงแก่นของธรรมได้ เพราะถ้ายอมรับเท่าไหร่ มันก็จะยึดมั่นถือมั่นได้น้อยลง แล้วมันก็จะปล่อยวางได้มากขึ้นเท่านั้น 
8/29/202327 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25660718pm--อย่าเติมเชื้อให้ความทุกข์

18 ก.ค. 66 - อย่าเติมเชื้อให้ความทุกข์ : การอยู่กับตัวเองให้เป็น อยู่กับทุกขเวทนาโดยไม่ปวด สำคัญมาก ถ้าเรามีเวลาต้องรีบทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ เพราะถ้าเกิดว่าเราต้องป่วย ยังไม่ถึงขั้นต้องนอนติดเตียงนะ ถ้าเราไม่เตรียมใจไว้เลยไม่ฝึกใจไว้เลยมันทรมาน เพราะใจยอมรับไม่ได้ ความป่วยกายไม่ได้ทำร้ายเราเท่ากับใจที่ยอมรับความป่วยไม่ได้ บางคนหมอบอกว่าเป็นมะเร็ง ตกใจมาก พอกลับไปบ้านอยู่ได้ 12 วันก็ตาย มีคุณป้าอายุ 70 ปีเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลไม่รู้กี่ครั้ง ไม่รู้เป็นอะไร แล้วมีวันหนึ่ง หมอบอกว่า ป้าเป็นมะเร็งตับอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน แกกลับไปบ้านอยู่ได้ 12 วัน ที่อยู่ได้แค่ 12 วันนี้แปลว่ามะเร็งมันลามไปถึงสมอง ไปถึงอวัยวะสำคัญหรือเปล่า เปล่า แกตายเพราะใจยอมรับไม่ได้  พูดอีกอย่างก็คือว่ามะเร็งไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวมะเร็ง ความตายไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย แต่ที่กลัวมะเร็ง กลัวตายหรือกลัวแก่เพราะมันไม่ได้ฝึกใจ อย่าว่าแต่จะกลัวมะเร็ง กลัวความตาย แค่กลัวเข็มฉีดยานี้ก็แย่แล้ว มีคนทำวิจัยบอกว่า คนที่กลัวเข็มฉีดยาพอโดนเข็มจิ้ม มันเจ็บเป็น 3 เท่าของคนที่ไม่กลัว แปลว่าความกลัวมันเป็นตัวขยาย ตัวทวีคูณความความปวด เรียกว่าทุกข์คูณ 3 . ขอจบตรงนี้ 
8/28/202328 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25660716pm--ฝึกใจด้วยสิ่งที่ไม่ถูกใจ

16 ก.ค. 66 - ฝึกใจด้วยสิ่งที่ไม่ถูกใจ : ความไม่สะดวกสบายสามารถเป็นตัวกวน กวนจิตกวนใจให้เกิดอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้นมา อาจจะรวมถึงความกลัวด้วย กลัวเพราะว่า อยู่ในที่เปลี่ยว อันนี้มันก็เป็นแบบฝึกหัดให้เราได้เจริญสติ คือรู้ทันมัน อาจจะไม่ใช่แค่ความสะดวกสบาย อาจจะเป็นคำติฉินนินทา คำวิจารณ์ เวลาได้ยินคำเหล่านี้ ก็จะเกิดความไม่พอใจ แต่ถ้าเราฉลาด เราก็จะเอาความไม่พอใจมาเป็นแบบฝึกหัดในการเจริญสติคือรู้ทัน หัดมาดูใจ เห็นความไม่พอใจเกิดขึ้นเมื่อมีเสียงต่อว่ามากระทบหู ตัวกวนนี้คือเสียงวิจารณ์ เสียงต่อว่า ซึ่งมีประโยชน์ต่อการฝึกจิตของเรา  บางทีบางคนพูดไม่ถูกหู หรือว่าเขาพูดไม่ถูกใจเรา เพราะเขามีความคิดความเห็นต่างจากเรา เราได้ยินก็ขุ่นมัว ถ้าเราไว เราก็จะเห็นความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในใจ แล้วเดี๋ยวนี้เคนก็ติดโซเชียลมีเดียเฟซบุ๊กนี้มีข้อความบางข้อความที่เราอ่านแล้วไม่พอใจ เพราะมีความคิดทางการเมืองต่างจากเรา หลายคนก็ใช้วิธีบล็อกเลย เพราะว่าทนไม่ได้ที่เห็นข้อความที่มันไม่ถูกใจเรา  แต่ถ้ามองให้ดี การที่มีข้อความแบบนี้แหละที่สามารถจะเอามาใช้ฝึกใจเราได้ ไม่ต้องบล็อกก็อ่านซะเลยแล้วก็เห็นความไม่พอใจ เห็นความไม่พอใจแล้ว นอกจากรู้ทันความไม่พอใจและพิจารณาต่อไปก็จะเห็น เห็นรากเหง้าของมันนะ คือกิเลสตัวใหญ่ๆ นั่นคือความยึดติดถือมั่นในความคิด ยึดว่าความคิดของเราถูก พอมีใครมาพูดจากระทบความคิดนี้ หรือมีความคิดต่างจากเราก็เกิดความไม่พอใจ เราจะเห็นเลยนะว่า ตัวกิเลสคือทิฏฐุปาทาน ซึ่งเราก็ต้องมองให้ทัน หรือว่ารู้ให้ชัด เพราะไม่งั้นมันก็จะมาสร้างความทุกข์ให้กับเรา 
8/27/202329 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660715pm--เพราะคาดหวังจึงเป็นทุกข์

15 ก.ค. 66 - เพราะคาดหวังจึงเป็นทุกข์ : การภาวนาเพื่อจะดับระงับ เช่นความคิดฟุ้งซ่าน มันไม่ดีเท่ากับการภาวนาเพื่อที่จะยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ด้วยการรู้ซื่อๆ รู้โดยไม่ผลักไสไม่ไหลตาม ไม่ใช่เพราะคาดหวังให้มันหายไป แต่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน และดูมัน เห็นมันไม่เข้าไปเป็นมัน เรียกว่าการรู้ซื่อๆ อันนี้ใช้สติในการที่จะอยู่กับมัน หรือมิฉะนั้นก็ใช้ปัญญา คือเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเองๆ เห็นว่าเป็นธรรมดา  ฉะนั้นถ้าจะภาวนา ภาวนาเพื่อเห็นไม่เข้าไปเป็น จะดีกว่า ภาวนาเพื่อที่จะยอมรับหรืออยู่กับมันด้วยการรู้ซื่อๆ ดีกว่าคาดหวังว่าทำแล้วมันจะไม่ฟุ้งซ่าน มันจะไม่มีทุกขเวทนา เพราะถ้าทำอย่างนั้น วางใจแบบนั้น มันจะเกิดความคาดหวัง แล้วความคาดหวังนี่แหละที่มันจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา  แต่ถ้าเราเรียนรู้ที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ โดยไม่คาดหวังว่ามันจะต้องหายไป มันอยู่ ก็อยู่ เราก็เรียนรู้ดูมันไป เห็นมันเป็นธรรมดา แบบนี้ยากนะ ไม่ใช่ง่าย แต่ว่ามันจะเป็นหลักประกันว่าการภาวนานี่มันจะไม่ก่อผลในทางลบ เพราะว่าถ้าภาวนาผิด มันก็สร้างทุกข์ให้กับเราได้มาก เหมือนกับหญ้าคาถ้าจับไว้ไม่ดีมันก็บาดมือ การภาวนาถ้าทำไม่เป็นหรือวางใจผิด มันก็สร้างทุกข์ให้กับเรามากขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่นักภาวนาจะต้องระมัดระวังมากแล้วก็ใส่ใจ 
8/22/202327 minutes, 31 seconds
Episode Artwork

25660707pm--ปล่อยวางได้ ใจเป็นสุข

7 ก.ค. 66 - ปล่อยวางได้ ใจเป็นสุข 
8/21/202342 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25660706pm--อย่าให้ความคิดลบครอบงำใจ

6 ก.ค. 66 - อย่าให้ความคิดลบครอบงำใจ : นิสัยจำนวนไม่น้อยมีอำนาจครองใจเราได้ จนเราไม่สามารถจะกระดิกกระเดี้ยไปได้เลย เพราะว่าเราคอยให้อาหารมัน คล้อยตามมันตลอดเวลา แต่ถ้าเรารู้จักแข็งขืนมันบ้าง มันชอบเป็นห่วงคนนั้นคนนี้ก็ลองไว้วางใจเขาบ้าง ไม่ต้องไปโทรศัพท์ไถ่ถามเขาทุกวันทุกคืน ฝึกไว้วางใจเขา ต่อไปนิสัยขี้เป็นห่วงก็จะลดลง บางคนมีนิสัยชอบโกรธ ก็ต้องฝึกมีเมตตากับเขาบ้าง แผ่เมตตาให้เขาบ่อยๆ หรือมองเขาในทางบวกบ้าง เพราะไม่งั้นความโกรธนี้มันจะครองใจเราจนอาจจะถึงวันตายเลย โกรธกราดเกรี้ยวกับทุกอย่างทุกสิ่ง แม้กระทั่งในยามที่ตัวเองย่ำแย่ โกรธใครไม่ได้ก็โกรธตัวเอง โกรธชะตากรรม หาเรื่องโกรธ หาเหยื่อที่โกรธไปเรื่อยๆ ต้องรู้จักเปลี่ยนนิสัย ดัดนิสัย ให้มามีความเมตตาเผื่อแผ่มีน้ำใจบ้าง
8/20/202325 minutes, 12 seconds
Episode Artwork

25660705pm--ชีวิตสมบูรณ์แบบ

5 ก.ค. 66 - ชีวิตสมบูรณ์แบบ : ถ้ามองให้ดี ชีวิตสมบูรณ์แบบที่ท่านอาจารย์พุทธทาสแยกเป็น 4 ระยะ จริงๆ มันไม่ใช่ 4 ระยะเท่านั้น มันเป็นกิจกรรม 4 ประเภทที่คนเราควรจะมี เป็นกิจกรรม 4 ประเภทที่คนเราควรจะทำ เพียงแต่ว่าอาจจะเน้นหนักแตกต่างกันในแต่ละวัย แต่ก็ไม่ควรจะทำแต่งานใดงานหนึ่งแล้วก็ทิ้งงานอื่น เพราะว่าแต่ละงานก็สำคัญ ถ้าทำให้ครบถ้วน ก็จะได้เข้าถึงชีวิตที่ดีงามคือสงบเย็นและเป็นประโยชน์ ถึงพร้อมทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ที่จริงสงบเย็นและเป็นประโยชน์ เป็นหัวใจของชีวิตที่ดีงามในพุทธศาสนาเลยทีเดียว มันสะท้อนให้เห็นจากพุทธคุณ พุทธคุณจะมี 2 อย่างที่สำคัญคือ ปัญญาและกรุณา ปัญญาคือการเข้าถึงความจริงอย่างลึกซึ้ง ถ้าเข้าถึงอย่างแจ่มแจ้ง ก็จะพบว่ามันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ แล้วเมื่อจิตปล่อยวางสิ่งทั้งปวง สิ่งที่เกิดขึ้นคือความสงบ สงบชนิดที่ว่าพ้นจากกิเลสเลยทีเดียว อันนั้นคือนิพพาน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุขอื่นเหนือความสงบไม่มี แล้วความสงบที่ว่าคือนิพพานนั่นเอง  เพราะฉะนั้นปัญญาทำให้เข้าถึงความสงบเย็น พอความสงบเย็นเกิดขึ้นเพราะไม่มีกิเลส ก็หมายถึงความเห็นแก่ตัวไม่หลงเหลือ ไม่มีความยึดถือในตัวตน ก็เกิดกรุณา กรุณาเป็นแรงผลักดันให้บำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น เพราะฉะนั้นถ้าเราพิจารณาดูดีๆ ปัญญาคุณและกรุณาคุณของพระพุทธเจ้า มันก็คือสงบเย็นและเป็นประโยชน์นั่นเอง เพราะฉะนั้นชีวิตที่ดีงามในทัศนะชาวพุทธ มันก็ต้องพยายามเข้าถึงความสงบเย็นด้วยปัญญาแล้วบำเพ็ญประโยชน์ด้วยกรุณาอย่างเต็มที่ แล้วถ้าหากว่าสามารถจะดำเนินชีวิตหรือกิจกรรม 4 ประเภทอย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสใช้คำว่า ชีวิตศึกษา ชีวิตครองเรือน ชีวิตสงบพักผ่อน ชีวิตแจกธรรมะ ถ้าทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ก็เข้าถึงทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน เข้าถึงความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น  อันนี้ก็เป็นแนวคิดที่เข้าใจง่าย ไม่ได้ยากอะไรเลย ความคิดของท่านอาจารย์พุทธทาส คำสอนบางอย่างก็ลึกซึ้งเข้าใจยาก แต่คำสอนบางอย่างก็เข้าใจง่ายแต่ว่าปฏิบัติได้ แล้วก็เข้าถึงแก่นแท้ของพุทธธรรมได้ด้วย
8/19/202324 minutes, 39 seconds
Episode Artwork

25660704pm--เวลาใดเหมาะกับการปฎิบัติธรรม

4 ก.ค. 66 - เวลาใดเหมาะกับการปฎิบัติธรรม : ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ตราบใดที่ยังทำกิจต่างๆ นั่นแหละคือเวลาสำหรับการปฏิบัติ เวลาสำหรับการเจริญสติ เวลาสำหรับการทำความรู้สึกตัว ทำอะไรก็รู้ว่าทำ เมื่อทำด้วยกายก็รู้สึกหรือเห็นกายเคลื่อนไหว เมื่อเจออะไร มีการกระทบเกิดขึ้น ก็เห็นความคิดนึกที่มันเกิดขึ้นหรือมันปรุงแต่งขึ้นมา แล้วควรถือว่าสิ่งที่มากระทบมันคือแบบฝึกหัดอย่างดี มันไม่ใช่เป็นโอกาสของการเอาธรรมะมาใช้เท่านั้น แต่มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการฝึกให้มีธรรมะ ฝึกให้มีสติ หรือฝึกจิต  มันจะไม่มีการบ่น ไม่มีการโวยวายตีโพยตีพายว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทำไมเขาทำกับเราแบบนี้ มันจะไม่มีการบ่นแบบนี้ แต่ว่าจะมีการพร้อม พร้อมที่จะเอาธรรมะมาใช้โดยเฉพาะสติ มารู้ทันความคิด มารู้ทันอารมณ์ ยิ่งมีการกระทบเท่าไหร่ จะไม่มัวแต่ส่งจิตออกนอก หรือว่าปล่อยให้ความโกรธแค้น ความโศกเศร้ามันครอบงำใจ แต่กลับมาดูอารมณ์เหล่านั้นที่มันเกิดขึ้น ไม่ปล่อยให้มันครองใจ  เพราะฉะนั้นถ้าเราตระหนักว่าทุกเวลาที่เหมาะกับการปฏิบัติธรรมคือทุกวัน ทุกนาที เราก็จะไม่มีวินาทีหรือเวลาที่สูญเปล่า แต่ละนาทีจะมีค่า เป็นทั้งช่วงเวลาของการฝึกสติ ฝึกจิต เพื่อให้เกิดความพร้อมในการรับมือกับความทุกข์ และความผันผวนปรวนแปรที่จะเกิดขึ้น ถึงเวลาก็จะไม่มัวแต่จมอยู่ในอารมณ์โศกเศร้า โกรธ โมโห แต่จะเกิดความรู้สึกตัว และเอาธรรมะ เอาสติ เอาปัญญามาใช้อย่างทันท่วงทีและถึงพร้อม 
8/18/202325 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25660703pm--ทุกข์หลุดเพราะวาง

3 ก.ค. 66 - ทุกข์หลุดเพราะวาง : การเจริญสตินี่เราสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าทำอะไรก็เจริญสติได้ แล้วเวลาเราเจออะไรมากระทบมีอารมณ์เกิดขึ้น มันก็ฝึกสติให้รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระทบนั้น ตลอดทั้งวัน เราเจอสิ่งกระทบเยอะแยะ มีอารมณ์เกิดขึ้นมากมาย บางทียินดียินร้าย บางทีใจฟูใจแฟบ พวกนี้เป็นแบบฝึกหัดการเจริญสติได้ทั้งนั้น ทำอะไรใจก็รู้ รู้กาย เจออะไรก็รู้ว่ามีอารมณ์เกิดขึ้น ใจฟูใจแฟบ ใจแกว่งไปแกว่งมาก็รู้ แค่นั้นเอง การรู้อย่างนี้ทำมากเข้า มากเข้า จะทำให้เกิดพลังในการปล่อยการวาง วางอะไร วางความคิดที่ทำให้ทุกข์ วางอารมณ์ที่ทำให้ทุกข์ ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย จะปล่อยได้ไม่ใช่เกิดจากความอยากจะปล่อย มันต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือนั่นคือสติ ความรู้สึกตัวเป็นเบื้องต้น ทำได้ชีวิตประจำวัน  แต่อย่าใจร้อน ต้องให้เวลากับมันเหมือนกับที่เราให้เวลากับอะไรต่ออะไรมากมาย รวมทั้งเวลาในการดูหนังฟังเพลง เวลาในการเที่ยว เราให้เวลากับสิ่งพวกนี้ไม่อั้น แต่เวลาที่จะช่วยทำให้เราหลุดจากทุกข์จริงๆ กลับไม่ยอมให้เวลากับมันเท่าที่ควร เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เลยต้องจมอยู่กับความทุกข์เรื่อยไป จนกว่าความทุกข์มันจะสอนว่า มีแต่ฝึกจิตเท่านั้นแหละที่จะทำให้ใจหลุดจากทุกข์ได้ 
8/17/202322 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25660702pm--สวดมนต์ให้ได้ธรรม

2 ก.ค. 66 - สวดมนต์ให้ได้ธรรม : จะเห็นได้ว่า การสวด สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความหมาย แล้วก็วางใจให้ถูก อย่าทำตามรูปแบบ คนเดี๋ยวนี้ เวลาปฏิบัติไปเน้นที่รูปแบบมากกว่าตัวเนื้อหาสาระ และไม่ใช่เฉพาะเรื่องการสวดมนต์นะ แม้แต่เรื่องการปฏิบัติธรรม คนจำนวนมากก็ไปเน้นที่รูปแบบ เช่นเวลาพูดถึงการนั่งสมาธิหรือการฝึกสติ ก็นึกถึงการหลับตาตามลมหายใจ การนั่งนิ่งๆ ก็คิดได้เพียงเท่านี้  หรือถ้ามาพูดถึงการเจริญสติ หลายคนก็นึกถึงการสร้างจังหวะ เดินจงกรม แล้วเวลาจะเจริญสติก็นึกถึงแต่เรื่องการยกมือสร้างจังหวะ ทั้งๆ ที่การยกมือสร้างจังหวะนี้มันก็เป็นแค่รูปแบบ ถ้าจับเนื้อหาสาระได้หรือวางใจถูก ไม่ต้องยกมือก็ได้ คลึงนิ้ว พลิกมือไปพลิกมือมา หรือแม้กระทั่งเวลาทำกิจต่างๆ ที่มีการใช้มือ มีการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ ถูฟัน กินข้าว ซักผ้า ทำครัว หั่นผัก ก็เป็นการปฏิบัติได้  หลายๆ คนไม่เข้าใจ เวลาจะเจริญสติ เอะอะอะไรก็จะยกมืออย่างเดียว ซึ่งบางทีทำให้เกิดความเข้าใจผิด เช่นอยู่บนรถเมล์ก็ยกมือสร้างจังหวะ เพราะคิดว่าคือการเจริญสติ ความตั้งใจก็ดีนะ คืออยากจะเจริญสติในขณะที่อยู่บนรถเมล์ ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าหรือปล่อยใจให้ลอย แต่ไม่เข้าใจว่ามันไม่ต้องยกมือก็ได้ แค่ขยับนิ้ว คลึงนิ้ว ก็สามารถจะเป็นอุบายในการเจริญสติได้ หรือตามลมหายใจแบบรู้สึกตัวเบาๆ  พอเราไม่เข้าใจจุดมุ่งหมาย ก็เลยกลายเป็นการปฏิบัติแบบสีลัพพตปรามาส คือว่าการยึดติดในรูปแบบ พิธีกรรมหรือกรรมวิธี ซึ่งรวมไปถึงศีลด้วยนะ โดยที่ไม่เข้าใจความหมาย เช่นเวลาจะสมาทานศีล ก็มีความเข้าใจจะต้องมีพระมาให้ศีล จะต้องมีการประกอบพิธีกรรมในวัด ถึงจะเรียกว่าเป็นการสมาทานศีลได้  ถ้าไม่มีพระให้ศีลหรืออยู่ที่บ้าน ทำไม่ได้ ยิ่งไม่ใช่เลย อย่างเรื่องการอุทิศบุญกุศลให้กับผู้ล่วงลับ หลายคนเข้าใจว่าต้องมีการกรวดน้ำ ต้องมีที่หยาดน้ำ ต้องมีพระมาสวด และต้องมีสวดบท ยะถา สัพพี ฯลฯ สวดบทอื่นไม่ได้ หรือถ้าไม่มีพระสวด ก็อุทิศบุญกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไม่ได้ อันนี้ไม่เข้าใจ เรียกว่าเป็นเพราะติดในรูปแบบ ไม่เข้าใจความหมาย เป็นสีลัพพัตปรามาสแบบหยาบๆ ซึ่งตรงข้ามกับการปฏิบัติให้ถูกต้อง การปฏิบัติอย่างถูกต้องตามหลักการหรือตามวัตถุประสงค์ ท่านเรียกว่า ธัมมานุธัมมปฏิบัติ คือการปฏิบัติอย่างถูกธรรม บางทีก็แปลว่า ธรรมน้อยคล้อยธรรมใหญ่ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือปฏิบัติให้ถูกหลัก ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจการปฏิบัติ โดยเฉพาะเรื่องการฝึกสติ เราก็จะรู้ว่าการสวดมนต์ไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็น แต่มันช่วย ดังนั้นเวลาจะให้ลูกหลานมาสนใจธรรมะ ไม่ใช่ว่าจะต้องให้เขามาสวดมนต์หรือนั่งหลับตาทำสมาธิ ให้เขาฝึกสติจากการดำเนินชีวิตประจำวันก็ได้ ถ้าหากวางจิตวางใจเป็น ทำอะไรก็เป็นการเจริญสติ ปฏิบัติธรรมอย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ก็ต้องเข้าใจให้ถูกด้วย 
8/16/202327 minutes
Episode Artwork

25660701pm--ขับเคลื่อนชีวิตด้วยพลังบวก

1 ก.ค. 66 - ขับเคลื่อนชีวิตด้วยพลังบวก : ใช้ความรักความเมตตาเป็นแรงผลัก ก็นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ดีงามโดยที่สูญเสียเลือดเนื้อน้อย อย่างเนลสัน แมนเดลา ก็ใช้ความรักความเมตตาที่ทำให้แอฟริกาใต้มีการรังเกียจเหยียดผิวน้อยลง มีการเคารพศักดิ์ศรีของคนสีผิวได้มากขึ้น รวมทั้งมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ซึ่งใช้ความรักในการทำให้การเหยียดผิวลดน้อยลง ถ้าเราใช้ความรักความเมตตา หรือว่าความห่วงใยต่อเพื่อนมนุษย์เป็นแรงผลัก ก็จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ได้มาก  นอกจากนั้นสติก็สำคัญ สติก็เป็นแรงผลักได้ เวลาเราเกียจคร้าน ไม่อยากจะทำอะไร สติก็สามารถจะขับเคลื่อนให้เราเกิดความขยันขันแข็งขึ้นมา มันเป็นแรงผลักที่ดีกว่าความโกรธ หลายคนพอมีความโกรธเป็นแรงผลัก บางทีห้ามใจตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เพราะว่าความโกรธครองใจ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดและการกระทำที่นำไปสู่ความรุนแรง ถ้าเราใช้ความโกรธเป็นแรงผลัก ถึงจุดหนึ่งเราก็ไม่สามารถคุมตัวเองได้  แต่ถ้าเราใช้สติเป็นแรงผลัก อันนี้เป็นสิ่งที่ปลอดภัยกว่า และยังสามารถจะทัดทานไม่ให้ความโกรธมาครองใจเราได้ คนเราเวลาโกรธแล้ว มันอยากจะทำอะไรหลายอย่างที่เป็นผลร้ายกับตัวเอง แต่พอได้สติขึ้นมามันหยุดเลย สติเป็นทั้งแรงผลักที่ไว้ใจได้ และเป็นแรงเบรกที่ช่วยทำให้แรงผลักที่เป็นลบที่เป็นโทษ ไม่สามารถจะครอบงำจิตใจเราได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราพยายามสร้างกุศลธรรมมาเป็นแรงผลักในการทำสิ่งดีๆ จะเกิดผลที่ดีงามและปลอดภัยกว่า และจะช่วยทำให้เราสามารถจะเปิดรับสิ่งที่เป็นแรงดึงดูดให้เราทำสิ่งที่ดีงามได้
8/15/202326 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25660627pm--เป็นสุขในยามแก่ชรา

27 มิ.ย. 66 - เป็นสุขในยามแก่ชรา 
8/14/202352 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25660626pm--ฟังให้ได้ธรรม

26 มิ.ย. 66 - ฟังให้ได้ธรรม : เวลามีคำพูดอะไรที่กระทบใจให้เกิดความไม่พอใจ หรือเกิดความสงสัย พอมันเกิดความสงสัย ใจมันก็จะวนอยู่ตรงนั้นแหละ มันไม่ไปไหน หรือบางทีคำพูดบางอย่าง คำพูดบางประโยค มันทำให้ไปนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมา ใจเราก็จะไปวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์เหล่านั้น จนกระทั่งไม่รู้ว่า ผู้พูดพูดไปถึงไหนแล้ว ตรงนี้เราก็ฝึกให้มีสติรู้ทัน รู้ทันใจที่มันกำลังวนเวียนอยู่กับข้อความที่เป็นอดีตไปแล้ว ให้หลุดจากอดีตกลับมาอยู่กับปัจจุบัน เพราะบางทีมันมีความสงสัย จริงหรือเปล่า ไม่ใช่มั้ง เสร็จแล้วก็คิดวนเวียนอยู่ตรงนี้ ทั้งที่ผู้พูดพูดไปไกลแล้ว อันนี้เรียกว่าไม่มีสติเหมือนกัน มันไปจมอยู่กับความสงสัย เราก็ต้องรู้ว่า ตอนนี้ใจมันมีภาวะอะไร มันกำลังจมอยู่กับบางข้อความ เราต้องหลุดออกจากความสงสัย หรือความไม่พอใจนั้น เพื่อที่จะตามคำพูด หรือเนื้อความของผู้พูดไปได้อย่างต่อเนื่อง นี่ก็เป็นการปฏิบัติเหมือนกัน   รวมไปถึงแม้กระทั่งมีเสียงแทรก เสียงโทรศัพท์มือถือดัง เสียงหมาเห่า เสียงคนคุยอยู่ข้างล่าง บางคนจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเลย คนที่หงุดหงิดอาจจะเป็นทั้งผู้พูดและผู้ฟังด้วย ส่วนผู้ฟังเวลาหงุดหงิดขึ้นมาก็ให้รู้ว่ามันหงุดหงิดแล้ว ใจมันไปจดจ่ออยู่ที่เสียงนั้นแล้ว ให้รู้จักปล่อยวางเสียงนั้น กลับมาอยู่กับเสียงที่กำลังฟังจากการบรรยาย นี่ก็ปฏิบัติ   เพราะฉะนั้นเราควรจะรู้จักทำให้การฟังธรรมกับการปฏิบัติ เป็นเรื่องเดียวกัน หรืออย่างน้อยก็ให้การฟังธรรมเป็นส่วนส่งเสริมการปฏิบัติ ไม่ใช่ฟังธรรมแล้วก็ฟังเฉยๆ การปฏิบัติไม่เกิดขึ้น อันนี้ก็เรียกว่าเสียโอกาส ถึงแม้มันจะดีกว่าไปเที่ยว ไปฟังเพลง ไปดูหนังดูละคร แต่ว่าเราสามารถจะได้ประโยชน์จากการฟังธรรมมากกว่านี้ 
8/13/202324 minutes, 39 seconds
Episode Artwork

25660625pm--รู้ทันความคิดที่ไม่ได้รับเชิญ

25 มิ.ย. 66 - รู้ทันความคิดที่ไม่ได้รับเชิญ : ความคิดถ้าเกิดขึ้นแล้วเรารู้ทัน มันทำอะไรเราไม่ได้ แถมเราได้ประโยชน์จากมันด้วย ทำให้เรารู้ว่า เรายังมีความคิดแบบนี้อยู่ เรายังมีมุมมองแบบนี้อยู่ ก็ทำให้เราระมัดระวัง เพราะแม้เราจะปฏิบัติตนดีอย่างไร บางทีมันมีความคิดที่ไม่ดีเกิดขึ้น ความอิจฉา ความคิดร้ายต่อเพื่อน บางทีมันมีความคิดตำหนิพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลายคนไม่รู้ เพราะไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้เท่าทัน ทั้งที่มันมี แต่ไม่รู้ ไม่เห็น แต่ถ้าเกิดเมื่อไหร่ก็ตามที่มันเกิดขึ้นแล้วเราเห็น อย่างน้อยเราก็รู้ว่ามันมีความคิดแบบนี้ เราก็จะได้รู้ว่า เราก็ไม่ได้เป็นคนวิเศษวิโส เราก็ยังเป็นปุถุชน แต่ขณะเดียวกันเราก็พยายามรักษาใจเรา ไม่ให้ความคิดเหล่านี้ครอบงำ ก็เรียกว่าได้ประโยชน์จากความคิดเหล่านี้ ที่จะทำให้เราหันมาพัฒนาตนให้มากขึ้น ด้วยความไม่ประมาท ด้วยความรู้เท่าทันกิเลสในใจ 
8/12/202326 minutes, 26 seconds
Episode Artwork

25660624pm--อย่ายึดมั่นความถูกต้องจนไร้เมตตา

24 มิ.ย. 66 - อย่ายึดมั่นความถูกต้องจนไร้เมตตา : ความยึดมั่นในความถูกต้อง มันสามารถนำไปสู่การมีความรู้สึกที่สวนทางกับธรรมะได้ คือขาดเมตตา และเดี๋ยวนี้เราก็เห็นบ่อย ที่จริงมันก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ถ้าใครที่ผิดอะไรสักอย่าง เช่น มีเชื้อชาติที่ผิด มีศาสนาที่ผิด มีความเห็นที่ผิดในสายตาของเรา ก็พร้อมที่จะทำร้ายเขาได้ อย่างเช่นพวกนาซี พวกเยอรมันเห็นว่าพวกยิวเป็นพวกที่มีเชื้อชาติที่ผิด มีชาติพันธุ์หรือว่าเชื้อชาติผิด ก็สมควรกำจัดออกไปจากโลกนี้ คนที่เคร่งศาสนามากๆ ถ้าเห็นใครที่นับถือศาสนาผิดนิกายในสายตาของตัวก็ฆ่าได้ แม้ว่าจะเป็นศาสนาเดียวกันอย่างเช่น ชีอะห์กับสุหนี่ฆ่ากันแบบเข้มข้นมากเลยเพราะว่าอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าพวกแกนับถือผิดศาสนา ผิดนิกาย พอผิดแล้วมีสิทธิ์เป็นศูนย์ สิทธิ์แม้กระทั่งการมีชีวิตในโลกนี้ หรือว่ามีความคิดผิดระบอบก็ต้องกำจัด   อันนี้รวมถึงอุดมการณ์ทางการเมืองด้วย เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเรามีความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองมาก แล้วพอไปยึดมั่นความถูกต้องของความคิดตัวเอง ใครที่คิดผิดจากของตัวก็เห็นเป็นคนเลวร้าย ต้องกำจัด มันไม่มีความเมตตาเหลือ แล้วคนที่คิดแบบนี้ก็เป็นคนชาวพุทธไม่น้อย ทั้งๆที่พุทธศาสนาไม่ได้เน้นแต่เรื่องความถูกต้องอย่างเดียว เน้นเรื่องความเมตตาด้วย เมตตาเป็นธรรมะข้อสำคัญ เป็นคุณธรรมสำคัญของชาวพุทธเลย 
8/11/202328 minutes, 1 second
Episode Artwork

25660623pm--ความเข้าใจผิดของนักปฎิบัติ

23 มิ.ย. 66 - ความเข้าใจผิดของนักปฎิบัติ : ก็เลยเกิดความเครียดหนักจนถึงกระทั่งจิตสลาย เสียศูนย์ หรือซึมเศร้าไปเลย เป็นกันเยอะนะ ยิ่งนักปฏิบัติด้วยแล้ว หลายคนการจะอนุญาตหรือยอมให้ความคิดมันเกิดขึ้นได้ อารมณ์เกิดขึ้นได้ นี่ไม่ยอมนะ อาจจะเรียกว่าติดดีก็ได้ หรือว่าไปเกิดความเข้าใจผิดๆ ว่าปฏิบัตินี่มันต้องดับความคิด ก็ต้องตั้งหลักเสียใหม่ ทำใจให้ถูก ยอมให้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความคิดใด บวกหรือลบ อารมณ์ดีหรืออารมณ์ที่ไม่ดี กุศลหรืออกุศล แล้วพอมันเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมัน ก็แค่ดูมันเฉยๆ วิธีนี้แหละจะทำให้สติค่อยๆ โตไว แล้วความรู้สึกตัวก็ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น   เพราะฉะนั้นการปฏิบัติ ให้ทำความเข้าใจให้ดี ว่าเราไม่ปฏิบัติเพื่อดับความคิด แต่เพื่อให้รู้ทันความคิด ความคิดมันเป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่เลวร้ายไปหมด อยู่ที่ว่าเราจะเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร ใช้มันให้ถูกมันก็เกิดประโยชน์ และสำหรับการปฏิบัติเพื่อเจริญสติ เป็นวัตถุดิบที่จำเป็นมากเลย
8/10/202325 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25660622pm--รักษาใจอย่าให้สติแตก

22 มิ.ย. 66 - รักษาใจอย่าให้สติแตก : ถ้าเราครองสติได้ดี เจอเหตุร้าย สติไม่แตก ตั้งสติครองตนได้ สิ่งที่เรียนมาสิ่งที่รู้มามันก็เอานำมาใช้ รับมือกับสิ่งต่างๆ รับมือกับปัญหาได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า รวมทั้งเวทนาด้วย ต้องฝึกสติเพื่อที่จะรับมือกับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดว่ารับมือกับอารมณ์ได้ เวลาเจอทุกขเวทนา มันก็ยังพอไหวอยู่ แต่ถ้าไม่มีสติเท่าทันอารมณ์ พอเจอทุกขเวทนาเข้า มันก็เกิดความคับแค้น เกิดความหงุดหงิด เกิดความไม่พอใจ เกิดความกลัวท่วมท้นเลย ซึ่งมันไม่เคยเกิดขึ้นในเวลาที่เราไม่ป่วย   ฝึกสติเอาไว้ในขณะที่เรามีเวลา ในขณะที่เรายังมีสุขภาพดี แม้บางครั้งจะมีความเกียจคร้าน หรือมาคิดว่าฉันเอาอยู่ ทำไมต้องมาฝึกให้มันมากกว่านี้ ไอ้ที่คิดว่าเอาอยู่เป็นเพราะว่ายังไม่เจอของจริง เป็นเพราะว่ายังเป็นคนเดิมอยู่ ถึงเวลามันกลายเป็นอีกคนไปแล้ว ถึงตอนนั้นถ้าไม่มีสติเอาไว้รับมือ คนใหม่ก็จะกลายเป็นคนที่หมดความสามารถ แต่ถ้ามีสติ เราก็ยังอาจจะเป็นคนเดิมได้ที่รู้ว่าจะรับมือเหตุร้ายอย่างไร   เพราะฉะนั้นอย่าประมาท มีเวลาก็ฝึกเจริญสติ แม้ว่ามันจะมีความเบื่อก็อย่าท้อถอย เพราะว่าถ้าเราฝึกสติ มันคุ้มแน่นอน ไม่มีคำว่าสูญเปล่า ถ้าเราไม่สามารถเอาชนะความเบื่อความง่วงได้ ถึงเวลาเราจะชนะความคับแค้น ความโกรธ ความเศร้า ความเจ็บป่วยได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเราต้องฝึกเอาไว้นะ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท 
8/9/202325 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25660621pm--สร้างนิสัยใหม่ให้ใจ

21 มิ.ย. 66 - สร้างนิสัยใหม่ให้ใจ : นิสัยตื่นรู้ นิสัยที่รู้ทันความคิดได้ไว รู้ทันอารมณ์ได้เร็ว ถ้าเราฝึกสติจนเป็นนิสัย ทำความรู้สึกตัวจนเป็นนิสัย ไม่ว่าทำอะไร ตื่นเช้าขึ้นมาเราก็ทำความรู้สึกตัว แม้ว่ามันจะหลงเป็นส่วนใหญ่ แต่พอทำไปเรื่อยๆทำไปเรื่อยๆ ความรู้สึกตัวก็จะเพิ่มขึ้นๆๆ จนเป็นใหญ่เหนือความหลง โดยเฉพาะหลงคิดหรือหลงเข้าไปในอารมณ์ ถ้าเรามีนิสัยใหม่แบบนี้ มันจะช่วยทัดทานไม่ให้นิสัยในทางลบทางร้ายหรือนิสัยที่ถูกครอบงำด้วยอวิชชาหรือกิเลสมันเข้ามาบงการจิตใจเราได้ ไม่เช่นนั้นพอเราแก่ตัวลงไป สติเราเริ่มอ่อน นิสัยพวกนี้มันจะครอบงำใจเรา มันจะเป็นสะพานอารมณ์ต่างๆเข้ามา มาบงการชีวิตจิตใจของเรา จนเราไม่ต่างจากซอมบี้เลย ทำอะไรโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สะสมข้าวของโดยไม่รู้ตัวอยู่นั่นแหละ โวยวายตีโพยตีพาย หรือว่ามองลบมองร้าย หรือว่าบางคนเป็นเจ้าคิดเจ้าแค้น ถอนใจออกจากอารมณ์เหล่านี้ไม่ได้ แต่จริงๆไม่ต้องรอให้แก่ บางคนแค่วัยกลางคนหรืออายุไม่มากก็ถูกนิสัยพวกนี้ฝังรากลึก นิสัยพวกนี้บางทีเขาเรียกว่าสันดาน ซึ่งมันมีแต่ทำความทุกข์ให้จิตใจของเรา หรือบางทีก็ทำให้ชีวิตของเราย่ำแย่ด้วย ตัวเองย่ำแย่ไม่พอครอบครัวคนรักก็ย่ำแย่ อย่างคนที่ติดยาติดการพนันหรือคนที่คิดลบคิดร้ายก็สร้างความปั่นป่วนให้กับคนในครอบครัวมากทีเดียว เพราะฉะนั้นเราต้องขยันสร้างนิสัยใหม่ขึ้นมา นิสัยตื่นรู้ นิสัยที่รู้ทันความคิดและอารมณ์ เผลอคิดไปก็รู้ทัน ถอนกลับมา หรือว่าจะเป็นนิสัยที่กลับมารู้สึกตัวบ่อยๆก็ได้ จะห้ามไม่ให้หลงมันยาก แต่หลงแล้วกลับมา กลับมารู้สึกตัวบ่อยๆ กลับมารู้สึกตัวไวๆ สร้างนิสัยนี้ขึ้นมาแล้ว ชีวิตเราก็จะปลอดภัยได้มากขึ้น 
8/8/202326 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25660620pm--ทุกข์ห่างไกล ถ้าวางใจเป็น

20 มิ.ย. 66 - ทุกข์ห่างไกล ถ้าวางใจเป็น : ถ้าเราสามารถเห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง หรือว่าเริ่มต้นจากการที่เห็นสิ่งต่างๆแบบซื่อๆตรงๆ ไม่เข้าไปผลักไส หรือไขว่คว้าซึ่งเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ต่อไปมันก็ไม่ใช่แค่เห็นกายว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ใช่แค่เห็นลมที่เข้าออก ไม่ใช่เห็นแค่มือที่พลิกไปมา ต่อไปมันจะเห็นเวทนาที่เกิดขึ้นกับกายด้วย เห็นเวทนาโดยที่ไม่ไปยึด ไปเกาะ หรือผลักไสเวทนา  มันก็คือ เห็นความปวดไม่เป็นผู้ปวดซึ่งยากมาก แต่เห็นความโกรธไม่เป็นผู้โกรธ  เห็นความเครียดไม่เป็นผู้เครียด ยังง่ายกว่าเห็นความปวดแต่ไม่เป็นผู้ปวด แต่ถ้าเราฝึกเอาไว้ มันก็จะช่วยได้  แต่แน่นอนการเปลี่ยนการรับรู้มันก็ช่วยได้ สำหรับคนที่กำลังเจ็บปวดเพราะน้ำร้อนลวก บางคนพอคิดถึงหิมะคิดถึงน้ำเย็น มันก็ช่วยลดความปวดได้ ปวดแสบปวดร้อน แต่ถ้าเราจะทำได้ดีกว่านั้น เห็นมัน เห็นความปวด มันก็จะหลุดจากความปวดนั้นได้ กายยังปวดอยู่แต่ใจไม่ปวด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ช่วยจิตช่วยกายได้มากทีเดียว 
8/7/202328 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25660619pm--เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นรู้

19 มิ.ย. 66 - เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นรู้ : การรู้จักเปลี่ยนสิ่งกระทบ ไม่ว่าเกิดขึ้นที่กายหรือที่ใจ ให้เป็นตัวรู้นี่สำคัญมาก แล้วเราทุกคนก็ต้องหมั่นเป็นนักศึกษา เอาสติเป็นนักศึกษา เอากายและใจเป็นตำรา และต่อไปไม่ใช่กายและใจอย่างเดียว โลกภายนอกด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พวกนี้ก็เป็นตำราได้  มันสอนให้เห็นว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนเลย กายกับใจก็ไม่แน่นอน เหตุการณ์ภายนอกก็ไม่แน่นอน มีขึ้นมีลง มีได้มีเสีย เป็นความรู้ เป็นของดีทั้งนั้นเลย มันจะไม่มีคำว่าถูก มีแต่ว่าได้กำไร ไม่มีคำว่าขาดทุน เพราะว่ารู้จักเปลี่ยน ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับกายและใจ ตลอดจนรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เปลี่ยนให้เป็นรู้ให้หมด มันก็จะกลายเป็นของดี มีประโยชน์ 
8/6/202324 minutes, 26 seconds
Episode Artwork

25660618pm--จะปล่อยวางหรือปล่อยใจ

18 มิ.ย. 66 - จะปล่อยวางหรือปล่อยใจ : บางคนไม่ต้องรอจนแก่เพราะโดนอารมณ์ครอบงำ เช่นความซึมเศร้า พอปล่อยใจไปตามความซึมความเศร้าอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งมันมีอำนาจมีกำลัง ถึงตอนนั้นแม้จะรู้ว่าปล่อยวางมันดี แต่ปล่อยไม่ได้ คนที่ชอบสะสมทรัพย์ เก็บข้าวเก็บของ บางทีก็รู้ว่ามันน่าจะปล่อย แต่ปล่อยไม่ได้ คนที่เจ้าอารมณ์ รู้นะว่าโกรธไม่ดี เพราะว่ามันร้อนรุ่มใจเหลือเกิน แต่ว่ามันปล่อยไม่ได้ อันนี้เพราะอะไร เพราะไม่รู้จักปล่อยวาง แต่ว่าเอาแต่ใจไปตามอารมณ์ แล้วคนเดี๋ยวนี้ก็ไม่คิด ไม่นึกเลยที่จะเรียนรู้การปล่อยการวางเพราะว่าปล่อยใจไปตามอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นเวลาถูกยั่วยุหรือว่ามีสิ่งเย้ายวน  อันนี้คือสิ่งที่เราต้องตระหนัก ถ้าเราไม่ฝึกปล่อยวางอยู่เรื่อยๆ ปล่อยวางความคิด ปล่อยวางอารมณ์ด้วยการมีสติรู้ทัน ด้วยการมีความรู้สึกตัว ฝึกทักษะในการรู้ซื่อๆ มันก็จะลงเอยด้วยการปล่อยใจไปตามอารมณ์ แล้วสุดท้ายอารมณ์ก็เข้ามาครอบงำ จนกระทั่งมันกลายเป็นนายเหนือเรา แล้วก็ไม่เป็นผู้เป็นคนต่อไป  โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาที่แก่ตัว หรือเวลาที่สติอ่อน เพราะว่าความเจ็บความป่วยหรือเวลามีความสูญเสียเกิดขึ้น มีอะไรมากระทบเกิดขึ้น สติอ่อนเมื่อไหร่ อารมณ์พวกนี้ก็เข้ามาครองใจ ยิ่งถ้าไม่คิดจะฝึกสติเลย มันก็ไม่มีแรงต้านทาน เหล่านี้คือสิ่งที่เราเห็นจากผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำ การกำกับของอารมณ์ต่างๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาเจอทุกข์ ก็ถอนใจจากความทุกข์นั้นไม่ได้ 
8/5/202327 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25660613pm--จะเลือกสุขหรือเลือกทุกข์

13 มิ.ย. 66 - จะเลือกสุขหรือเลือกทุกข์ 
8/4/202351 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25660610pm--ยามสุขคือเวลาเหมาะสำหรับการฝึกตน

10 มิ.ย. 66 - ยามสุขคือเวลาเหมาะสำหรับการฝึกตน : เวลาเจออะไรที่ไม่ถูกใจ ก็ถือว่าเป็นบทเรียนในการฝึกตน เช่น เจอรถติด แทนที่จะบ่นโวยวาย ก็เอามาเป็นแบบฝึกหัดในการฝึกจิตไม่ให้ตก ทำอย่างไรรถติด จิตไม่ตก เวลาเพื่อนเขานินทา หรือว่าวิจารณ์เรา ทำยังไงใจถึงจะไม่ทุกข์ นัดเพื่อนมาแล้วเพื่อนไม่มาตามนัด ทำยังไงใจจะไม่วิตกกังวล ไม่ร้อนรุ่ม มันไม่ใช่ฝึกเฉพาะมาปฏิบัติธรรมในวัด ในคอร์สต่างๆ เท่านั้น ถึงแม้เพียงนั้นหลายคนก็ไม่ได้เห็นความสำคัญ หรือแม้จะเห็นความสำคัญ เท่านั้นยังไม่พอนะ มันต้องฝึกจากชีวิตประจำวัน ฝึกจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แม้จะเป็นความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ แต่เราก็รู้จักรักษาใจ ไม่ให้จิตใจกราดเกรี้ยว โกรธ โมโห หงุดหงิด คนส่วนใหญ่ไม่เห็นอย่างนั้น กลับไปมองว่า ในเมื่อชีวิตฉันยังสุขสบาย ยังหนุ่มยังสาว มีเงินมีทอง ก็ปรนเปรอตนด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก หรือสิ่งเสพมากมาย เห็นคนอื่นเขาปฏิบัติธรรมก็กลับบอกว่าจะปฏิบัติทำไม ฉันยังไม่ทุกข์อะไรเลย อันนี้เป็นนิสัยของคนประมาท ที่จริงแล้วยิ่งสุขสบายเท่าไร ตอนนี้ยิ่งเป็นโอกาสดี โอกาสเหมาะสำหรับการฝึกตน เพื่อให้พร้อมสำหรับความทุกข์ที่จะต้องเกิดขึ้นในวันข้างหน้า 
8/3/202327 minutes, 1 second
Episode Artwork

25660609pm--เป็นอิสระได้เมื่อวางใจเป็นกลาง

9 มิ.ย. 66 - เป็นอิสระได้เมื่อวางใจเป็นกลาง : ถ้าเราไม่มีอุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบ สิ่งที่กระทบมันจะกลายเป็นสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นทันทีเลย ที่กระตุ้นให้ทุกข์ ให้โกรธ ให้รำคาญ ให้หงุดหงิด ให้โวยวายตีโพยตีพาย หรือลงไม้ลงมือ แต่ถ้าเรามีอุเบกขา ด้วยอำนาจของสติ สิ่งที่กระทบมันจะไม่ใช่สิ่งเร้าแล้ว มันจะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็นเฉยๆ แค่นั้นแหละ ถูกรู้ถูกเห็น แต่ว่าไม่สามารถที่จะทำให้เราทุกข์ หรือว่าบังคับให้เราทำโน่นทำนี่ ตีโพยตีพาย หรือผลักไสให้เราไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร  เราสามารถจะเป็นอิสระจากสิ่งที่มากระทบได้ ถ้าเรารู้จักวางใจเป็นกลางต่อสิ่งต่างๆ เริ่มตั้งแต่ความคิดและอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เริ่มที่ตรงนี้คืออารมณ์ภายใน หรืออายตนะที่ชื่อว่าธรรมารมณ์ ต่อไปรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่มากระทบ เราก็วางใจเป็นกลางกับมันได้ แล้วก็เป็นอิสระจากมันได้ในที่สุด 
8/2/202326 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25660608pm--พ่อแม่ทุกข์เพราะไม่เข้าใจลูก

8 มิ.ย. 66 - พ่อแม่ทุกข์เพราะไม่เข้าใจลูก : อันนี้ก็เป็นปัญหาที่คนที่เป็นพ่อเป็นแม่ต้องเข้าใจ ว่าอาจเป็นเพราะเราไปยึดติดถือมั่นกับความคาดหวังของตัวเองเกินไปไหม หรือว่าเชื่อมั่นในความถูกต้องของตัวเองหรือเปล่า ความยึดติดถือมั่นแม้จะยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ดี ก็ก่อให้เกิดโทษได้ อย่างที่หลวงพ่อเฟื่องท่านบอก ความเห็นของเราแม้จะถูก แต่ถ้ายึดเข้าไว้มันก็ผิด ความเห็นพ่อแม่อาจจะถูก แต่พอยึดมั่นถือมั่นมากก็อาจจะผิด เพราะมันนำไปสู่การกระทำที่สร้างปัญหาให้กับลูก สร้างกับปัญหาให้กับวัยรุ่น เรื่องนี้น่าเสียดายที่พ่อแม่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ก็ยังไปโทษเด็ก คิดแต่จะไปแก้ไขเด็ก ไม่ค่อยได้หันกลับมาดูตัวเองว่าเป็นเพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นกับความคิดของตัวเองเกินไปไหม รวมทั้งไปยึดติดกับภาพอดีตของลูก ว่าลูกจะต้องน่ารักแบบโน้นแบบนี้ ไม่ใช่เกกมะเหรกเกรเรเหมือนกับทุกวันนี้ ซึ่งมันก็เป็นการตีความของเราเอง เพราะว่าสิ่งที่ดีของพ่อแม่ อาจจะไม่ดีในสายตาของลูกก็ได้ หรือสิ่งที่ไม่ดีในสายตาของแม่พ่อ อาจจะเป็นสิ่งที่ดีในสายตาของลูกก็ได้ บางคนคิดว่าลูกไม่เป็นคนดีเลย ซึ่งอาจจะไม่ดีแบบของเรา แต่อาจจะดีแบบของเขาก็ได้ เรื่องนี้มันเป็นช่องว่างที่ยากจะเชื่อมให้มันเข้ากันได้ ถ้าเกิดว่าไม่มีการฟังกัน เรียนรู้ หรือเข้าใจกันให้มากขึ้น 
8/1/202325 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660607pm--เปลี่ยนสิ่งเร้าให้เป็นสิ่งถูกรู้

7 มิ.ย. 66 - เปลี่ยนสิ่งเร้าให้เป็นสิ่งถูกรู้ : ถ้าเราปล่อยให้สิ่งกระทบกลายเป็นสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้น เราแย่นะ เราก็ถูกมันบงการ ไม่ว่าจะกระตุ้นให้อยากมี อยากได้ หรือกระตุ้นให้เกลียด อยากผลักไส อยากทำลาย คนเราเป็นทุกข์ก็เพราะการที่ปล่อยให้สิ่งต่างๆ มันเป็นสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้น จนมันมีอำนาจเหนือเรา เราต้องรู้จักเปลี่ยนสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็น แล้วมันจะทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของสิ่งภายนอกหรือสิ่งกระทบอีกต่อไป แถมได้ประโยชน์ด้วย อะไรเกิดขึ้นกับกายและใจ ก็ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น ถ้ามันกลายเป็นสิ่งถูกรู้ถูกเห็นไป เพราะมันสามารถจะแสดงสัจธรรมให้เราเห็นได้ และสัจธรรมเหล่านี้ก็ทำให้ใจเราสามารถจะเป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอิสระจากความทุกข์ได้ ฉะนั้น ฝึกเอาไว้ ฝึกรับรู้สิ่งต่างๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง หรือถึงแม้ว่าจะเผลอปรุง เผลอแต่ง เผลอตัดสินให้ค่ามัน ก็รู้ มีอคติเกิดขึ้นไม่ว่าฉันทาคติ หรือโทสะคติ ก็รู้ทัน มีความโกรธเกิดขึ้น ก็รู้ทัน ถึงแม้ว่าจะห้ามใจไม่ให้ปรุงเป็นความโกรธ ปุถุชนก็ต้องมีความโกรธเกิดขึ้น แต่ว่ามันจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่มาบงการใจเราอีกต่อไป  ถ้ามันกลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็น มันก็จะหมดพิษสงลง แล้วก็จะกลายเป็นประโยชน์กับเรา 
7/31/202325 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25660605pm--ดีที่รู้ว่าหลง

5 มิ.ย. 66 - ดีที่รู้ว่าหลง : ฉะนั้นคนที่รู้สึกว่าฟุ้งเยอะ ที่จริงมันดีนะ ดีประการแรกคือดีที่รู้ว่าฟุ้ง แล้วการที่จะรู้ว่าฟุ้งได้ แสดงว่าจิตมันกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว หรือหลุดจากความฟุ้ง ถ้ามันไม่หลุดจากความฟุ้ง มันไม่รู้ตัวหรอกว่าฟุ้ง ถ้ามันไม่หลุดจากความหลง มันไม่รู้หรอกว่าเมื่อกี้นี้หลง แล้วการที่หลุดจากความหลง กลับมารู้ตัว ก็ถือว่าดี นี่ดีอย่างที่สองนะ  ดีอย่างแรกคือดีที่รู้ว่าหลง ดีที่สองคือดีที่กลับมา กลับมาเร็วกลับมาไว ดีที่สามคือว่า ยอมรับความหลง  ยอมรับความฟุ้ง อันนี้ยากหน่อย เพราะว่านักปฏิบัติ พอมันหลง พอมันฟุ้ง จะทนไม่ค่อยได้ จะไม่ชอบ จะพยายามบังคับจิตไม่ให้หลง บังคับจิตไม่ให้ฟุ้ง คือพยายามห้ามความคิด หรือพอมันเผลอ พอมันเกิดหลงขึ้นมา ก็พยายามไปกดข่มอารมณ์ที่ทำให้หลง ความคิดที่ทำให้หลงก็ไปกดข่มมันเอาไว้ หรือมิฉะนั้นก็เกิดอาการหงุดหงิด ไม่พอใจ ซึ่งก็เป็นตัวหลงอีกตัวหนึ่ง  ถ้าเราสามารถที่จะทำใจยอมรับความหลงได้ ยอมรับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ยอมรับคือไม่บ่น ไม่โวยวาย  รับรู้มันด้วยใจที่เป็นกลาง อันนี้ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่ทำยาก เพราะว่านักปฏิบัติจะมีความคาดหวังว่ามันต้องไม่ฟุ้ง มันต้องไม่หลง แล้วก็พยายามบังคับจิตไม่ให้หลงไม่ให้ฟุ้ง แต่ว่ายิ่งทำก็ยิ่งแย่ ยิ่งทำก็ยิ่งเครียด เพราะใจมันไม่ยอมอยู่ในอำนาจของเรา ต้องยอมที่ใจมันจะเผลอ ยอมที่ใจมันจะหลง เพราะมันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ  หน้าที่ของเราคือว่าได้ดูมัน เห็นมันด้วยใจที่เป็นกลาง อันนี้แหละคือความหมายหนึ่งของคำว่า รู้ซื่อๆ รู้ซื่อๆ ก็คือว่า รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง แต่นักปฏิบัติจะไม่ค่อยยอมให้ความหลงมันเกิดขึ้น จึงพยายามไปดักจ้องไม่ให้เผลอ หรือบังคับจิตไม่ให้คิด แต่ถ้าเราฝึกยอมรับความหลง อนุญาตให้มันคิดได้ ไม่ห้ามคิด ก็ถือว่าการปฏิบัติมีความก้าวหน้ามากขึ้น ก็ลองฝึกนะ ฟุ้ง หลง ถ้ารู้ว่าฟุ้งหลง ถือว่าดี หลงแล้วกลับมารู้เนื้อรู้ตัว ก็ดี แล้วก็ยอมให้มันหลงได้ ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ 
7/30/202321 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25660604pm--รู้แล้วทำก่อนสาย

4 มิ.ย. 66 - รู้แล้วทำก่อนสาย : แต่คนที่เขากำลังใจที่เข้มแข็ง ซึ่งความหมายนี้คือสมาธิ มันก็จะลงมือทำเลย พอรู้ว่าการออกกำลังกายดี ก็จะทำเลย ไม่มีการอิดออด คนเราจำเป็นมากที่จะต้องฝึกจิตให้เข้มแข็ง ให้มีกำลัง ชนิดที่พร้อมจะหนุนความรู้ที่มี รู้ว่าอะไรดี ทำเลย รู้ว่าอะไรไม่ดี ไม่ทำ อันนี้ต้องอาศัยใจที่มั่นคงเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นมันก็จะเกิดสิ่งที่เราอาจจะเคยได้ยิน ดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ได้ รู้ว่ากิ๊กไม่ดี มีเมียน้อยไม่ดี มีชู้ไม่ดี แต่ก็อดใจไม่ได้ มันหักห้ามใจไม่ได้ รู้ว่าทุจริตไม่ดี แต่มันหักห้ามใจไม่ได้ มันก็เผลอทำ เรียกว่าจิตใจอ่อนแอ ในทำนองเดียวกัน รู้ว่าอะไรดีแต่ไม่ทำ เพราะจิตใจอ่อนแอ และการที่คนเราจะมีใจเข้มแข็ง ส่วนหนึ่งจะต้องมีสติ มีความรู้สึกตัว เพราะถ้าไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว กิเลสก็เอาไปกินหมด ถ้าไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว สิ่งดีๆ ที่อยากทำก็ทำไม่ได้ เพราะว่ามันยังเพลินอยู่กับความสุขสนุกสนาน ยังติดโทรศัพท์มือถือ ยังติดเกมออนไลน์ ก็เลยไม่สามารถที่จะเอาใจใส่ในการเรียนได้ นี่คือปัญหาของเด็ก  ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน ไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว มันก็พ่ายแพ้ต่อกิเลสได้ง่าย พ่ายแพ้ต่อความสุขชั่วครูชั่วยาม ซึ่งมันก็ทำให้เราผัดผ่อนไปเรื่อย อะไรที่ดี ควรทำ เราก็ผัดผ่อนไปเรื่อย เดี๋ยวๆ แทนที่จะเดี๋ยวนี้ ก็เดี๋ยวก่อนๆ ผัดไปเรื่อย สุดท้ายก็ไม่ได้ทำสักที เพราะว่ามันมีข้ออ้างอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นคนเรารู้มากรู้เยอะ มันไม่ได้เป็นหลักประกันเลยว่า เราจะมีชีวิตที่ผาสุก หรือว่ามีพฤติกรรมที่ปลอดภัยได้ มันต้องมีจิตที่มั่นคง เข้มแข็ง หรือมิฉะนั้นก็ต้องรู้จักปลุกสังเวชขึ้นมา เพื่อให้มีแรงขับในการทำสิ่งที่ควรทำ ไม่อย่างนั้นมารู้อีกทีก็สายไปเสียแล้ว แล้วก็บ่นว่ารู้อย่างนี้ๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะมันสายไปเสียแล้ว 
7/29/202326 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25660603pm--สัจธรรมนำใจให้พ้นทุกข์

3 มิ.ย. 66 - สัจธรรมนำใจให้พ้นทุกข์ 
7/28/202336 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25660602pm--แก่แต่กาย ใจสดใส

2 มิ.ย. 66 - แก่แต่กาย ใจสดใส : ที่จริงการอยู่ลำพังมันไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ แต่เป็นเพราะเราวางใจไม่เป็นต่างหาก ตรงนี้ที่ทำให้เป็นทุกข์ ถ้าเราวางใจให้เป็นมีสติ มีความรู้สึกตัว จิตใจก็จะมีความแช่มชื่นเบิกบาน สามารถพบความสุขภายใน สามารถจะเข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจ แล้วถึงเวลาป่วย มันก็ป่วยแต่กาย แต่ว่าใจก็ยังสดใสได้ การอยู่ลำพัง มันจะไม่ใช่เป็นความวังเวง โดดเดี่ยว แต่มันเป็นความวิเวก มันเป็นความสงบที่สามารถจะเติมเต็มหรือหล่อเลี้ยงจิตใจได้  แต่เป็นเพราะคนไม่ได้เตรียมตัวในเรื่องนี้เลย อาจจะเป็นเพราะประมาท หรือพอคิดว่าฉันก็จะยังเหมือนเดิมในอีก 30 ปีข้างหน้า 40 ปีข้างหน้า วันนี้ฉันยังแช่มชื่นเบิกบานอย่างไร 40 ปีข้างหน้า ฉันก็จะเป็นอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้คิดว่า พอถึงตอนนั้น ร่างกายก็ไม่เหมือนเดิม จิตใจก็ไม่เหมือนเดิมถ้าไม่ได้ฝึก ฉะนั้นฝึกเอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เราจะได้มีเครื่องรักษาใจ เมื่อถึงในยามที่ชีวิตหรือร่างกายมันเข้าสู่ภาวะขาลง จิตใจก็ยังทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ เพราะว่ามีสติสมาธิ มีความรู้สึกตัวเป็นเครื่องหนุนช่วย
7/27/202328 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25660601pm--ปฎิบัติต่อความไม่ถูกต้องอย่างถูกต้อง

1 มิ.ย. 66 - ปฎิบัติต่อความไม่ถูกต้องอย่างถูกต้อง : หน้าที่ของเราคือว่าปฏิบัติกับมันอย่างถูกต้อง ถ้าเราปฏิบัติกับมันอย่างถูกต้อง นอกจากจะทำให้เราไม่ทุกข์แล้ว เรายังได้ประโยชน์จากมันด้วย อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านพูดว่า ความโกรธมันก็มีค่า ความเกลียดมันก็มีค่า ถ้าเราปฏิบัติกับมันอย่างถูกต้อง ปฏิบัติกับมันอย่างถูกต้องทำอย่างไร ก็แค่รับรู้หรือรู้ทันมัน แบบรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ รู้โดยไม่ตัดสินว่าแบบนี้ไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี ไม่มีการตัดสินว่าดีไม่ดี ความโกรธ ความเกลียด ความพยาบาท ตัณหาราคะที่เกิดขึ้น ถ้าเรามองหรือรับรู้มันด้วยสติ แบบว่ารู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ ไม่มีการตัดสินให้ค่าว่าดีไม่ดี ควรไม่ควร เท่านี้ก็ทำให้อารมณ์พวกนี้มาครองใจเราได้ยาก  แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า เราสามารถจะเห็นประโยชน์หรือได้ประโยชน์จากมันด้วย ทั้งในแง่ที่ว่ามันมาฝึกให้เรามีสติรู้ทัน สติเราจะว่องไวปราดเปรียวก็เพราะมีอารมณ์พวกนี้โผล่เข้ามาฝึกฝน และต่อไปมันก็จะแสดงธรรม แสดงสัจธรรมให้เราเห็น ว่ามันก็ไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ มันก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เห็นไตรลักษณ์ก็ไม่ได้เห็นจากไหนหรอก ก็เห็นจะอารมณ์อกุศลเหล่านี้แหละ รวมทั้งเห็นจากเวทนาฝ่ายลบ คือทุกขเวทนา มันไม่ควรเกิดขึ้นในสายตาของบางคน แต่ว่ามันถูกต้องแล้วที่มันเกิด แล้วถ้าเราวางใจให้ถูกต้อง เราก็ได้ประโยชน์จากมันด้วย อาศัยมันเป็นเครื่องฝึกจิตให้มีสติ อาศัยมันเป็นเครื่องสอนทำให้ใจเกิดปัญญา  แน่นอน ความไม่ถูกต้องในโลกเราก็ต้องพยายามทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ มีความถูกต้องม ีความยุติธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ก็เป็นหน้าที่ เป็นเรื่องการทำกิจ แต่ก็ไม่ทิ้งการทำจิต เมื่อมันเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าเกิดขึ้นกับสิ่งรอบตัว เกิดขึ้นกับสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง ทรัพย์สินร่างกาย คนรัก หรือเกิดขึ้นกับจิตใจของเรา เราก็ไม่มัวแต่บ่นโวยวาย ตีโพยตีพายว่า ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่แฟร์ แต่เราจะเรียนรู้จากมัน และใช้มันให้เกิดประโยชน์ โดยที่รักษาใจเราไม่ให้ทุกข์ด้วย 
7/26/202326 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25660531pm--ทำอย่างไรจึงมีชีวิตเต็มร้อย

31 พ.ค. 66 - ทำอย่างไรจึงมีชีวิตเต็มร้อย : ถ้าเราปล่อยใจเป็นอย่างนั้น ต่อไปเรานอกจากไม่มีสติอยู่กับสิ่งที่ทำ คนที่กำลังเกี่ยวข้องแล้ว เราก็จะเต็มไปด้วยความเครียดความวิตกกังวล เพราะเวลาคิดไปเรื่องอดีตก็ตามเรื่องอนาคตก็ตาม มันมักจะตามด้วยความโกรธความโมโห ความรู้สึกผิด ความวิตกกังวล ความหงุดหงิดรำคาญใจ แล้วมันทำให้เราไม่สามารถจะมีชีวิตอย่างแท้จริง หรือเรียกว่าไม่สามารถจะมีชีวิตเต็มร้อยได้  แล้วสิ่งดีๆ ที่เราอยากจะทำก็เลยทำไม่ได้ เพราะไม่มีสมาธิอยู่กับสิ่งนั้น หรืออาจจะไม่ได้ทำเลยก็ได้เพราะว่าใจมัวแต่ไหลลอยไปกับสิ่งอื่น เรียกว่าอยู่ในความหลง เรื่องแบบนี้ต้องอาศัยในการฝึก เราจึงจะสามารถรักษาใจให้มาอยู่กับตัวเอง มามีความรู้สึกตัว อยู่กับเนื้อกับตัวได้  แล้วถ้าเราไม่ฝึก ใจของเรามันก็มีแต่จะเข้ารกเข้พคงไปเรื่อยๆ แล้วก็หลงเข้าไปในโลกของความคิด แล้วจมอยู่ในหลุมอารมณ์ จนบางทีไม่สามารถจะฉุดใจออกมาได้ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ถ้าเราไม่ฝึก ปล่อยใจไปตามสบายก็จะลงเอยด้วยความทุกข์ ลงเอยด้วยความหลง ไม่สามารถจะมีชีวิตเต็มร้อยได้อย่างแท้จริง 
7/25/202325 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25660530pm--สิ่งที่คิดอาจไม่ใช่สำหรับเรา

30 พ.ค. 66 - สิ่งที่คิดอาจไม่ใช่สำหรับเรา : มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของเรา ไม่ใช่เฉพาะเรื่องการปฏิบัติธรรม แต่บางครั้งเวลาที่เราจะตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิต แล้วเราก็เกิดความไม่กล้าขึ้นมา เช่น บางคนก็ไม่ชอบชีวิตที่ต้องกินเงินเดือน แต่พอนึกถึงการที่ต้องไปทำอาชีพที่ต้องพึ่งตัวเองเป็นผู้ประกอบการเอง รู้สึกว่ามันยาก รู้สึกว่ามันลำบาก รู้สึกว่ามันไม่ใช่ อันนี้อาจเป็นความคิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงก็ได้ เพราะถ้าได้ลองทำดูอาจจะพบว่ามันใช่ เหมือนหลายคนที่ไม่อยากจะทิ้งงานที่กินเงินเดือนเพราะว่ามันมั่นคง แต่เหตุจำเป็นต้องทำให้ต้องออกจากงานที่ว่า แล้วต้องไปค้าขาย ไปทำร้านอาหาร ไปขายสินค้าออนไลน์ แล้วพบว่า เออ มันใช่นะแต่ก่อนนี้ไม่กล้า เพราะไปมองว่ามันมีข้อเสียเยอะ มีข้อดีน้อย แต่จริงๆ แล้วเป็นการมองที่คลาดเคลื่อน หรือบางคนไม่ชอบชีวิตในกรุงเทพฯ แต่ว่าไม่กล้า ไม่อยากที่จะไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด เพราะว่ามองเห็นแต่ปัญหา มองเห็นแต่ข้อเสีย แต่พอมีเหตุจำเป็นให้ต้องออกไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัด ก็พบว่ามันใช่ มันคือสิ่งที่ชีวิตเราต้องการ แต่ทำไมก่อนหน้านั้นไม่กล้า ก็เพราะมองเห็นแต่ข้อเสีย ข้อดีมองไม่ค่อยเห็น มันชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เราคิดน่าจะไม่ตรงความเป็นจริงก็ได้ แล้วเราจะรู้อย่างไรว่ามันใช่หรือไม่ใช่ เหมาะกับเราหรือไม่ หรือเป็นประโยชน์กับเราหรือไม่ ก็ต้องทดลองปฏิบัติ ทดลองทำดู อย่าไปเชื่อความคิดของตัวเองมากเกินไป เพราะว่าสิ่งที่คิดอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้  แล้วคนเราจะว่าไปแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ อะไรคือสิ่งที่จะให้ความสุขของเราจริงๆ สิ่งที่เราเชื่อว่ามันจะให้ความสุขกับเราอาจจะไม่ใช่ก็ได้ หรือสิ่งที่เราเชื่อว่ามันยากลำบาก ที่จริงมันอาจจะเป็นสิ่งที่ให้ความสุขแก่เราก็ได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปเชื่อความคิดมาก ต้องลองทำต้องลองปฏิบัติแล้วก็เรียนรู้ด้วยตัวเองถึงจะรู้ว่านี้ใช่หรือไม่ใช่ 
7/24/202324 minutes, 52 seconds
Episode Artwork

25660529pm--ดำเนินชีวิตด้วยใจใฝ่รู้

29 พ.ค. 66 - ดำเนินชีวิตด้วยใจใฝ่รู้ : ถ้าหากว่าเราพร้อมที่จะเรียนรู้จากทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ความเครียด ความหงุดหงิดผิดหวังมันก็จะน้อย อารมณ์ ความหงุดหงิดผิดหวัง ความเครียด มันเกิดขึ้นเฉพาะคนที่แสวงหาความสงบในจิตใจ พอใจไม่สงบก็ผิดหวัง ก็หงุดหงิด พอมันมีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมากมาย ก็หงุดหงิด เพราะไม่เป็นไปดั่งใจ เพราะมันไม่ถูกใจ แต่ถ้าหากปฏิบัติเพราะต้องการรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับใจ อารมณ์ใดเกิดขึ้นกับใจก็ได้ความรู้  ที่จริงถ้าวางใจแบบนี้ พอเจอทุกข์ แทนที่จะเป็นทุกข์ ก็จะกลายเป็นรู้ทุกข์ไป พระพุทธเจ้าก็สอนว่า ความทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องรู้ อันนี้คนที่มุ่งแสวงหาความสะดวกสบายจะไม่เข้าใจ ว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องกำหนดรู้ได้อย่างไร แต่คนที่ใฝ่รู้ ก็จะได้เปรียบ เพราะว่าเมื่อมีทุกข์แล้ว เราก็ควรจะรู้ทุกข์ ถ้าเรารู้ทุกข์เราก็ไม่เป็นทุกข์ คนที่ใฝ่รู้ เวลาเจอทุกข์ เขาจะพยายามรู้ทุกข์ รู้จักทุกข์ให้มากขึ้น ว่ามันมีสภาวะอย่างไร เกิดจากอะไร ส่วนคนที่แสวงหาความสะดวกสบาย พอเจอทุกข์ก็จะหงุดหงิด โวยวายตีโพยตีพาย เข้าไปเป็นผู้ทุกข์ ก็เลยทุกข์หนักขึ้น ฉะนั้นไม่ว่าในการดำเนินชีวิตหรือจะเป็นผู้ปฏิบัติก็ตาม ให้เราพยายามรักษาท่าทีหรือสำนึกของการเป็นผู้ใฝ่รู้เอาไว้ อย่าเป็นผู้ใฝ่เสพ อย่าเป็นผู้แสวงหาความสะดวกสบาย แต่เป็นผู้ที่พร้อมจะเรียนรู้จากทุกข์ เจอทุกข์ก็ยอมรับและเรียนรู้จากมัน อย่างนี้แหละจึงจะก้าวออกจากทุกได้ 
7/23/202326 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25660528pm--ทำอย่างไรจะไม่เสียใจกับอดีต

28 พ.ค. 66 - ทำอย่างไรจะไม่เสียใจกับอดีต : แต่ถ้าเกิดคนเรามีสติ ไม่ปล่อยให้ใจมันไหลไปตามสิ่งล่อเร้าเย้ายวน จนลืมสิ่งที่สมควรทำ หรือไม่ปล่อยใจให้เพลินกับอยู่กับสิ่งที่ควรจะทำให้น้อยลง เราก็จะสามารถทำสิ่งที่ดีๆ ตั้งแต่ตอนนั้นเลย อะไรที่ควรทำให้น้อยลงก็ทำตั้งแต่ตอนนั้น อะไรที่ควรทำให้มากขึ้นก็ทำตั้งแต่ตอนนั้น คือตอนที่ยังหนุ่มยังสาว ตอนที่ยังมีกำลังวังชา ตอนที่ยังไม่เจ็บไม่ป่วย ตอนที่ยังไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้น รวมทั้งเวลามีความโกรธ ความโมโหกับอะไรที่มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ปล่อยให้ครอบงำใจ จนกระทั่งทำในสิ่งที่ต้องมาเสียใจภายหลัง หรือเกิดผลเสียตามมา สติมันช่วยไม่ให้เราไปเอาจริงเอาจัง เอาเป็นเอาตายกับอารมณ์ต่างๆ หรือกับเหตุการณ์ขณะที่เกิดขึ้น มันเป็นตัวยั้งไม่ให้ไปหมดเนื้อหมดตัวกับอารมณ์ จนกระทั่งต้องมาเสียใจเมื่ออายุมากขึ้นว่าเราไม่น่าเลย ขณะเดียวกันก็ทำให้เราไม่ไปเพลินกับสิ่งต่างๆ จนลืมทำสิ่งที่สมควรทำ  ถ้าเราไม่อยากจะเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา การครองตนให้มีสติสำคัญมาก นอกจากเราจะรู้ว่าอะไรควรทำให้น้อยลง อะไรควรทำให้มากขึ้นแล้ว เราสามารถจะลงมือทำได้ ไม่ใช่รู้แต่ไม่ทำ เพราะว่ายังเพลินอยู่กับอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างที่เขาพูด ดีชั่วรู้หมดแต่อดใจไม่ได้ ที่อดใจไม่ได้เพราะไม่มีสติ ถ้ามีสติแล้วมันอดใจได้ อะไรที่ควรทำให้น้อยลงก็ทำได้ อะไรที่ควรทำให้มากขึ้นก็ทำได้ แล้วก็ทำตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาว ไม่ใช่มาเสียอกเสียใจตอนที่แก่แล้ว 
7/22/202325 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25660526pm--ความหมายของสังฆทาน

26 พ.ค. 66 - ความหมายของสังฆทาน : เราก็อย่านึกแต่เรื่องการทำบุญอุทิศให้ ต้องนึกไปถึงเรื่องการสืบทอดความดีของท่าน ความดีของท่าน หรือว่าสิ่งดีๆ ที่ท่านทำเราก็ต้องสืบทอดด้วย ความดีที่ท่านทำเช่น ท่านอาจจะเป็นคนที่ชอบบำรุงอุปถัมภ์ศาสนา ส่งเสริมการศึกษาพระสงฆ์ ส่งเสริมการปฏิบัติธรรม ชอบปลูกป่าอนุรักษ์ธรรมชาติ ชอบสงเคราะห์คนทุกข์คนยากไร้ แล้วก็ชอบสงเคราะห์สัตว์ที่ถูกทอดทิ้ง นี่คือความดีที่ท่านทำ เราก็ควรจะสืบทอด สืบต่อความดีของท่านเหล่านั้น  ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทำบุญด้วยการถวายสังฆทานอย่างเดียว แต่ว่าไปปลูกป่าเพื่อสืบทอดสิ่งที่ท่านทำ สงเคราะห์สัตว์ ช่วยเหลือคนทุกข์คนยาก เป็นการสืบทอดสืบต่อความดีของท่าน นั่นก็เป็นบุญเหมือนกัน มันเกิดบุญที่ใจเรา แล้วเกิดบุญให้กับผู้คน เป้าหมายที่ได้รับอานิสงส์จากการทำความดีนั้น และรวมถึงเราก็อยากจะอุทิศบุญกุศลนั้นให้กับผู้ที่ล่วงลับซึ่งอยู่ในปรโลก  เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงการทำบุญให้กับผู้ที่ล่วงลับ อย่าเจาะจงแต่เรื่องการถวายสังฆทาน ในแง่หนึ่งเราก็ต้องถวายสังฆทานอย่างถูกต้อง ว่าเป็นสังฆทานจริงๆ ในอีกแง่หนึ่งเราก็พยายามสืบทอดความดีของท่าน สืบทอดงานของท่านทำด้วย จะได้เรียกว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณของท่าน" เสียงธรรมจากหลวงพ่อไพศาล วิสาโล บรรยายที่ ยุวพุทธิกสมาคม วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖
7/20/202327 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25660521pm--ความเจ็บไข้มาเตือนให้ฉลาด

21 พ.ค. 66 - ความเจ็บไข้มาเตือนให้ฉลาด : อนิฏฐารมณ์มันมีหลายระดับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่น่าพอใจ เหตุร้ายที่สร้างความทุกข์ให้กับเรา มันมีหลายระดับ เราสามารถที่จะฝึกใจจากอนิฏฐารมณ์ หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อเจอคำต่อว่าด่าทอ หรือว่าเมื่อสูญเสียทรัพย์ เมื่องานการมีอุปสรรค เมื่อคนที่อยู่รอบข้างไม่เป็นดั่งใจ มันจะเกิดความโกรธ ความหงุดหงิด ความผิดหวัง แต่ถ้าเราสามารถจะฝึกจิตจากอารมณ์เหล่านี้ได้ ฝึกให้รู้จักรู้ทันอารมณ์เหล่านี้ และรู้จักปล่อยวาง ไม่ให้มันมาครอบงำใจ รวมทั้งนอกจากรักษาใจให้เป็นปกติในยามที่เจอสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังสามารถหาประโยชน์จากมันได้ อย่างที่ได้กล่าวตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า เมื่อเจออนิฏฐารมณ์หรือเจอทุกข์ สิ่งที่เราพึงกระทำมี 2 ประการ 1. รักษาใจไม่ให้ทุกข์  2. หาประโยชน์จากมันให้ได้ สองประการนี้เราสามารถจะฝึกได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องรอให้เราเจ็บไข้เสียก่อน ถึงค่อยมาฝึกทั้งสองประการนี้ เพราะถึงตอนนั้นก็อาจจะไม่ทันการแล้ว เวลาเจออากาศร้อน เจอรถติด เจอคนผิดนัด เจอคำต่อว่าด่าทอ หรือแม้แต่เจอเหตุการณ์ทางสังคมและการเมืองที่ไม่ถูกใจ เราก็สามารถที่จะฝึกจิตให้รู้จักวางใจไม่ให้ทุกข์ และยังสามารถหาประโยชน์จากมันให้ได้ ถ้าเราเตรียมหรือฝึกฝนตรงนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งแคล่วคล่องชำนาญ ถึงเวลาเจอความเจ็บไข้ไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ เราก็สามารถจะยกจิตให้เหนือทุกข์ วางใจให้เป็นปกติ และสามารถเกิดความเติบโตงอกงามในทางธรรมได้ เพราะเรารู้จักหาประโยชน์จากทุกข์ ให้ทุกข์มันสอนธรรมแก่เรา โดยเฉพาะสัจธรรม 
7/19/202340 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25660519pm--ปฎิบัติธรรมไปกับการทำงาน

19 พ.ค. 66 - ปฎิบัติธรรมไปกับการทำงาน : เห็นความทุกข์ของผู้คนแล้ว ทำให้ความทุกข์ของเรากลายเรื่องเล็ก เห็นประโยชน์ของส่วนรวม มันก็ทำให้เราเอาตัวเองเป็นใหญ่น้อยลง ยอมลดราวาศอก หรือยอมลดความต้องการ เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มีความอดกลั้นมากขึ้น เพราะรู้ว่าถ้าระเบิดออกไป มันจะเกิดความขัดแย้ง เกิดเรื่องวุ่นวาย การงานก็ล้มเหลว หรือว่าหมู่มิตรก็แตกแยก พอคิดถึงส่วนรวม ก็ทำให้รู้จักอดกลั้นต่อกับอารมณ์ แล้วยิ่งเจอคำต่อว่าด่าทอ คำวิพากษ์วิจารณ์ ก็เอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นแบบฝึกหัดในการลดอัตตา เจอความล้มเหลวก็ถือว่าดี ได้เรียนรู้ มันเป็นการภาวนาไปพร้อมๆ กันได้ ถ้าหากว่าทำอย่างนี้ ก็จะเป็นอย่างที่บางครั้งท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ยิ่งทำงาน กิเลสก็ยิ่งลดลง อัตตาก็เบาบางลง และประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นกับส่วนรวม ไม่ว่าจะงานบุญ งานสังคม ก็เพิ่มพูนมากขึ้น   เพราะฉะนั้นเรื่องการปฏิบัติธรรม ก็ให้เราเข้าใจให้ดีๆ ว่า มันไม่ใช่แค่การต้องมาปฏิบัติกันในวัด แต่จะต้องนำเอาไปปฏิบัติท่ามกลางการทำงาน ท่ามกลางการใช้ชีวิต แล้วก็ใช้งานการนั่นแหละเป็นเครื่องฝึกฝนขัดเกลาตัวเองไปพร้อมๆ กันด้วย 
7/16/202327 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25660518pm--ความหลงหายไป เมื่อใจกลับมารู้สึกตัว

18 พ.ค. 66 - ความหลงหายไป เมื่อใจกลับมารู้สึกตัว : นอกจากฝึกใจไม่ให้บังคับจิต แต่ว่าอนุญาตให้มันมีความคิดมีอารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น แล้วก็รู้สึกเป็นกลางต่ออารมณ์เหล่านั้น วางความชอบความชังลง เพราะถ้ามีความชังเมื่อไหร่ มันก็จะไปบังคับจิตไม่ให้มีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ไม่ให้มีความโกรธ ความเกลียดเกิดขึ้น นอกจากไม่บังคับจิตแล้วก็ไม่ดักจ้องมองความคิดและอารมณ์ ให้สติเขาได้ทำงานของเขา ให้โอกาสสติเขาได้ทำงาน เราไม่ต้องทำแทนเขา แล้วพอรู้ว่ามีอารมณ์ใดเกิดขึ้น ก็สักแต่ว่ารู้สึกซื่อๆ วางใจเป็นอุเบกขา ไม่ต้องไปกดข่ม ผลักไส หรือไม่ต้องไปไหลตาม  อันนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการเจริญสติ การทำความรู้สึกตัว และการรู้ธรรมที่สำคัญ หรือธรรมะเบื้องสูง ซึ่งสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทวนกระแสนิสัยความเคยชินเดิมๆ ที่ชอบบังคับจิต ที่ชอบไปดักจ้องมองจิตมองอารมณ์ แล้วก็ชอบไปกดข่มอารมณ์ความคิดที่ไม่ชอบ  การที่จะฝึกใจให้ไม่ผลัดเข้าไปในนิสัยแบบนี้ มันต้องอาศัยการสร้างนิสัยใหม่ นิสัยที่อนุญาตให้ความคิดและอารมณ์เกิดขึ้น แล้วก็ให้รู้จักเห็น ไม่เข้าไปเป็น รู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ให้โอกาสสติเขาได้ทำงาน ไม่ต้องไปทำงานแทนเขา แล้วอย่างนี้แหละก็จะทำให้สติเจริญก้าวหน้า และความรู้สึกตัวก็จะเพิ่มพูนมากขึ้น จนสามารถที่จะขับไล่ความหลงออกไปจากใจ และมีความรู้สึกตัวมาแทนที่มากกว่าความหลง
7/13/202325 minutes, 16 seconds
Episode Artwork

25660517pm--ไม่ถือก็ไม่ทุกข์

17 พ.ค. 66 - ไม่ถือก็ไม่ทุกข์ : ถ้าเห็นไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความเบื่อ ความเศร้าเนี่ย มันไม่ทุกข์นะ แต่เพราะไปยึดเอาว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา หรือเข้าไปเป็นเนี่ย จึงทุกข์ แล้วทำไมถึงยึด ก็เพราะว่าไม่รู้ตัว เพราะความหลง แล้วความโกรธเกิดขึ้น เพราะถือ ถือเอาคำพูดของเขา หรือไปยึดเอาคำพูดของเขามาปรุงให้เกิดความโกรธเท่านั้นยังไม่พอ ยังไปยึดเอาความโกรธมาเป็นเราเข้าไปอีก ทีแรกเผลอ ปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นเพราะถือ ถือในการกระทำคำพูดของเขา แต่เมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว ถ้าเรามีสติรู้ตัว แค่เห็นเฉยๆ ไม่เข้าไปเป็น มันก็ไม่ทุกข์นะ แต่เพราะไม่เห็น เข้าไปเป็น เข้าไปยึด ไอ้ตรงเข้าไปยึดนี่แหละ มันคือตัวการที่ทำให้เกิดทุกข์ในใจเรา ตรงนี้ถึงบอกว่า สมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์ มันอยู่ที่ใจเราด้วย อยู่ที่เราไปร่วมมือกับเขา ฉะนั้น ถ้าเราไม่ถือ เราก็ไม่โกรธ หรือถึงโกรธ แต่ไม่ไปยึดในความโกรธนั้น มันก็ไม่ทุกข์ อันนี้คือสิ่งที่เราต้องมองให้เห็น แล้วจะเห็นได้ก็ต้องหมั่นสังเกตใจของเราอยู่บ่อยๆ แล้วเราก็จะรู้ว่า ไม่ว่าจะเจออะไร ใจเราไม่ทุกข์ก็ได้ ถ้าใจเราไม่ถือ หรือไม่เข้าไปยึด หรือรู้จักวางใจให้ถูก มันไม่จำเป็นต้องไปแก้ที่ใคร ไม่ต้องไปจัดการกับใคร สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ก็คือจัดการที่ใจของเรา ให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัว ให้มีปัญญา 
7/12/202324 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25660516pm--ใจไม่ทุกข์เพราะมีธรรม

16 พ.ค. 66 - ใจไม่ทุกข์เพราะมีธรรม : ความโกรธ ความขุ่นเคือง มันไม่ได้ทำให้เราทุกข์ ถ้าเราเห็นมัน ถ้าเรารู้จักวางใจเป็นกลางกับอารมณ์เหล่านี้ หรือถ้าเราไม่ยึดติดถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้น มันก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ แต่เพราะเราเกี่ยวข้องกับมันไม่เป็น เราจึงทุกข์ การฝึกสติก็คือการมาฝึกใจให้เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ให้เป็น เราห้ามมันไม่ให้เกิดขึ้นไม่ได้ เหมือนกับเราห้ามเสียงดัง อากาศร้อน คำต่อว่าด่าทอ ไม่ให้เกิดขึ้นกับเรานี่ยาก แต่เราสามารถที่จะรับมือกับมัน รู้ทันมัน และไม่ปล่อยให้มันมาบีบคั้น หรือว่าย่ำยีจิตใจได้  การที่เราจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภายนอก ภายใน ให้มีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเรา มันเป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่เราทำได้ก็คือ เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เรารู้จักนำธรรมะมารักษาใจไม่ให้เป็นทุกข์ เพราะมัน เราทำได้ โดยเฉพาะเมื่อเรามีสติ มีปัญญา เราก็จะวางใจ หรือมีท่าทีที่ถูกต้องกับสิ่งเหล่านั้น มันมาแต่เราไม่ยึด มีแต่ไม่เอา เกิดขึ้นแต่รู้ทัน ถ้าทำอย่างนี้ได้ ใจก็เป็นปกติ สงบ สงบไม่ใช่เพราะไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น แต่สงบเพราะเราวางใจได้ถูกต้อง เพราะใช้สติมารักษาใจ
7/10/202324 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25660515pm--ชีวิตเลือกได้

15 ก.พ. 66 - ชีวิตเลือกได้ : เอาเข้าจริงๆ เราก็เลือกได้ว่า จะเป็นคนแก่ที่อารมณ์เย็น ผ่อนคลาย รู้จักปล่อยวาง หรือเป็นคนแก่ที่เอาแต่หงุดหงิดหัวเสีย เจ้าอารมณ์ ขี้บ่น หรือว่าซึมเศร้า สุดท้ายเราเลือกได้แม้กระทั่งว่า เมื่อถึงวาระสุดท้าย เราจะตายแบบไหน ตายด้วยใจสงบ หรือตายด้วยความทุรนทุราย เพราะปล่อยวางอะไรต่ออะไรก็ไม่ได้ เพราะมีความรู้สึกผิดติดค้างใจ เพราะมีความโกรธเกรี้ยว คับแค้นพยาบาท หลายคนอย่าว่าแต่ระยะสุดท้ายเลย ที่จริงไม่ต้องรอให้แก่ก็ได้ บางคนพอถึงวัยกลางคน จิตใจจมดิ่งอยู่ในความทุกข์มาก ถูกอารมณ์จู่โจมหรือว่าครอบงำจิตชนิดที่ไม่สามารถจะถอนใจออกจากอารมณ์พวกนี้ได้ เพราะเขาไม่ยอมที่จะเลือกว่า จะมีชีวิตที่เป็นอิสระจากอารมณ์นี้หรือเปล่า หรือว่าเลือกว่าเมื่อมีสิ่งที่ไม่ถูกอกถูกใจ เราจะไม่โกรธไม่โมโห แต่เราจะตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เป็นเพราะไม่เลือกในขณะที่มีเวลา พอปล่อยเวลาผ่านเลยไปๆ ก็กลายเป็นว่าถูกอารมณ์พวกนี้ครอบงำ จนกระทั่งไม่มีสิทธิ์เลือก แล้วก็อยู่แบบทุกข์ทรมา นอยู่ด้วยความร้อนรุ่ม แล้วก็ตายด้วยใจที่ไม่สงบ อันนี้เห็นเยอะมาก เป็นเพราะว่าเราไม่รู้จักเลือกในสิ่งที่สำคัญ ในขณะที่ยังมีเวลา หรือถึงเลือก หรือถึงรู้ว่าอยากจะมีชีวิตจิตใจ อารมณ์แบบไหน แต่ไม่ลงมือทำอย่างที่เลือก ก็มีผลเหมือนกัน คือสุดท้ายก็เลือกไม่ได้ ปล่อยให้อารมณ์และความทุกข์มาเป็นนาย ซึ่งก็นับว่าน่าเสียดายมาก 
7/10/202326 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25660501pm--ทุกข์เพราะอยาก

1 พ.ค. 66 - ทุกข์เพราะอยาก : ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ มันหนีไม่พ้นนะคนเรา หรือพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ก็เป็นสิ่งที่คนเราหนีไม่พ้น แต่ถ้าเราไม่ให้ความอยากเข้ามาผสมโรงในสองสิ่งนี้ มันก็จะทุกข์น้อยลง ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ เช่น ความเจ็บความป่วย ความแก่ คำต่อว่าด่าทอ มันก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้ว แต่ถ้าตั้งความมุ่งมั่นว่าฉันขอให้ได้เจอสิ่งเหล่านี้เลย พอเจอเข้ามันทุกข์กว่าเดิม หรือว่าขอให้ฉันได้พบกับสิ่งที่รักที่พอใจ แค่นี้พอไม่ได้ก็ทุกข์อยู่แล้ว แต่ถ้ามีความอยาก อยากให้ได้สิ่งที่รักที่พอใจ ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่ เราอาจจะหนีไม่พ้นนะ ประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่พอใจ หรือพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ หนีไม่พ้น แต่อย่างน้อยอย่าให้ความยากมันเข้าไปเจือปนด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราอยากจะดำเนินชีวิตให้มีความทุกข์น้อยลง อย่างน้อยๆ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น หรือว่าความยึดความยากของเรา ไม่ว่าในเรื่องใดก็ตาม ก็อย่าให้มันครองจิตครองใจมาก มันมีได้ คนเราหนีไม่พ้นหรอก เพราะยังมีกิเลสอยู่ แต่ว่าก็ให้รู้ทัน แล้วก็เตือนตนอยู่เสมอ ว่ามีความอยากเมื่อไหร่ มันก็มีความทุกข์เมื่อนั้น แล้วอยากมากก็ทุกข์มาก อยากน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ว่าสิ่งที่อยากจะเป็นอะไรก็ตาม  เมื่อเรารู้เห็นโทษของความอยากแล้ว ก็จะได้จำกัดขอบเขตความอยาก ไม่ให้มันรุนแรงเกินไป หรืออย่างน้อยก็รู้ทัน แล้วก็เตือนตนด้วยนะว่ามันไม่มีอะไรที่แน่นอน ไม่มีใครที่ได้ทุกอย่างสมอยาก ฉะนั้นถ้าอยากสิ่งใดก็เตรียมใจทุกข์ไว้ได้เลย อันนี้ก็ช่วยเตือนสติให้กับคนเราได้
7/6/202324 minutes, 24 seconds
Episode Artwork

25660430pm--เพื่อนดีที่กลางใจ

30 เม.ย. 66 - เพื่อนดีที่กลางใจ : ต้องมีเพื่อนแบบนี้ในใจของเรา ไม่ใช่ว่าจะหวังแต่เพื่อนข้างนอกที่เขายอมรับอย่างที่เราเป็นได้ในทุกกรณี แต่ว่าเราต้องมีเพื่อนในใจ ที่ทำให้เราสามารถจะยอมรับทุกความคิดทุกอารมณ์ที่เกิดขึ้นได้ โดยไม่ปล่อยให้มันมาครอบงำใจ หรือไม่เป็นทุกข์เพราะมัน เพราะจริงๆ แล้วมันก็เป็นธรรมดา และที่จริงถ้าเรามีสัมมาสติดีพอนะ เราก็สามารถที่จะเปลี่ยนความคิดและอารมณ์ที่ไม่ดีให้กลายเป็นของดีขึ้นมาได้ เพราะมันทำให้เรารู้จักตัวเอง ทำให้เรารู้เท่าทันกิเลส ทำให้เราไม่หลงประมาทตัวเองว่าฉันดีพร้อม ทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งช่วยทำให้เกิดความระมัดระวังในการไม่ปล่อยใจให้อารมณ์พวกนี้ครอบงำ เราต้องหานะ หาเพื่อนที่ดีกลางใจของเรา เพื่อนที่ว่านี้ก็คือ “สัมมาสติ” ต้องรู้จักพัฒนาความสามารถในการที่จะยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในใจด้วยความรู้สึกที่เป็นกลางได้ แล้วสิ่งนี้มันก็จะช่วยทำให้ความรู้สึกลบหรือความคิดลบๆ นอกจากไม่ทำให้เราเป็นทุกข์แล้ว ยังไม่สามารถจะบงการให้เราทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้
7/4/202326 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25660429pm--เปลี่ยนความล้มเหลวให้เป็นความรู้

29 เม.ย. 66 - เปลี่ยนความล้มเหลวให้เป็นความรู้ : ถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ ไม่เรียนรู้จากทุกข์ เราจะเป็นอิสระจากความทุกข์ยากได้อย่างไร เราจะเป็นอิสระจากความทุกข์ได้ เราก็ต้องรู้จักทุกข์ แล้วเราจะต้องรู้จักทุกข์ได้อย่างถ่องแท้ ก็ต้องเจอทุกข์ซะก่อน ถ้ากลัวทุกข์ก็ไม่มีทางพ้นทุกข์ได้ ก็เหมือนกับคนที่อยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องยอมที่จะเจอความล้มเหลว แล้วเมื่อเจอความล้มเหลว ก็เปลี่ยนความล้มเหลวให้กลายเป็นความรู้ แล้วความรู้นี่แหละก็จะนำไปสู่ความสำเร็จ ความทุกข์ก็เหมือนกัน เจอทุกข์แล้วเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความรู้ ความรู้ในทุกข์ และความรู้ในทุกข์นั้น มันจะพาให้เราเป็นอิสระจากความทุกข์ได้
7/4/202325 minutes, 55 seconds
Episode Artwork

25660428pm--ยิ่งมองตน ยิ่งนึกถึงคนอื่น

28 เม.ย. 66 - ยิ่งมองตน ยิ่งนึกถึงคนอื่น : เพราะหมั่นมองตนนั่นแหละ จึงนึกถึงผู้อื่นหรือเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่น เพราะว่าทำให้ความเห็นแก่ตัวน้อยลง แต่ถ้ามองตนน้อยเท่าไหร่ ก็นึกถึงคนอื่นน้อยเท่านั้น เพราะว่าจิตใจก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ยิ่งมีความกลัวเป็นเจ้าเรือน มันยิ่งง่ายมากที่จะทำร้ายคน ถ้าหากว่ามีโอกาส เพียงเพื่อให้ตัวเองมีความปลอดภัย หรือว่าไม่มีภัยมาคุกคาม หรือหนักกว่านั้นก็คือไปทำร้ายคน เพื่อที่จะปรนเปรอตน ด้วยเงิน ด้วยทรัพย์ ด้วยความสุขชั่วครูชั่วยาม ถ้าเราปฏิบัติธรรม หัวใจของการปฏิบัติธรรมคือการหมั่นมองตน หมั่นมองตนก็คือหมั่นรู้ความทันความคิด รู้ทันกิเลส รู้ทันความเห็นแก่ตัว แล้วมันจะช่วยทำให้ความเห็นแก่ตัวเบาบาง มีอำนาจครอบงำจิตใจเราน้อยลง แล้วเปิดช่องให้ความเมตตากรุณา ความมีน้ำใจเจริญงอกงามขึ้น  แล้วยิ่งทำก็จะยิ่งพบว่ามีความสุข อย่างคุณปู่แม้ว่าจะดูเหนื่อยกาย แต่ว่าแกมีความสุข จากการที่ได้ช่วยคนไม่ให้ฆ่าตัวตาย แกมีความสุข แกจึงทำทุกวัน แล้วยิ่งทำทุกวัน แล้วยิ่งมีความสุขมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเกิดแรงจูงใจที่จะทำเพื่อผู้อื่นมากขึ้น แล้วมันก็ไปด้วยกัน ถ้าเราหมั่นมองตน เราก็จะนึกถึงผู้อื่น แล้วเมื่อเราทำเพื่อผู้อื่น เราก็จะมีความสุข แล้วความสุขที่สัมผัสในใจได้ มันก็จะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นมากขึ้น
7/4/202329 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25660423am--สละเพื่อละตัวตน

23 เม.ย. 66 - สละเพื่อละตัวตน : เดี๋ยวนี้ทำอะไรไม่มีคนกดไลค์หรือกดไลค์น้อยก็ทุกข์แล้ว แค่เขาไม่ชมก็ทุกข์แล้ว นับประสาอะไรกับคำตำหนิหรือเม้นแรงๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นธรรมดามากเลยการเม้นแรงๆ ทำอะไรก็ตาม ดีแค่ไหนก็มีคนเม้นว่าไปทางลบอยู่เสมอ เพราะนี่เป็นโลกของความหลากหลายที่คนเราคิดต่างกันแบบ 180 องศาเลย  เพราะฉะนั้นทำความดีก็อย่าไปหวังคำสรรเสริญ แล้วก็ไม่หวั่นไหวกับการถูกคอมเม้นถูกวิจารณ์ เราก็จะอยู่ได้ในโลกนี้อย่างมีความผาสุก เรียกว่าอยู่เหนือโลก ตัวอยู่ในโลกแต่ใจอยู่เหนือโลก คือโลกธรรม ไม่ว่าจะเป็นคำสรรเสริญหรือคำนินทา  แม้ได้ยศก็ไม่เพลิดเพลิน  แม้ได้ลาภก็ไม่ปลาบปลื้ม เพราะรู้ว่ามันเป็นของไม่เที่ยง ดังนั้นเมื่อเสื่อมลาภจิตใจก็ไม่เศร้าหมอง เสียแต่ทรัพย์แต่ใจก็ไม่เสีย ไม่ซ้ำเติมตัวเองให้ทุกข์ อันนี้เราสามารถเริ่มได้จาก เสียงธรรมจากหลวงพ่อไพศาล วิสาโล บรรยายที่ Royal Gems
7/4/202324 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25660420pm--แก่อย่างมีความหมาย

20 เม.ย. 66 - แก่อย่างมีความหมาย : จริงพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ความแก่มันไม่ได้อยู่ในไหนหรอก มันอยู่ในความหนุ่มสาวนี่แหละ ความเจ็บไข้ก็อยู่ในความไม่มีโรค ถึงแม้ว่าเราไม่มีโรคก็ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บไข้ ความเจ็บไข้ก็อยู่ในความไม่มีโรค ถึงแม้ว่าเราจะยังเป็นหนุ่มเป็นสาว พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ความแก่ก็อยู่ในความหนุ่มความสาวนั่นแหละ รวมทั้งความตายก็มีอยู่ในความมีชีวิต เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะยังหนุ่มยังสาวก็ไม่ใช่ห่างไกลกับความแก่ ถึงแม้จะไม่ป่วยก็ไม่ได้แปลว่ายังห่างไกลกับความเจ็บความป่วย ถึงแม้จะยังมีชีวิตก็ไม่ได้แปลว่ายังห่างไกลจากความตาย ความแก่ก็ดี ความเจ็บป่วยก็ดี ความตายก็ดี มันอยู่กับเราอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะมองเห็นหรือเปล่า
7/1/202326 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660419pm--ความจริงอาจไม่ตรงกับที่คาดการณ์

19 เม.ย. 66 - ความจริงอาจไม่ตรงกับที่คาดการณ์ : บางอย่างเราก็เห็นแต่ปัญหา แต่เราไม่ค่อยเห็นข้อดี ทั้งๆที่ปัญหานี้เล็กน้อยแต่ข้อดีเยอะ บางอย่างเราเห็นแต่ข้อดีแต่ไม่เห็นปัญหาทั้งๆที่ในความเป็นจริงปัญหามันเยอะมาก ส่วนข้อดีก็มีบ้างแต่น้อย หรือว่าน้อยกว่าที่คิด อันนี้มันก็แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เรามีความจำกัดในการคาดการณ์ เกี่ยวกับสิ่งที่จะทำข้างหน้าหรือเกี่ยวกับเหตุการณ์ข้างหน้า เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อความคิดของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก เพราะความจริงอาจจะไม่ตรงกับที่เราคาดการณ์ก็ได้ ถ้ามันไม่แย่กว่า มันก็อาจจะดีกว่าก็ได้   และเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ก็ต้องทดลองทำดู อย่างคนที่คิดว่า ฉันขึ้นรถไฟฉันอยู่คนเดียวดีกว่าที่จะคุยกับคนแปลกหน้า แต่พอได้คุยกับคนแปลกหน้ากลับพบว่า มันดีแฮะ มันดีกว่าการอยู่คนเดียวทำอะไรคนเดียวด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้ลองทำก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่คิดเอาไว้ มันไม่ถูกต้อง ไอ้ที่คาดการณ์เอาไว้ มันไม่ใช่อย่างนั้น   ฉะนั้นเวลาเรามีการคาดการณ์อะไร แม้กระทั่งเกี่ยวกับความสุขหรือว่าสิ่งที่พึงปรารถนา ก็อย่าไปเชื่อมั่นมากเกินไป เพราะมันอาจจะเป็นการคิดเอาเองก็ได้ ต่อเมื่อเราได้ทดลองทำดู มันจึงจะรู้ว่ามันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้ หรือบางอย่างอาจจะแย่กว่าที่คาดหวังก็ได้
7/1/202324 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25660416pm--ปล่อยวางบ้าง ชีวิตจะทุกข์น้อยลง

16 เม.ย. 66 - ปล่อยวางบ้าง ชีวิตจะทุกข์น้อยลง : ขณะที่ยังมีกิเลสอยู่ เราก็ยังสามารถที่จะปล่อยวางเรื่องง่ายๆ ได้ ถ้าเราฝึกในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ต้องรอเทศกาลแห่งการปล่อยวาง เพราะเราสามารถที่จะปล่อยได้ ทุกขณะของการทำงาน ของการดำเนินชีวิต ไม่ใช่เฉพาะแค่งานอย่างเดียว เวลาเราอาบน้ำ ถูฟัน เราก็วาง วางอนาคต วางอดีต หรือวางงานนการที่ต้องทำถัดจากนี้ไป ไม่ใช่ว่าอาบน้ำไปก็คิดไปแล้วว่าเดี๋ยวจะทำอะไรต่อ กินข้าวก็คิดแล้วนะ เดี๋ยวจะทำอะไรต่อ คิดอย่างนี้ตลอดเวลา แล้วสุดท้ายจิตใจก็เต็มไปด้วยความเครียด ทำอะไรด้วยความลุกลี้ลุกลน รีบๆ ทำ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยึดมั่นถือมั่นอะไรต่ออะไรเต็มไปหมด แม้กระทั่งความทุกข์ ความเครียด ความโกรธ ความหงุดหงิด ความขุ่นเคือง ไม่ปล่อยไม่วางเลย ฉะนั้นถ้าเราอยากจะให้ชีวิตของเราสุขสบายมากขึ้น ต้องฝึกนะ ฝึกให้รู้จักปล่อยวางบ้าง แม้จะปล่อยวางไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ปล่อยวางทีละนิดทีละหน่อย มันก็ทำให้ชีวิตนี้ผ่อนคลายมากขึ้น
7/1/202329 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25660415pm--อยู่กับทุกข์ด้วยใจไม่ทุกข์

15 เม.ย. 66 - อยู่กับทุกข์ด้วยใจไม่ทุกข์ : ความเหนื่อยของคนที่ทำงานเวลานี้ มันไม่ใช่เหนื่อยจากการทำงาน เท่ากับเหนื่อยเพราะใจที่ไปวิตกกังวลกับสิ่งต่างๆ ที่ยังมาไม่ถึง กับยอดที่ต้องทำให้ได้ กับผลสำเร็จที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปตามเป้าไหม เจ้านายเขาจะว่าอย่างไร ถ้าเกิดว่างานไม่เป็นไปอย่างใจเขา คนหรือเพื่อนร่วมงานเขาจะมองอย่างไร คิดไปอย่างนี้ก็ทำให้เกิดความเครียด เกิดความวิตกขึ้นมา แล้วบางทีใจก็ไปจดจ่ออยู่กับเพื่อนที่เขาไม่ค่อยขยันขันแข็งเท่าไหร่ หลายคนไม่ได้เหนื่อยกับงาน เท่ากับเหนื่อยเพราะไปวิตกกังวล หรือไปจ่อมจมอยู่กับเพื่อนที่กินแรง เพื่อนที่เอาเปรียบ เพราะเวลาที่คิดถึงคนเหล่านั้นก็อดบ่นไม่ได้ เกิดความหงุดหงิด เกิดความขุ่นเคือง พวกนี้มันเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ทำให้ผู้คนเหนื่อยใจ ซึ่งมันสร้างความทุกข์ให้กับคนทำงาน ยิ่งกว่าความเหนื่อยเพราะทำงาน   บางทีทำงานขุดดิน ทำสวน หรือว่าขนของ หลายคนจะไม่รู้สึกเหนื่อยเท่ากับความเครียด ความวิตกกังวลเกี่ยวกับงานการ เกี่ยวกับเป้าหมายที่ยังไปไม่ถึง แล้วหลายคนก็กลายเป็นว่าแทนที่จะเหนื่อยอย่างเดียว ก็เหนื่อยสองอย่าง คือเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ
7/1/202325 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25660414pm--มองตนจนรู้ทันกิเลส

14 เม.ย. 66 - มองตนจนรู้ทันกิเลส : เราเห็นกิเลสมากมาย แต่กิเลสก็ไม่ได้ครองใจเราตลอดเวลา มันมาเป็นครั้งคราว มันจรเข้ามา และแม้มันจรเข้ามา เราก็ไม่เผลอให้มันมาครอบงำใจ แล้วเราก็ไม่ลงโทษตัวเองว่าเป็นคนเลว คนแย่ เพราะเห็นต่อไปว่ากิเลสไม่ใช่เรา มันเป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมา คนที่ไม่ปฏิบัติก็จะหลงตนว่าฉันเป็นคนดี ประเสริฐ เลิศ แต่พอปฏิบัติเข้า ถ้าปฏิบัติครึ่งๆ กลางๆ ก็จะรู้สึกว่าฉันแย่ๆ เหวี่ยงไปอีกทางหนึ่ง แต่พอปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่งก็จะพบว่า กิเลสพวกนี้ไม่ใช่เรา และต่อไปก็จะเห็นว่า ไม่ใช่แค่กิเลสนะ ความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ความโศก ความเศร้า ความเครียด ที่เราเรียกรวมๆ ว่าความทุกข์ก็ไม่ใช่เราเหมือนกัน มีความทุกข์ แต่ทุกข์ไม่ใช่เรา หรือเห็นว่ามีโกรธก็จริง แต่ว่าไม่เอา ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ว่าไม่เอา ไม่เอาเพราะมีสติรู้ทัน วางมันลงได้   อันนี้จะทำให้การฝึกจิตหรือการรู้จักตนมีความลึกซึ้งมากขึ้น ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูก มันก็จะเห็นแค่เห็นในเรื่องตื้นๆ เห็นแค่ความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เห็นแล้วก็วาง เห็นแล้วก็วาง แล้วใจก็สงบ แต่ยังปล่อยให้กิเลสเล่นงานจิตใจเราได้ เพราะไม่เห็น ไม่รู้ทันมัน แต่ถ้าเราดูใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เราก็จะเห็นกิเลสทั้งระดับกลาง ทั้งระดับหยาบที่เคยก่อกวนหลอกล่อเรา ต้องไม่ให้มันเข้ามามีอิทธิพลครอบงำเราเหมือนก่อน
6/27/202320 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25660413pm--ทุกข์เพราะหลง สุขเพราะรู้

13 เม.ย. 66 - ทุกข์เพราะหลง สุขเพราะรู้ : ถ้าหากว่าความหลงน้อยลง มีความรู้สึกตัวมากขึ้น ความสุขมันก็จะมาแทนที่ ให้ความรู้สึกตัวมาแทนความหลงเมื่อไหร่ ความสุขมันก็จะมาแทนความทุกข์ มันเป็นสุขแบบเรียบๆ แต่ว่าปลอดโปร่ง ทำให้ใจเป็นอิสระ ไม่เหมือนสุขจากความสนุกสนาน จากการเสพ แล้วถ้าเราสัมผัสกับความสุขเพราะรู้สึกตัวมากขึ้น มันก็จะเกิดเรี่ยวแรง เกิดกำลังใจ เราก็จะพบว่าสตินี่ทีแรกเราเป็นฝ่ายรักษา เป็นฝ่ายสร้างสติ แต่ทำไปๆ สติจะมารักษาเรา สิ่งที่เราทำคือการเจริญสติ สติมันไม่ได้เกิดจากเราอย่างเดียว หรือเกิดจากการกระทำของเราอย่างเดียว มันกลับมาปรุงแต่งทำให้ใจเราปลอดโปร่ง ผ่องใส แล้วคลายทุกข์ได้ด้วย
6/27/202328 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25660412pm--เรียนธรรมจากประสบการณ์ชีวิต

12 เม.ย. 66 - เรียนธรรมจากประสบการณ์ชีวิต : เราจะไม่ต้องเอาธรรมะใส่ให้เขา หรือเอาธรรมะยัดเยียดให้เขา แต่พอช่วยเขาทางอื่น ช่วยให้เขาปล่อยวางเพราะหมดห่วง และช่วยให้เขาเกิดจิตใจที่เป็นกุศล มีปีติเพราะระลึกถึงความดีที่ได้ทำ ใจมันก็พร้อมที่จะน้อมรับความตายได้ เพราะเส้นทางสู่ธรรมะนั้นมีหลายเส้นทาง เส้นทางที่ธรรมะจะเข้าสู่ใจคนมันก็มีหลายเส้นทาง ไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียวคือการสอนธรรมะหรือการให้ฟังธรรมะ การช่วยวิธีอื่นที่ทำให้จิตใจเป็นกุศล จิตใจเกิดความโปร่งโล่ง อันนี้มันก็เป็นการช่วยทำให้เขายอมรับความจริงของชีวิตได้เหมือนกัน เรียกว่าเข้าถึงธรรมะได้โดยที่เราไม่ต้องยัดเยียด บางคนถ้าเกิดเขามีความรู้สึกอบอุ่นใจ มีความมั่นใจว่า มีสิ่งที่จะมาช่วยน้อมนำให้เขาไปกุศลได้ เขาก็มีความสุขพร้อมจะไป บางคนมีความเชื่อว่าไปแล้วจะได้ไปพบพระพุทธเจ้า ไปแล้วจะได้ไปกราบพระเกศแก้วมณีในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พอมีความเชื่อเช่นนี้มันก็พร้อมตาย หรือมีความเชื่อว่าไปแล้วฉันจะได้ไปดี เพราะฉันทำความดีมาเยอะ คนเหล่านี้เขาก็พร้อมตายโดยที่ไม่จำเป็นต้องไปยัดเยียดให้เขา เพราะเขารู้ว่าชีวิตที่ผ่านมามีคุณค่า มั่นใจว่าข้างหน้านี่เป็นทางที่ดี หรือใจได้นึกถึงสิ่งที่เกิดความอบอุ่นใจ
6/27/202327 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660411pm--เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตแบบไหน

11 เม.ย. 66 - เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตแบบไหน : แม้กระทั่งถึงวันที่เราจะต้องประสบความสูญเสีย เราก็ยังเลือกได้ ระหว่างคนที่ทุกข์ระทม เศร้าโศก ตีอกชกหัว กับคนที่สงบ นิ่ง มั่นคง ไม่หวั่นไหว แต่การที่เราจะเลือกแบบนี้ได้ มันต้องลงทุนลงแรงด้วย ไม่ใช่ว่าแค่อยากเฉยๆ แต่ว่าต้องลงทุนด้วยการปฏิบัติ เหมือนกับถ้าอยากจะให้วัยชราของเราเป็นวัยที่กระฉับกระเฉง มีสุขภาพดี ไม่นอนซม ก็ต้องออกกำลังกายตั้งแต่ตอนนี้ หรือออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมอาหารตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว เช่นเดียวกัน หากว่าเราปรารถนาที่จะรักษาใจให้สงบมั่นคงเมื่อยามที่ต้องสูญเสีย หรือแม้กระทั่งเมื่อยามที่เราเผชิญหน้ากับความตาย เราก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ ว่าเราจะฝึกตนฝึกใจมากน้อยเพียงใด แค่ออกกำลังกาย คุมอาหารคงไม่พอ มันก็มีประโยชน์สำหรับการมีสุขภาพดีในวัยชรา   แต่ว่าถ้าหากต้องการที่จะมีสุขภาพจิตเป็นปกติ ไม่จมอยู่ในความทุกข์ ก็ต้องฝึกใจด้วย แล้วไม่ใช่มาฝึกเอาตอนที่ใกล้จะสูญเสีย เพราะเราไม่รู้ว่าจะสูญเสียเมื่อไหร่ หรือมาฝึกเอาตอนใกล้จะตาย เพราะบางทีอาจจะไม่มีเวลาฝึกก็ได้ เราต้องทำตั้งแต่ตอนนี้   ต้องตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้แล้วว่า เราจะเลือกสถานการณ์หรือเลือกฉากทัศน์แบบไหน ถ้าเราต้องการเลือกสถานการณ์หรือฉากทัศน์ที่เป็นความสงบร่มเย็น เป็นปกติ ไม่จมอยู่ในความทุกข์ ก็ต้องเริ่มฝึกจิตฝึกใจตั้งแต่ตอนนี้แล้ว เริ่มทำความเพียรตั้งแต่ตอนนี้แล้ว นี่คือสิ่งที่เราเลือกได้
6/27/202326 minutes, 31 seconds
Episode Artwork

25660410pm--ชนะใจด้วยการให้

10 เม.ย. 66 - ชนะใจด้วยการให้ 
6/25/202331 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25660409pm--คืนสู่ความปกติธรรมดา

9 เม.ย. 66 - คืนสู่ความปกติธรรมดา 
6/25/202327 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25660408pm--ใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น

8 เม.ย. 66 - ใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น 
6/25/202327 minutes, 1 second
Episode Artwork

25660407pm--พบสุขโดยไม่ต้องตามหา

7 เม.ย. 66 - พบสุขโดยไม่ต้องตามหา
6/25/202327 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25660329pm--สิ่งที่พ่วงมากับความสุข

29 มี.ค. 66 - สิ่งที่พ่วงมากับความสุข
6/21/202330 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25660326pm--ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า

26 มี.ค. 66 - ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า
6/21/202328 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660325pm--ถามถูกก็หลุดจากทุกข์ได้

25 มี.ค. 66 - ถามถูกก็หลุดจากทุกข์ได้
6/21/202326 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25660324pm--รักษาใจไม่ให้หวั่นไหวในโลกธรรม

24 มี.ค. 66 - รักษาใจไม่ให้หวั่นไหวในโลกธรรม
6/21/202330 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25660323pm--พลังแห่งศรัทธา

23 มี.ค. 66 - พลังแห่งศรัทธา
6/20/202327 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25660322pm--ตัดไฟก่อนเผาไหม้ใจ

22 มี.ค. 66 - ตัดไฟก่อนเผาไหม้ใจ
6/20/202328 minutes
Episode Artwork

25660321pm--อยากพ้นทุกข์ ต้องไม่กลัวทุกข์

21 มี.ค. 66 - อยากพ้นทุกข์ ต้องไม่กลัวทุกข์
6/20/202327 minutes, 52 seconds
Episode Artwork

25660315pm--ทำไมหมอและพยาบาลควรเรียนรู้เรื่องความตาย

15 มี.ค. 66 - ทำไมหมอและพยาบาลควรเรียนรู้เรื่องความตาย
6/20/202331 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25660313pm--อ่อนโยนต่อจิต ให้อิสระแก่ใจ

13 มี.ค. 66 - อ่อนโยนต่อจิต ให้อิสระแก่ใจ
6/5/202328 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660312pm--ไม่เผลอ ไม่เพ่ง แค่รู้ทัน

12 มี.ค. 66 - ไม่เผลอ ไม่เพ่ง แค่รู้ทัน
6/5/202328 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25660310pm--หมั่นสร้างนิสัยทำทีละอย่าง

10 มี.ค. 66 - หมั่นสร้างนิสัยทำทีละอย่าง
6/5/202329 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25660309pm--จะฝึกฝนตนหรือปรนเปรอตน

9 มี.ค. 66 - จะฝึกฝนตนหรือปรนเปรอตน
6/5/202327 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25660308pm--ไม่มีอะไรที่ให้ความหวังล้วนๆ

8 มี.ค. 66 - ไม่มีอะไรที่ให้ความหวังล้วน ๆ
5/20/202326 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25660307pm--มองบวกและวางใจให้ถูกต้อง

7 มี.ค. 66 - มองบวกและวางใจให้ถูกต้อง
5/20/202329 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25660306pm--บันไดสู่ความพ้นทุกข์

6 มี.ค. 66 - บันไดสู่ความพ้นทุกข์
5/20/202344 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25660305pm--อย่าให้เจตนาดีส่งผลเสีย

5 มี.ค. 66 - อย่าให้เจตนาดีส่งผลเสีย
5/20/202329 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25660305pm--นวัตกรรมชุมชนวิถีพุทธ

5 มี.ค. 66 - นวัตกรรมชุมชนวิถีพุทธ
5/10/20231 hour, 4 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25660227pm--เรียนรู้จากทุกข์ หาประโยชน์จากประสบการณ์

27 ก.พ. 66 - เรียนรู้จากทุกข์ หาประโยชน์จากประสบการณ์
5/8/202340 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25660224pm--อยู่ด้วยปัญญา อย่าใช่แค่ความรู้สึก

24 ก.พ. 66 - อยู่ด้วยปัญญา อย่าใช่แค่ความรู้สึก : อันนี้มันเกิดขึ้นได้นะเพราะว่ารู้จักใคร่ครวญ เรียนรู้จากทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจ หรือทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา เหตุร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ก็รู้จักใคร่ครวญ อันนี้มันเกิดขึ้นได้เพราะว่าการที่ไม่ปล่อยให้ชีวิตเราเนี่ยมันไปถูกกำหนดโดยทุกขเวทนา หรือเอาเวทนาเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา พูดง่ายๆคือไม่ได้อยู่ด้วยความรู้สึก แต่อยู่ด้วยความรู้ และความรู้ที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้เพราะว่ามันมีความรู้สึกตัวนะ มีความทุกข์แล้วถ้าไม่รู้สึกตัวนี่ มันก็ไม่เกิดการใคร่ครวญจนเกิดความรู้เกิดปัญญาเข้าใจความจริง ความรู้เนี่ยมันเกิดขึ้นได้เพราะความรู้สึกตัว และความรู้สึกตัว มันช่วยทำให้ความรู้สึกสุขทุกข์ไม่ครอบงำจิตใจ เราอยู่กับความรู้สึกมามาก มาบ่อยแล้ว ให้รู้จักอยู่กับความรู้สึกตัวดูบ้าง เพราะความรู้สึกตัวที่มันช่วยทำให้ความรู้เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
5/8/202327 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25660223pm--ศิลปะแห่งความพอดี

23 ก.พ. 66 - ศิลปะแห่งความพอดี : ชีวิตนี่เป็นเรื่องของศิลปะแห่งความพอดี มันไม่ได้มีสูตรว่าจะต้องเอาอะไรเป็นหลัก แล้วถ้าเรามีสติมันก็ช่วยทำให้เรารู้ว่าเมื่อใดควรจะฟังเหตุฟังผล เอาความถูกต้อง แต่เมื่อใดควรจะใช้ความรู้สึก ใช้อารมณ์ ใช้ความเห็นอกเห็นใจ อย่างมีคุณหมอคนหนึ่งบอก เวลาสามีภรรยาหรือแฟนทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน อย่าใช้เหตุใช้ผล ให้ใช้อารมณ์ อารมณ์ที่ว่าหมายถึงความรัก ให้ความรักมันลอยขึ้นมา อย่าใช้เหตุผล เพราะใช้เหตุผลเมื่อไหร่ มันจะเป็นการเอาผิดเอาถูก ทำให้ความขัดแย้งลุกลามมากขึ้น   ความขัดแย้งมันลุกลามเพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็จะบอกว่าฉันถูกแกผิด อีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าเธอผิดฉันถูก เหตุผลทั้งนั้นแหละ แต่แล้วมันก็กลับทำให้ความขัดแย้งลุกลามมากขึ้น   หลวงพ่อคำเขียนพูดอยู่เสมอว่าอย่าเอาถูกเอาผิด อย่าเอาเหตุเอาผลมากเกินไป เพราะว่ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่จะใช้ได้ในทุกกรณี ถ้าคนเรายึดมั่นแต่ความถูกความผิด หรือใช้เหตุใช้ผลอย่างเดียวมันก็แย่ และสิ่งที่จะช่วยทำให้เรารู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้เหตุใช้ผล เมื่อไหร่ควรจะใช้ความถูกต้อง เมื่อไหร่จะเอาอารมณ์ ไม่เอาถูกเอาผิด สิ่งนั้นคือสติ ซึ่งจะช่วยทำให้เราใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
5/8/202328 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660222pm--เฮงหรือซวยแค่ไหน ก็ไม่หวั่นไหว

22 ก.พ. 66 - เฮงหรือซวยแค่ไหน ก็ไม่หวั่นไหว : พอมีปัญญาเห็นแบบนี้เนี่ย มันไม่กลัวเรื่องความตาย แล้วก็พร้อมที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นธรรม เจอทุกข์ก็เห็นธรรม หรืออย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” ถ้าคนเรามีปัญญามีสติจนกระทั่งมั่นใจว่า “เห็นทุกข์ก็พ้นทุกข์” หรือ “เห็นทุกข์ก็เปลี่ยนเป็นธรรม” ได้นี่ มันก็ไม่หวั่นไหวในเรื่องความเฮงหรือความซวย สิ่งเหล่านี้ก็จะมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราน้อยลง ทำให้เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตด้วยสติด้วยปัญญาได้ ก็จริงอยู่นะ คนเรา ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ก็มีความเชื่อในเรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย เรื่องโชคเรื่องลาง เรื่องความเฮงความซวย เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อธิบายไม่ได้ แต่ว่าถ้าเรามีสติมีปัญญามากเท่าไร ความเชื่อเหล่านี้ก็จะมีอิทธิพลต่อจิตใจเราน้อยลง และทำให้เรามีความโปร่งความเบาได้มากขึ้น เพราะเราไม่หวั่นกลัวนะ  ไม่หวั่นกลัวทุกข์ เพราะเราสามารถที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นธรรมได้ และเราก็ไม่ได้อยากได้ใคร่ดีอะไร เพราะรู้ว่ามันก็ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ สิ่งนี้แหละที่จะทำให้เราเป็นอิสระอย่างแท้จริง อิสระด้วยธรรม ไม่ใช่ตกอยู่ในอำนาจของความเชื่อทำนองนี้
5/8/202327 minutes, 36 seconds
Episode Artwork

25660221pm--แก้ทุกข์ได้เมื่อมั่นใจในธรรม

21 ก.พ. 66 - แก้ทุกข์ได้เมื่อมั่นใจในธรรม : ถ้าหากว่ายังไม่เคยเห็นว่า สติมันช่วยทำให้รับมือกับความทุกข์ได้ ไม่ต้องบังคับจิต ไม่ต้องกดข่มอารมณ์ แค่เห็นมัน เห็นความคิดเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น แค่การเห็น หรือว่าการรู้ซื่อๆ มันมีอานิสงส์มีอานุภาพมาก พอเห็นตรงนี้ ก็เกิดความมั่นใจที่จะฝึกเห็น ฝึกรู้ ฝึกดูเฉยๆ มากขึ้น แล้วยิ่งทำๆ ก็ยิ่งทำถูก จากเดิมเห็นทีไร อดไม่ได้จะเข้าไปจ้องทุกที หรือแทนที่จะเห็นก็เข้าไปเพ่ง หรือแทนที่จะรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ ก็เข้าไปกดข่มมัน เผลออยู่เรื่อย เผลอเข้าไปบี้มัน เข้าไปกดข่มอารมณ์  แต่ว่าพอทำบ่อยๆ ชำนิชำนาญ ก็รู้ว่า รู้ซื่อๆ เป็นอย่างไร แล้วยิ่งเห็นผลว่า มันช่วยทำให้หลุดจากอารมณ์ได้ ช่วยทำให้อารมณ์หรือความทุกข์เข้ามาครอบงำจิตใจไม่ได้ ก็ยิ่งเกิดฉันทะในการปฏิบัติ  ความรู้สึกตัวก็เหมือนกัน พูดไปหลายครั้งก็ไม่ค่อยเกิดความศรัทธาเท่าไหร่ เพราะยังไม่ค่อยเห็นผล ยังไม่มีความมั่นใจ แต่พอพบว่าความรู้สึกตัวมันช่วยทำให้หลุดจากอารมณ์ได้ ก็เกิดความมั่นใจและเกิดฉันทะ เกิดความเพียรพยายามในการปฏิบัติมากขึ้น  สุดท้ายพอถึงเวลามีความทุกข์ มันก็ไม่ต้องไปพึ่งพาอบายมุข ไปพึ่งพากามสุขเพื่อทำให้ลืมความทุกข์ชั่วคราว หรือไม่ไปหวังพึ่งโชคหรือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ไปหวังพึ่งใครมาช่วยจัดการแก้ปัญหาให้เรา เราแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ด้วยการแก้ที่ใจ มันเกิดขึ้นเองเพราะมั่นใจ มั่นใจในธรรมะ
4/18/202326 minutes, 19 seconds
Episode Artwork

25660220pm--มองให้เป็น จึงเห็นธรรม

20 ก.พ. 66 - มองให้เป็น จึงเห็นธรรม : ไม่ว่าเจออะไรเห็นอะไร มันก็เป็นเครื่องสอนใจ เครื่องเตือนใจ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเห็นคนที่สงบสำรวม ก็ยิ่งทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการที่จะทำความเพียร เพื่อจะได้มีความสงบสำรวม หรือเห็นคุณค่าของธรรมะที่ทำให้คนที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเรานี้สงบสำรวม  อย่างที่อุปติสสะหรือพระสารีบุตรในเวลาต่อมา เห็นพระอัสสชิท่านสงบสำรวมมาก ก็เกิดความสะดุดใจ และทำให้ท่านได้เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา หลังจากได้ฟังภาษิตของพระอัสสชิซึ่งมีแค่ 2 ประโยคเท่านั้นแหละ “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตกล่าวถึงเหตุแห่งธรรม และความดับแห่งธรรมนั้น” นี้เป็นคำสอนของพระมหาสมณะ คือพระพุทธเจ้า เท่านี้แหละ พระสารีบุตรหรืออุปติสสะดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันเลย อันนี้เรียกว่าเพราะรู้จักใคร่ครวญด้วย เพราะฉะนั้นในด้านหนึ่งเราก็ต้องรู้จักหันมามองใจ หันมาดูข้างใน ดูกายและใจ ดูด้วยสติ เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต ซึ่งต่อไปก็จะทำให้เห็นธรรมในธรรม แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมองสิ่งภายนอก ก็มองด้วยปัญญาหรือโยนิโสมนสิการ น้อมเข้ามาใส่ตัว เพราะถ้ามองเป็นก็เห็นธรรม เห็นธรรมที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้
4/18/202326 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25660219pm--ใจปลอดภัย ถ้าใช้สติเป็น

19 ก.พ. 66 - ใจปลอดภัย ถ้าใช้สติเป็น : ความรู้สึกตัวหรือความรู้สึกทางกายเวลาเราเขยื้อนขยับมือ หรือกำลังทำอะไรก็ตาม ถ้าเราทำจนคุ้นเคยใช้เป็น มันจะเป็นตัวเรียกสติให้กลับมาได้ไว อย่างคนที่เดินจงกรมบ่อยๆ หรือขยับมือบ่อยๆ เวลาใจลอยขึ้นมา สักพักความรู้สึกทางกายมันจะไปเรียกจิตให้มันกลับมา หรือไปเรียกสติให้มันกลับมา เพื่อที่จะดึงจิตออกจากความหลง ออกจากความทุกข์ ออกจากความเครียด กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา  อันนี้คือสิ่งที่ใครๆ ก็ทำให้ถ้าหากว่าได้ทดลองปฏิบัติ ทำบ่อยๆ สติก็จะกลับมาไว สติก็จะรู้ได้เร็ว แล้วก็พาจิตกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว กลับมาอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าไม่ปฏิบัติมันก็ไม่เข้าใจ เพียงแค่ “สติรู้ทันความคิดและอารมณ์” พูดแค่นี้ก็งงกันแล้ว  คนที่ฟังแต่ธรรมะแต่ไม่ปฏิบัติ มันก็จะมีคำถามว่า “สติคืออะไร” “สติทำงานอย่างไร” “สติสำคัญอย่างไร” แต่ถ้าปฏิบัติ ทีละเล็กทีละน้อย มันจะเข้าใจ พอเข้าใจแล้วก็จะสามารถทำให้สติทำงานได้เร็วขึ้น แล้วช่วยให้จิตมีเครื่องรักษา มีสิ่งดูแลให้ปลอดภัยได้
4/18/202329 minutes, 51 seconds
Episode Artwork

25660215pm--ปล่อยวางทุกข์ ไม่ยึดสุข

15 ก.พ. 66 - ปล่อยวางทุกข์ ไม่ยึดสุข 
4/18/202328 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25660214pm--ขังคอกก่อนติดปีกให้เป็นอิสระ

14 ก.พ. 66 - ขังคอกก่อนติดปีกให้เป็นอิสระ : อนัตตลักขณสูตรสอนเรื่องนี้โดยตรงเลย ไม่มีเรื่องของความดี ไม่มีเรื่องของศีลเลย มีแต่เรื่องของสัจธรรมล้วนๆ และเป็นสัจธรรมในระดับโลกุตรธรรมเพื่อไม่ให้ยึดมั่นในขันธ์ ไม่ให้ยึดมั่นในตัวตน ไม่ยึดมั่นแม้กระทั่งในสิ่งที่เราที่สมมุติเป็นเราเป็นของเรา อันนี้แหละที่จะทำให้จิตเป็นอิสระ ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสใช้คำว่า ชี้ทางให้บินไปหรือว่าติดปีกให้ ทีแรกก็ขังคอกก่อน หรือว่าพาตัวอยู่ในคอกเพื่อความปลอดภัย แล้วก็ไม่ไปเกกมะเหรกเกเร ไปก่อความวุ่นวายสร้างความเดือดร้อนให้ใคร อยู่ในคอกซะ แล้วก็จะได้ไม่มีสัตว์ร้ายมาทำอันตราย แต่พออยู่ในคอกแล้ว ต่อไปก็ต้องรู้จักติดปีกให้เป็นอิสระ นี่คือจุดหมายสูงสุดนะของพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า มันมี 2 ส่วนที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน แต่ที่จริงไม่ใช่ แต่ว่าเสริมกัน แล้วก็จะมีอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะสอนเรื่องอนัตตาที่หนึ่ง แต่สอนเรื่องการรักตน การฝึกตน 
4/8/202326 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25660213pm--เจออะไรใจไม่ทุกข์ก็ได้

13 ก.พ. 66 - เจออะไรใจไม่ทุกข์ก็ได้ 
4/8/202328 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25660212pm--ความดีมีคุณค่าอย่าดูแคลน

12 ก.พ. 66 - ความดีมีคุณค่าอย่าดูแคลน : การทำความรู้สึกตัว การเจริญสติ หรือการทำความดีช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ไม่ใช่ทำแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วไปรอผลวันหน้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ แต่ว่าเราทำอยู่เรื่อยๆ ให้มันกลายเป็นเนื้อเป็นตัว ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจิตใจ อันนี้มันจะทำให้เรามีหลักประกันที่มั่นคงมากกว่า บางทีอาจจะทำให้เราไม่จำเป็นต้องไปเจอวิกฤตชีวิตในวันข้างหน้าก็ได้ เพราะเราใช้ชีวิตอย่างมีสติ รู้จักรักษาใจให้ผ่องใส แต่ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสที่จะทำสิ่งนั้นให้ต่อเนื่อง แต่ว่าให้มั่นใจว่าสิ่งที่เราทุ่มเทไปสิ่งที่เราลงแรงไป มันย่อมเกิดผลแน่นอน เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่ อันนี้รวมไปถึงการทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่น   อย่างที่เคยพูดเอาไว้ การลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตก็คือ การลงทุนให้กับปฏิบัติธรรม การเจริญสติ การภาวนา และการทำความดี มีน้ำใจต่อผู้อื่น สิ่งเหล่านี้มันไม่มีคำว่าสูญเปล่า มันย่อมส่งผลอย่างแน่นอน และอาจจะส่งผลอย่างยาวไกลก็ได้หากว่าเราทำอย่างสม่ำเสมอ 
4/8/202327 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25660211pm--จากชอบใจเป็นทำใจให้ชอบ

11 ก.พ. 66 - จากชอบใจเป็นทำใจให้ชอบ : เราชอบใจเรื่องอะไร เราก็ต้องเปลี่ยนให้มันเป็นทำใจให้ชอบ เช่น อาหารที่อร่อย เพลงที่เพราะ พอเราฟัง พอเรากิน ใจมันก็เพลิดเพลิน เกิดความชอบขึ้นมา บางทีถึงกับติดอกติดใจ สำหรับการปฏิบัติแล้ว มันยังไม่ดีพอ ต้องเปลี่ยนให้กลายเป็นความปกติ หรือว่าทำใจให้เป็นกลาง ทำใจให้เป็นกลางเรียกว่าทำใจให้ชอบ คือถูกต้อง เป็นกลาง ไม่ขึ้นไม่ลง  การที่เราฝึกให้รู้จักรู้ซื่อๆ ก็คือการทำให้ใจให้เป็นกลางกับสิ่งต่างๆ แม้จะเป็นสิ่งที่ดีก็ไม่เพลิดเพลิน ไม่หลงไหลคือไม่ชอบใจ ไม่ได้ปล่อยใจให้ชอบ แต่ว่ารักษาใจให้เป็นปกติ เราต้องมารู้จักกับความชอบแบบนี้ด้วย 
4/8/202327 minutes
Episode Artwork

25660210pm--รักษาแผลใจด้วยความรู้สึกตัว

10 ก.พ. 66 - รักษาแผลใจด้วยความรู้สึกตัว : ถ้าใจเรามีแผล มีการกระทบอะไรเกิดขึ้นก็ทุกข์ได้ง่าย แล้วคนเราก็อดไม่ได้ที่จะไปโทษรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสสิ่งภายนอกว่าทำให้เราทุกข์ ทำให้เราเจ็บปวดในใจ แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะใจเรามีแผลคือ มันไม่มีสติรักษาใจ จึงปล่อยให้อารมณ์ ความทุกข์ ความกลัวต่างๆ ครอบงำใจ อันนี้คือความจริง ถ้าเราเห็นมัน จะมีคุณมีประโยชน์มาก เพราะมันจะช่วยน้อมนำให้เราหันมาปรับเปลี่ยนที่ใจของเรา ใจที่จะไปคิดปรับเปลี่ยนสิ่งภายนอกหรือว่ากำจัดสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเหตุแห่งความทุกข์ เหตุแห่งความโกรธด้วยความหงุดหงิดออกไป ถ้าเราคิดแบบนั้นก็จะไม่มีทางแก้ปัญหาได้ ก็เหมือนกับหมาขี้เรื้อนมันย้ายที่ย้ายวัดหรือว่าย้ายสถานที่อย่างไรก็ไม่หายคัน เพราะมันไม่ได้แก้ปัญหาที่ถูกจุดก็คือว่ามาแก้ที่ตัวมันนั่นแหละ รักษาแผลให้หาย เหมือนกับการรักษาใจไม่ให้ความหลงครอบงำ มันก็ทำให้ความทุกข์ ยากที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจของเราได้ หรือถึงเกิดขึ้นก็ไม่สามารถเผาลนบีบคั้นหรือว่ากรีดแทงใจเราได้ 
3/30/202331 minutes, 4 seconds
Episode Artwork

25660209pm--ไปไม่ว่า ให้กลับมาไวๆ

9 ก.พ. 66 - ไปไม่ว่า ให้กลับมาไวๆ : หลวงพ่อเทียนบอกว่าอย่าอยู่นิ่งๆ ถ้าไม่เดินจงกรมไม่สร้างจังหวะ ก็ให้คลึงนิ้ว พลิกมือไปพลิกมือมา เพราะความรู้สึกที่เกิดจากการเคลื่อนมือการขยับเท้านี่แหละ ที่จะเป็นตัวดึงจิตให้กลับมา  อย่างที่ว่า มันไปไม่ว่า แต่สำคัญตรงที่ว่ากลับมา มันจะไปกี่ครั้งๆ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่ามันกลับมาบ่อยไหม บางคนไปวัดว่าใจไม่ไหลเลย ทำชั่วโมงหนึ่งใจไม่ไหลเลย หรือใจไหลแค่ 2-3 ครั้ง อันนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่ามันไหลไปแล้วกลับมาไวไหม อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า มันเก่งตรงที่มันกลับมา ไม่ใช่ว่าเก่งตรงที่ไม่ไป แต่เก่งตรงที่มันกลับมาไว กลับมาบ่อยๆ ถ้าเราจับหลักนี้ได้ การปฏิบัติก็จะเป็นเรื่องง่าย 
3/30/202330 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25660208pm--ฝึกจิตได้ง่าย ถ้าไม่ตั้งโจทย์ยาก

8 ก.พ. 66 - ฝึกจิตได้ง่าย ถ้าไม่ตั้งโจทย์ยาก : จะว่าไปมันก็เป็นทั้งความยากและความง่าย เพราะว่าถ้าตั้งใจนึกมันดูง่าย แต่บางทีการที่มันนึกขึ้นมาได้เอง ก็อาจจะง่ายกว่า เพราะเราไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวมันนึกขึ้นมาได้เอง ที่ว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลยเพราะอะไร เพราะมันเป็นงานของสติ สติมันทำงานให้กับเรา มันทำงานแทนเรา ระลึกขึ้นมาได้เองว่ากำลังฟังธรรมอยู่ ขณะนี้กำลังยกมือสร้างจังหวะ กำลังเดินจงกรม มันนึกขึ้นมาได้เอง  เหมือนกับที่เรานึกขึ้นมาได้เอง ขณะกำลังทำงานอยู่ หรือกำลังดูหนังอยู่ ก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่เรานัดเพื่อนเอาไว้ เรานัดว่าจะโทรศัพท์ไปถามข่าวคราวเขา หรือนึกขึ้นมาได้ว่าเราตั้งน้ำร้อนเอาไว้เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ถามว่ามันนึกขึ้นมาได้อย่างไร ไม่รู้ แต่มันนึกขึ้นมาได้เอง  แต่ว่าการนึกขึ้นมาได้เองขณะปฏิบัติ จะว่าไปแม้มันไม่ได้เกิดจากการตั้งใจนึก แต่เราสามารถจะทำให้มันเกิดขึ้นได้เร็ว ด้วยการทำไปเรื่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ปฏิบัติบ่อยๆ ให้โอกาสมันนึกขึ้นมาได้บ่อยๆ แล้วมันจะนึกขึ้นมาได้เร็ว มันจะนึกขึ้นมาได้ไว โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร นอกจากทำไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ  เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะให้การปฏิบัติไม่ใช่เรื่องยาก ก็ตั้งโจทย์ให้มันง่ายซะ ถ้าเราตั้งโจทย์ให้มันยาก การปฏิบัติมันก็จะกลายเป็นเรื่องยาก กลายเป็นเรื่องหินขึ้นมา ลองถามใจเราเองว่าเราตั้งโจทย์ง่ายหรือยาก
3/30/202326 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25660207pm--สุขสุดท้ายที่ปลายทาง

7 ก.พ. 66 - สุขสุดท้ายที่ปลายทาง 
3/30/20231 hour, 13 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25660203pm--ฝึกจิตให้ยอมรับความจริง

3 ก.พ. 66 - ฝึกจิตให้ยอมรับความจริง 
3/23/202327 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660202pm--การลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิต

2 ก.พ. 66 - การลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิต : แค่ถ้าเราฝึกจิตไว้ดี โดยเฉพาะฝึกสติ หนังสือมันจะเป็นบ่าวที่ดีของเรา แต่ถ้าเราปล่อยให้เป็นนายเมื่อไหร่ มันก็จะเป็นนายที่เลว เช่นเดียวกับความคิด ความคิดก็เป็นบ่าวที่ดีแต่เป็นนายที่เลว คนที่ติดหนังสือมากๆ เป็นเพราะว่าความคิดมันฟุ้งซ่านมาก จนกระทั่งต้องเอาหนังสือมาสยบไม่ให้ความคิดฟุ้งซ่าน แต่พอไม่มีหนังสือเมื่อไหร่ก็แย่ แต่ถ้าฝึกสตินะ มีหนังสือก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร เราเป็นนายของมันได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเวลาเกิดปัญหาในชีวิต พลัดพรากจากสิ่งรัก ประสบสิ่งที่ไม่รัก เจอความเจ็บความป่วย เจออุปสรรค เจอการงานล้มเหลว ก็ไม่ทุกข์ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนว่า “งานล้มเหลว แต่หลวงพ่อไม่ล้มเหลว” อันนี้เพราะว่าฝึกสติ ฝึกจิต เพราะฉะนั้นจึงบอกได้ว่า มันไม่มีการลงทุนอะไรที่คุ้มค่าหรือประเสริฐที่สุด เท่ากับการฝึกสติ การอ่านหนังสือก็เป็นการลงทุนที่ดี แต่ว่ามันเป็นรองการฝึกสติและการฝึกจิต 
3/23/202328 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25660201pm--เสริมสร้างฉันทะให้งอกงามในใจ

 1 ก.พ. 66 - เสริมสร้างฉันทะให้งอกงามในใจ : เวลาเห็นธรรมชาติ ถ้ามีฉันทะมันเกิดความกระตือรือร้น ที่อยากจะไปปลูกต้นไม้ อยากจะดูแลต้นไม้ให้งาม เพื่อให้ธรรมชาติได้มีความสมบูรณ์ แต่ถ้าหากว่ามองธรรมชาติด้วยตัณหา มันอยากจะเด็ดดอกไม้ อยากจะเด็ดดอกไม้เอากลับไปบ้าน อยากจะเอาต้นไม้กลับไป หรือว่าอาจจะอยากจะเก็บภาพเอาไว้เพื่อเป็นที่ระลึกเพื่อเป็นความทรงจำ อันนี้เรียกว่าเป็นความใฝ่เสพ เพียงแต่ว่าจะเสพทางไหน แต่ถ้าฉันทะ มันอยากทำ อยากทำให้มันดี อยากทำให้เกิดความดีงามขึ้นกับสิ่งนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ผู้คน สิ่งของ งานการ หรือตัวเอง ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราปลูกฉันทะให้มีขึ้น เท่ากับว่าเราจะมีพื้นฐานที่เข้มแข็งมั่นคงในการปฏิบัติธรรม ฉะนั้นเรื่องฉันทะเป็นเรื่องสำคัญ พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า “ธรรมทั้งปวง มีฉันทะเป็นมูล” ไม่ว่าจะเป็นสัจธรรม คุณธรรม หรือจริยธรรมก็ตาม 
3/23/202330 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25660131pm--เรียนรู้ธรรมจากของจริง

31 ม.ค. 66 - เรียนรู้ธรรมจากของจริง : วิชาธรรมะก็เหมือนกัน ธรรมะที่เป็นเรื่องการบรรเทาทุกข์หรือพ้นทุกข์นี่มันก็ต้องเรียนรู้จากของจริงด้วย รวมทั้งการเจริญสติ การสร้างความรู้สึกตัว ก็ต้องเรียนรู้จากของจริง เวลามีความโกรธ ความเศร้า เราจะเรียนรู้จากมันได้อย่างไร อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนบอกว่า “เราได้ความไม่โกรธเพราะความโกรธ เราได้ความไม่ทุกข์เพราะความทุกข์ เราได้ความไม่หลงเพราะความหลง” ก็คือ ใช้ความโกรธ ความทุกข์ ความหลงนั่นแหละมาเป็นอุปกรณ์ หรือแบบฝึกหัดในการสร้างหรือพัฒนาความไม่โกรธ ความไม่ทุกข์ ความไม่หลง เราต้องรู้จักเรียนจากของจริงด้วย แม้ว่าเราจะไม่ชอบ ของจริงที่ว่า เพราะมันเป็นปัญหา แต่การเรียนรู้จากปัญหานี่แหละที่มันทำให้เราเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเจริญสติ การทำความรู้สึกตัว หรือการเจริญปัญญา ฉะนั้น เวลาเราเจอปัญหาพวกนี้ ก็ให้ถือว่าเรากำลังเจอแบบฝึกหัด แล้วการเรียนรู้จากของจริงนี้ มันเป็นการเรียนรู้ที่จะทำให้เราเกิดพัฒนาการ เกิดการก้าวกระโดด และเกิดความเติบโตได้
3/23/202325 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25660130pm--แค่รักษาของดีที่มีอยู่แล้วในใจเราก็พอ

30 ม.ค. 66 - แค่รักษาของดีที่มีอยู่แล้วในใจเราก็พอ : แต่ถ้าหากยังไม่รู้ว่าจะขจัดปัดเป่าความหลงอย่างไร ก็หันมาสร้างสติ มาสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่องก็แล้วกัน แล้วถ้าทำไปๆ สิ่งที่มันมีอยู่แล้วในใจเราก็จะแสดงตัวออกมา แล้วก็จะเป็นที่พึ่งพาอาศัยของเราได้ ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้เรามีสติมีความรู้สึกตัวหรือมีความสงบได้ เพราะว่าทั้งหมดนี้มันมีอยู่แล้วในใจเรา สิ่งอื่นเป็นแค่ตัวช่วย เหมือนกับป่าที่ช่วยดึงความสงบ ที่มันมีอยู่แล้วในใจเราให้แสดงตัวออกมา หรือเหมือนกับผ้าห่มที่มันเพียงแค่รักษาความอบอุ่น ซึ่งที่จริงก็มาจากร่างกายของเรานั่นแหละ ถ้าเรารักษาสติ รักษาความสงบ รักษาความรูู้สึกตัวในลักษณะนี้ ก็จะทำให้สติ ความรู้สึกตัว ความสงบ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วก็สามารถที่จะปกป้องเราไม่ให้จมอยู่ในความทุกข์ได้
3/19/202327 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25660128pm--อย่าทำดีเพื่อสนองอัตตา

28 ม.ค. 66 - อย่าทำดีเพื่อสนองอัตตา : ถ้าเราดูก็จะพบว่าหมอที่ทุ่มเททำมาก แกไม่ได้ทำเพื่อคนไข้ แต่ทำเพื่อตัวเอง เพื่อสู้กับโรคร้ายที่สร้างความแค้นส่วนตัวให้กับเธอ การทำอย่างนี้สุดท้ายก็ไปตกหนักที่คนไข้ เพราะว่าหมอต้องการยื้อสุดชีวิต สู้ทุกทาง เพื่อไม่ให้ตัวเองได้ชื่อว่าพ่ายแพ้ ทั้งๆ ที่มันก็ธรรมดา โรคบางโรคหรือบางเคสก็รุนแรงจนกระทั่งความตายเป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น ในกรณีแบบนี้ ช่วยให้เขาตายสงบ ก็อาจจะเรียกว่าเป็นความสำเร็จของหมอก็ได้ ไม่ใช่ว่าความตายของคนไข้จะหมายถึงความล้มเหลวของหมอเสมอไป แต่หมอนี่มองเห็นว่าความตายของคนไข้เป็นความล้มเหลวของตัว ก็เลยไม่ยอมให้คนไข้ตาย แล้วถ้าคนไข้ต้องตาย ก็ไม่ยอมให้คนไข้ตายกับมือ ให้หมอคนอื่นมาดูแลแทน ให้คนไข้ไปตายในมือของเขา ไม่ใช่ในมือของตัวเอง อันนี้เรียกว่าเป็นการทำจะเรียกว่าสนองอัตตาก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ดีเลย ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อคนไข้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อตัวเองด้วย
3/19/202323 minutes, 32 seconds
Episode Artwork

25660127pm--มาวัดเพื่อฝึกตนดีกว่า

27 ม.ค. 66 - มาวัดเพื่อฝึกตนดีกว่า : ถ้าเราไม่รู้จักฝึกตน เพื่อรู้จักพบหรือสร้างความสงบให้เกิดขึ้นกับใจของเรา แล้วเราจะรับมือกับความไม่สงบที่เกิดขึ้นกับกายและใจ หรือเกิดขึ้นกับรูปกับนามได้อย่างไร เราจะมีวิชชาในการรับมือกับความไม่สงบหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกายและใจได้ ส่วนหนึ่งก็อาศัยจากการเรียนรู้ที่จะวางใจให้ถูกต้อง เวลามีปัญหาเกิดขึ้นรอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเสียงดัง อากาศหนาว หรือการกระทำ หรือคำพูดของผู้คนที่ไม่ถูกใจ ฉะนั้นถ้าเรามาวัด แล้วตั้งจิตหรือเจตนาว่า เรามาอยู่วัดเพื่อฝึกตน อันนี้เราจะได้ประโยชน์จากการอยู่วัดมาก แต่ถ้าเรามาวัดเพราะด้วยความหวังว่าจะมาหาความสงบ เราจะผิดหวัง หลายคนพออยู่ไปนานๆ โอ๊ะ!ทำไมมันไม่สงบนะ ทำไมเป็นอย่างนี้นะ เกิดความทุกข์ขึ้นมาเลย นี่เพราะเขาตั้งจิตหรือตั้งเจตนาไม่ถูก อาจจะมีประโยชน์ชั่วคราว   เราต้องถามตัวเราเองว่า เรามาวัดเพื่ออะไร มาอยู่วัดเพื่ออะไร เพื่อมาหาความสงบ หรือเพื่อมาฝึกตน ถ้าคิดว่ามาอยู่วัดเพื่อหาความสงบก็ควรจะเปลี่ยน เปลี่ยนมาวัดเพื่อฝึกตน เพราะนั่นจะทำให้เราได้ประโยชน์จากการอยู่วัดมากกว่า แล้วทำให้เรามีวิชชา ถ้าเราฝึกตนให้ถูกต้องได้ เราก็จะมีวิชชาที่จะรับมือกับความไม่สงบที่เกิดขึ้นกับกายและใจ หรือที่เกิดขึ้นจากกิเลสของเรา อันนี้ต่างหากที่จะทำให้ถ้าเรารับมือกับมันได้ จัดการกับมันได้ จึงเรียกว่าเข้าถึงความสงบที่แท้จริง
3/19/202325 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25660126pm--ทำดีง่ายกว่าโชคดี

26 ม.ค. 66 - ทำดีง่ายกว่าโชคดี : เรื่องของใจนี่สำคัญมากทีเดียว ถ้าหากเราวางใจดี แม้มันจะมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ร้ายก็กลายเป็นดีได้ ทำงานประสบอุปสรรค ไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเป็นความล้มเหลว ถ้าวางใจดีก็จะคิดว่า เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย ไม่มีคำว่าล้มเหลว ไม่มีคำว่าเสีย ไม่มีคำว่าเคราะห์ มีแต่คำว่าได้ ถึงเวลาทรัพย์สมบัติถูกไฟไหม้ ถูกน้ำท่วม ก็ไม่โทษว่าเป็นเพราะปีชง ไม่โทษว่าเป็นเพราะเคราะห์หรือมองว่าซวย แต่มองว่าเขามาสอนเรานะว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา หรือของที่อยู่กับเรามันก็อยู่กับเราแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ  เหมือนกับเมื่อสองอาทิตย์ก่อน มีคนมาหาแล้วก็บอกว่า บ้านโดนไฟไหม้ แต่เขาก็บอกว่าโชคดีที่ไม่มีใครตาย ทุกคนปลอดภัย แล้วภรรยาก็บอกว่า มันได้เห็นจริงๆ เลยนะ ว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลย ที่เราสะสมมาทั้งชีวิต สุดท้ายมันก็หายสูญไปกับกองเพลิง ต่อไปนี้ก็คงจะไม่สะสมอีกแล้ว มันก็ช่วยคลายความยึดมั่นได้ อันนี้เรียกว่า เสียทรัพย์แต่ได้ปัญญา ได้เห็นธรรม ซึ่งก็เรียกว่ากำไร ไม่ขาดทุน แต่ถ้าเกิดเหตุแล้วไม่ได้อะไรเลย อันนี้ขาดทุนแน่นอน เอดิสันเขาได้เยอะแยะ ถึงแม้ใครๆ มองว่าเขาล้มเหลว ฉะนั้นคนเรา ถ้าหากเราได้อะไรต่ออะไรจากเหตุร้ายๆ มันก็ไม่เรียกว่าเจอเคราะห์หรือซวย แต่กลับได้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นทุนในการ
3/19/202325 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25660125pm--อย่าลืมนึกถึงอนิจจังของคนที่เรารัก

25 ม.ค. 66 - อย่าลืมนึกถึงอนิจจังของคนที่เรารัก : อนิจจังเป็นคำสอนที่สำคัญในพุทธศาสนา ในแง่หนึ่งท่านก็สอนเพื่อให้เรารู้จักปล่อยวาง อะไรที่มันสูญไปแล้วเสียไปแล้ว ก็อย่าไปเศร้าโศกเสียใจหรือเป็นทุกข์มากเพราะมันไม่เที่ยง บางทีเราก็ใช้เป็นคำปลอบใจ   อนิจจาอนิจจังเป็นทั้งสิ่งที่ช่วยปลอบใจ แล้วก็ช่วยให้เราทำใจ ทำใจคือปล่อยวาง แต่ว่าอนิจจาหรืออนิจจังมีความหมายหรือมีคุณค่ามากกว่านั้น มันเป็นสิ่งที่เตือนใจให้เราอย่านิ่งนอนใจ ปลอบใจก็ดีนะ ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นแล้ว แต่ถ้ามันยังไม่ทันจะเกิดขึ้น ก็อย่านิ่งนอนใจ เพราะมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  คนเราใช้อนิจจังมักจะใช้เพื่อการปลอบใจ หรือใช้เพื่ออย่างมากก็ปล่อยวาง แต่มันไม่พอ มันต้องฝึก มันต้องเตือนให้เราไม่นิ่งนอนใจด้วย ก็คือไม่ประมาท  เมื่อไม่นิ่งนอนใจก็ทำให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรที่ควรทำ เช่น อยากจะขอขมาก็รีบทำเสีย อย่าประมาท หรือว่าอยากจะทำดีกับใคร อยากทำดีกับพ่อแม่ก็รีบทำเสีย อย่าผัดผ่อน เพราะถ้าผัดผ่อนแล้วก็อาจจะเสียใจ บางทีเสียใจไปตลอดชีวิตเลย เพราะว่ารู้แล้วไม่ทำ ยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่รู้ ไม่คิด มันก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่รู้แล้วคิดจะทำ แต่ก็ไม่ทำเพราะผัดผ่อน เพราะประมาท เพราะนิ่งนอนใจ มันไม่ใช่เฉพาะกับคนที่เรารักเท่านั้น แต่รวมถึงตัวเราเองด้วย
3/13/202327 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25660124pm--ลำบากก่อน สบายที่หลังดีกว่า

24 ม.ค. 66 - ลำบากก่อน สบายที่หลังดีกว่า
3/13/202325 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25660123pm--สติฝึกง่ายกว่าที่คิด

23 ม.ค. 66 - สติฝึกง่ายกว่าที่คิด 
3/13/202326 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25660121pm--จำเป็นต้องมีศาสนาหรือไม่

21 ม.ค. 66 - จำเป็นต้องมีศาสนาหรือไม่ : "บางทีก็มีคำถามว่า “นับถือพุทธศาสนาแล้วจำเป็นต้องเข้าวัดไหม ไม่เข้าวัดนี่ได้ไหม บาปไหม” ก็มีคนถามแบบนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนรุ่นใหม่ ที่เขาไม่ได้มีความศรัทธาหรือรู้สึกดื่มด่ำกับการเข้าวัด เขานับถือพุทธศาสนา แต่เขานับถือในความเป็นเหตุเป็นผล ก็เลยสงสัยว่าต้องเข้าวัดไหม เพราะการเข้าวัดสำหรับคนจำนวนมากมันเป็นเรื่องของพิธีกรรม ที่จริงก็ไม่จำเป็นนะ เพราะศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัด ศาสนาไม่ได้ผูกขาดโดยวัด ศาสนานี่อยู่ที่การปฏิบัติ หรือถ้าพูดให้ถูกต้องก็คือ ศาสนาอยู่ที่ใจ อยู่ที่กาย วาจา ใจ ทำกายวาจาให้ดี มีจิตผ่องแผ้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดก็ได้ เพียงแต่การเข้าวัดสำหรับหลายคนมันช่วย เพราะวัดเป็นที่ร่มรื่น เป็นสถานรมณีย์ แล้วก็มีครูบาอาจารย์ มีกัลยาณมิตรที่ช่วยส่งเสริมการปฏิบัติ แต่ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่เป็นไร บางคนต้องดูแลพ่อแม่ บางคนก็มีภาระที่บ้านต้องดูแลลูก   มีบางคนเขาบอกว่า ตั้งใจอยากจะมาปฏิบัติสัก 5 วัน 7 วัน แต่มาไม่ได้เลยเพราะว่าภาระเยอะ แล้วก็ถามว่า บาปไหม แบบนี้ก็มีนะ สงสัยว่าบาปไหม ตั้งใจจะมาแล้วมาไม่ได้ มันจะบาปตรงไหนนะ ในเมื่อเรามีกิจจำเป็น ที่จริงการดูแลพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือนพระอรหันต์ในบ้าน มันกลับได้บุญ แล้วก็อาจจะได้บุญยิ่งกว่าการมาวัดทำบุญถวายสังฆทาน แต่กลับทอดทิ้งพ่อแม่"
3/11/202330 minutes, 47 seconds
Episode Artwork

25660119pm--ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ก็ให้นึกถึงธรรม

19 ม.ค. 66 - ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ก็ให้นึกถึงธรรม 
3/11/202329 minutes, 18 seconds
Episode Artwork

25660118pm-ยิ่งถือก็ยิ่งทุกข์

18 ม.ค. 66 - ยิ่งถือก็ยิ่งทุกข์ 
3/11/202328 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25660117pm--เตือนสติให้ใจด้วยฉันทะ

17 ม.ค. 66 - เตือนสติให้ใจด้วยฉันทะ 
3/6/202325 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25660116pm--ดูแลตนอย่าให้กลายเป็นคนละคน

16 ม.ค. 66 - ดูแลตนอย่าให้กลายเป็นคนละคน : ถ้าหากว่าไม่มีความไปยึดมั่นถือมั่น มันเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทุกข์ แต่ตามนิสัยปุถุชนที่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้นพอเกิดความสูญเสีย เกิดความเจ็บป่วย เกิดความแก่ชรา ก็เกิดความทุกข์ใจตามมา แต่อย่างน้อยถ้าหากว่ามีการสังวรระวัง ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทตั้งแต่แรก แล้วก็ฝึกจิตฝึกใจเอาไว้ ถึงเวลามันเสื่อม มันแปรเปลี่ยนไป มันก็ไม่ทุกข์มาก แล้วยิ่งมีสติ ก็เหมือนกับมีสิ่งที่จะช่วยให้อารมณ์พวกนี้มาเปลี่ยนให้เรากลายเป็นคนละคนได้ยากขึ้น เหมือนอย่างที่บอก มันไม่ใช่เหล้าที่เปลี่ยนนิสัยคน อารมณ์พวกนี้ก็เปลี่ยนนิสัยคนได้ ความโศกเศร้า ความโกรธ ความห่อเหี่ยว ท้อแท้ ผิดหวัง มันเปลี่ยนนิสัยคนให้กลายเป็นคนละคนได้ แต่ถ้าเรามีสติรักษาใจเอาไว้ ไม่ให้อารมณ์เหล่านี้ครอบงำ อย่างน้อยๆ มันก็ไม่ถึงกับเสียศูนย์ ก็ยังพอที่จะตั้งหลักได้   แล้วก็ทำให้สามารถระลึกนึกถึงวิชาความรู้หรือธรรมะ คำสอนของครูบาอาจารย์เพื่อนำมาแก้ไข หรือใช้สติช่วยรักษาใจให้ไม่ถึงกับเสียศูนย์ หรือช่วยทำให้ยังเป็นผู้เป็นคนได้ ไม่อย่างนั้นก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์   หากปล่อยให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ นั่นก็หมายความว่าถูกกำหนดจากสิ่งหรือเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัว รวมทั้งการกระทำและคำพูดของผู้คนที่มากระทบ ทำให้เกิดอารมณ์ สังวรระวังเอาไว้ แล้วก็ใช้ช่วงเวลาที่เรายังปกติสุขเพื่อการฝึกฝน รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
3/6/202326 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25660114pm--รู้ตัวจนไม่ยึดติดตัวตน

14 ม.ค. 66 - รู้ตัวจนไม่ยึดติดตัวตน 
3/6/202326 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25660113pm--ทำอะไรก็ไม่ลืมเป้าหมาย

13 ม.ค. 66 - ทำอะไรก็ไม่ลืมเป้าหมาย : คนที่มีสติกับงานที่ทำก็จะไม่ใจลอย หลงลืม แล้วก็จะรู้ว่าถ้าอยากจะพาแม่ไปเที่ยว พาไปเลย ไม่ต้องรอเกษียณ เดือนหน้าอาจจะช้าไปด้วยซ้ำ มันทำได้ถ้าหากว่ามีสติ มีความรู้สึกตัวในสิ่งที่ทำ แต่พอไม่มีสติอยู่ในกิจที่ทำ เรียกว่าไม่มีโคจรสัมปชัญญะ บางทีก็ลืมไปเลยว่าสิ่งที่เราทำ เราทำไปเพื่ออะไร ฉะนั้นการทำความรู้สึกตัวจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะช่วยทำให้เราสามารถที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วทำสิ่งที่สมควรทำ มีจุดมุ่งหมายอะไรก็ไม่ลืม แล้วก็สามารถทำให้มันสำเร็จได้ในเวลาที่เหมาะสม
3/3/202327 minutes, 43 seconds
Episode Artwork

25660112pm--ฝึกใจให้เป็นมิตรกับตนเอง

12 ม.ค. 66 - ฝึกใจให้เป็นมิตรกับตนเอง : เหมือนกันกับเวลารู้ทันความคิด พอรู้ทันปุ๊บมันไปกดห้ามทันที เพราะอะไร เพราะไม่ชอบ เพราะรู้สึกลบกับมัน ขืนทำอย่างนี้มันก็เท่ากับเป็นการเติมกำลัง เติมพลังให้มัน แต่ถ้าจะเอามันอยู่ก็ต้องรู้ทันแบบรู้ซื่อๆ ไม่ไปผลักไส ไม่ไปตะลุมบอนกับมัน ไม่ไปสู้กับมัน แค่ดูมันเฉยๆ มันก็แปลกนะ พอไม่สู้กับมัน แค่ดูมันเฉยๆ มันก็กลับหมดเรี่ยวหมดแรงไปเลย แต่ถ้าไปสู้กับมัน ก็เท่ากับเป็นการเติมพลังให้มัน เหมือนกับเราเติมเชื้อเติมฟืนให้กับไฟ แทนที่มันจะมอดดับก็เลยลุกโพลงขึ่้นไปใหญ่   คนที่บอกว่า ทำไมควบคุมอารมณ์ไม่ได้สักที ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าไม่ได้รู้เฉยๆ แต่เข้าไปคลุก เข้าไปสู้กับมัน อันนี้เพราะว่าทำไม่ถูก นอกเหนือจากว่ายังไม่ค่อยทำความเพียรหรือปฏิบัติอย่างจริงจัง มีการเลือกปฏิบัติ เวลาดีใจก็ปล่อยใจจมเข้าไปกับความดีใจ แต่พอเสียใจนี่กลับอยากจะมารู้ทันมัน อยากจะควบคุมมัน ไม่ได้นะ มันต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง   ดีใจ เสียใจ ปลาบปลื้ม หรือโกรธเคือง ก็ต้องรู้ทันมันทั้งคู่นะ จะปล่อยใจจมไปกับเรื่องหนึ่งอารมณ์แบบหนึ่ง แล้วมารู้ทันกับอารมณ์อีกแบบหนึ่ง มันยาก   ก็เหมือนกับคนเรานะ ถ้าหากว่ามีคนชมแล้วก็ดีใจ จะให้ไม่เสียใจเวลาเขาตำหนิ ก็ยาก ถ้าไม่อยากเสียใจ ไม่อยากโกรธเวลาถูกตำหนิ ก็อย่าไปดีใจเวลามีคนชม มันต้องทำอย่างนี้ มันถึงจะรู้จักรับมือจัดการกับอารมณ์ที่เป็นลบได้
3/3/202326 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25660111pm--มิตรดีเป็นทั้งหมดของชีวิตดี

11 ม.ค. 66 - มิตรดีเป็นทั้งหมดของชีวิตดี : แม้ว่าคนอยู่รอบตัว คนที่อยู่รอบข้างจะล้มหายตายจากไป จิตก็ยังไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ยังคงเป็นจิตที่เกษมศานต์ เพราะว่าเป็นจิตที่ไม่มีความยึดติดถือมั่นกับสิ่งใด เพราะรู้เท่าทันธรรมชาติธรรมดาของชีวิต ชีวิตพรหมจรรย์จึงประเสริฐกว่าชีวิตทั้งโลก แม้ว่ากัลยาณมิตรจะเป็นทั้งหมดของชีวิตทางโลกที่ดี แต่ว่าก็อย่าพอใจเพียงเท่านั้น ต้องพัฒนาชีวิตทางโลกให้เข้าถึงชีวิตทางธรรม คือพรหมจรรย์ พรหมจรรย์คือการดำเนินชีวิตอันประเสริฐ ไม่ใช่หมายถึงการไม่มีครอบครัว แต่หมายถึงการมีชีวิตอันประเสริฐ ประเสริฐเพราะมีธรรม เพราะเข้าถึงธรรม
3/3/202326 minutes, 22 seconds
Episode Artwork

25660104pm--ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย

4 ม.ค. 66 - ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย : ยิ่งโลภมากก็ยิ่งมีความสุขน้อยลง ยิ่งมีความโลภเยอะก็ยิ่งมีความสุขน้อยลง สุขนี้คือความพอใจในชีวิตเป็นต้น ซึ่งอาจจะหมายความว่า ถ้าเรามองว่า ยิ่งโลภก็ยิ่งรวย ขณะเดียวกัน ยิ่งโลภก็ยิ่งมีความสุขน้อยลง แปลว่า ยิ่งรวยก็ยิ่งมีความสุขน้อยลงไปด้วย อันนี้เขาถาม เวลาเขาถามว่าใครโลภมากหรือน้อย เขาไม่ได้ถามตรงๆ ว่าคุณโลภมากหรือน้อย แต่เขาถามว่าคุณเห็นกับข้อความนี้ไหม เช่นถ้ามีเท่าไหร่ฉันก็ยังไม่พอใจ หรือถ้ามีเท่าไหร่ฉันก็ยังอยากได้อีก คำถามทำนองนี้ก็บ่งบอกได้ว่า มีความโลภมากน้อยเพียงใด อันนี้น่าสนใจ ซึ่งถ้าจะให้ดีถ้าเขาศึกษาไปถึงขั้นที่ว่า ยิ่งมีความโลภมากสุขภาพยิ่งแย่ ยิ่งเจ็บยิ่งป่วยมาก อันนี้ก็จะสอดคล้องกับการศึกษาที่พูดเมื่อสักครู่นี้ ว่าถ้าไม่โกหกเลยก็จะมีสุขภาพดีขึ้น   อันนี้ก็เป็นเรื่องที่จริงๆ เราก็รู้กันมานานแล้ว แต่ว่าไม่มีหลักฐานยืนยันเป็นรูปธรรมเป็นตัวเลข ฝรั่งเขาไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ เขาต้องมีตัวเลขมายืนยันในรูปของสถิติ อันนี้เป็นเรื่องที่ถ้าใครอยากมีความสุข ต้องเห็นความสำคัญของการโลภให้น้อยลง แล้วก็มีศีลให้มากขึ้น
2/19/202328 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25660103pm-เปลี่ยนใจได้ด้วยเมตตา

3 ม.ค. 66 - เปลี่ยนใจได้ด้วยเมตตา 
2/19/202328 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25660102pm--ไม่เอาสุข ไม่เอาทุกข์

2 ม.ค. 66 - ไม่เอาสุข ไม่เอาทุกข์ : ถ้าเราลองฝึกจากการสังเกตจิตใจของเรา เวลามันมีสุขเกิดขึ้นก็เห็นมัน มีความดีใจก็เห็นมัน มีความเสียใจก็เห็นมัน ไม่กระโจนเข้าไปทั้งดีใจหรือเสียใจ ฟูก็เห็นมัน ฟุบก็เห็นมัน เข้าไปยึดทั้งฟูทั้งแฟบ มันสงบก็เห็นมัน มันไม่สงบก็เห็นมัน มันสงบก็ไม่เข้าไปเป็น ไม่สงบไม่เข้าไปเป็น ต่อไปอารมณ์ภายนอกก็เหมือนกัน หอมเหม็น มากน้อย ร้อนหนาว ชมติ ดังค่อย ก็แค่รู้มัน ไม่เพลินไปกับมัน แล้วก็ไม่ผลักมัน ก็ทำให้เราเข้าใกล้ เข้าถึงภาวะที่เหนือสุขเหนือทุกข์ และนั่นก็เรียกว่าเป็นสุขอีกมิติหนึ่ง ฝึกได้นะ จากใจของเรา จากประสบการณ์ จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
2/6/202328 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25660101pm--สิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์ทำแทนไม่ได้

1 ม.ค. 66 (บ่าย) - สิ่งที่ปัญญาประดิษฐ์ทำแทนไม่ได้ : ถ้าเราเข้าใจข้อจำกัดของมัน เราก็จะใช้มันให้เกิดประโยชน์ได้ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจข้อจำกัดของมัน ก็อาจจะปล่อยให้มันเป็นนายเรา เทคโนโลยีพวกนี้มันเป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว เพราะว่าจริงๆ มันก็ยังมีความบกพร่องอยู่ ผู้รู้ที่เขาทดสอบ เขาบอกว่าคำตอบของแชทตัวนี้ยังผิดพลาดอยู่เยอะ ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก หรืออย่างที่อาตมายกตัวอย่าง ถามว่าความรู้สึกตัวคืออะไร มันตอบไม่ได้ ตอบได้แต่ความรู้สึก หรือฟีลลิ่ง หรือเวทนา แต่ต่อไปอาจจะตอบได้ก็ได้ เพราะเขาก็มีพัฒนาการ แต่ถามว่ามันจะช่วยเราแก้ทุกข์ได้ไหม ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายเราก็ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง และการที่เราจะปฏิบัติได้ด้วยตัวเองจนพึ่งตัวเองได้ ก็ยังต้องมีครูบาอาจารย์ ที่มีความเข้าใจในลูกศิษย์แต่ละคน รวมทั้งมีความเมตตากรุณา ซึ่งตรงนี้เครื่องมันทำแทนไม่ได้
1/31/202327 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25660101am--คิดดีพูดดีทำดี รับปีใหม่

1 ม.ค. 66 - คิดดีพูดดีทำดี รับปีใหม่ : นอกจากการที่เราหาประโยชน์หรือมองเห็นประโยชน์จากสิ่งไม่ดีเพื่อที่จะได้เห็นสิ่งดีๆจากมันแล้ว เราต้องรู้จักมองเห็นสิ่งดีๆที่มีอยู่ตั้งแต่ตอนนี้ด้วย การที่จะมองเห็นสิ่งไม่ดีมีดีอย่างไรอาจจะยากสำหรับคนทั่วไปเพราะว่าเรามักจะมองอะไรชั้นเดียว แต่การที่เรารู้จักมองให้มันเลยจากปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่ต่อหน้าว่าในร้ายมีดี มันเป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่าจะทำอย่างนั้นได้ เราต้องเริ่มต้นจากการที่เรารู้จักมองจากสิ่งดีๆที่มีอยู่กับเราเสียก่อน หลายคนแม้มีสิ่งดีๆอยู่รอบตัวหรือเกิดขึ้นกับตัวแต่มองไม่เห็น เพราะฉันนั้นมันก็ง่ายที่จะบ่นว่าเราโชคไม่ดี ปีนี้เป็นปีที่ไม่ดีสำหรับเราเลย เพราะเห็นแต่สิ่งที่ไม่ดี สิ่งดีที่มีอยู่ แล้วก็มากด้วย แต่เรามองไม่เห็น   มีเพื่อนคนหนึ่งเขียนคำอวยพรให้กับเพื่อนอีกคนหนึ่งเนื่องในโอกาสปีใหม่ “ขอให้เธอเห็นความสุข” เธอไม่ได้เขียนว่าขอให้เธอมีความสุข แต่ว่าขอให้เธอเห็นความสุข แปลว่าอะไร แปลว่าเธอมีความสุขอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเธอจะเห็นหรือเปล่า ขอให้เธอเห็นสิ่งดีๆที่เธอมีอยู่ ไม่ได้บอกว่าขอให้เธอพบแต่สิ่งดีๆ เพราะว่าเธอพบอยู่แล้วอยู่ที่ว่าเธอจะเห็นหรือเปล่า
1/31/202325 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25651231pm--ปีใหม่ดีอยู่ที่เรา

31 ธ.ค. 65 - ปีใหม่ดีอยู่ที่เรา : เราจะไม่ต้องรอปีใหม่ ซึ่งบางทีอาจจะอีกตั้งหลายเดือนข้างหน้า แต่ถ้าเราสามารถทำให้ทุกวันเป็นวันใหม่ได้ เราก็จะมีวันดีเกิดขึ้นกับชีวิตของเราทุกวัน ก็ฝากเอาไว้เป็นข้อคิด สำหรับการใช้ชีวิต สำหรับปีใหม่ที่จะมาถึง แล้วก็ตามธรรมเนียม ที่คนเขาปรารถนาการอวยพร อาตมาก็ขออวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่ดี มีพลานามัย ให้มีความมั่นคงในวิถีธรรม มีความมั่นใจในความเพียร ฝึกจิตให้ตั้งมั่น เจอทุกข์ก็ไม่ท้อ เจออะไรใจก็ไม่กระเทือน ให้มีความเจริญในธรรม รักษากายและใจ ให้มีความสุข ความสงบ และขอให้ได้พบความเกษมศานต์ ให้ห่างไกลความทุกข์ยิ่งๆ ขึ้นไป ตลอดปีใหม่ที่จะถึงนี้ ขอเจริญพร
1/23/202330 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25651230pm--จิตบังคับไม่ได้ แต่ฝึกได้

30 ธ.ค. 65 - จิตบังคับไม่ได้ แต่ฝึกได้ : ครูบาอาจารย์ท่านบอก สงบก็รู้ไม่สงบก็รู้ มีความคิดไหลผ่านเข้ามาก็ดูจนกระทั่งมันไป คงไม่ต่างจากดูกระแสน้ำ ดูกระแสน้ำเรานั่งอยู่ริมตลิ่งแล้วก็ดูกระแสน้ำ บางทีมันก็ไหลแรง บางทีมันก็ไหลเอื่อยๆ บางทีมันก็ขุ่น บางทีมันก็ใส ไม่ใช่หน้าที่เราจะไปวิพากษ์วิจารณ์กระแสน้ำ แล้วเราก็ไม่สามารถบังคับควบคุมกระแสน้ำด้วย มันจะไหลแรงมันจะไหลเอื่อย เราก็ควบคุมไม่ได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องควบคุม ถึงเราควบคุมเราก็ทุกข์เปล่าๆ เพราะจะไม่มีทางสำเร็จ หน้าที่เราคือดู หรือบางทีเราก็เปรียบเหมือนดูรถที่มันแล่นผ่าน โดยเฉพาะช่วงนี้ ถนนบางสายรถแล่นผ่านมาเป็นสาย เราก็ดู ไม่ต้องไปทำหน้าที่ห้ามรถ รถจะวิ่งก็ดูมันวิ่งไปผ่านต่อหน้า รถคันไหนไม่ชอบก็ไม่ต้องไปห้าม รถคันไหนชอบก็ไม่ต้องกระโดดขึ้น แต่ส่วนใหญ่เรามักจะทำอย่างนั้นกับความคิด ความคิดบางอย่างเราพยายามห้าม แต่ก็ไม่สำเร็จ ความคิดบางอย่างเราก็อยากจะกระโจนขึ้น เพราะมันชวนให้เพลิดเพลิน   แต่ว่าการเจริญสติ เราไม่ทำอย่างนั้น เราแค่ดูเฉยๆ รถมันจะมากหรือน้อย มันจะดี จะสวยหรือไม่สวยก็เป็นเรื่องของมัน เราก็ดูมันไป วิธีนี้แหละที่ทำให้สติความรู้สึกตัวเติบกล้าขึ้น มันเติบกล้ามันแข็งแรงไม่ใช่เพราะเราอยาก มันไม่ได้อยู่ในอำนาจความอยากของเรา แต่ว่าเราให้โอกาส บางทีเราก็เรียกว่าฝึกจิตให้มีสติ แต่ถ้าพูดถึงการปฏิบัติจริงๆ ก็คือการเปิดโอกาสให้มันได้ทำงานของมัน จนกระทั่งมันเข้มแข็ง เหมือนต้นไม้ ความแข็งแรงหรือการเติบโตเป็นเรื่องของต้นไม้ หน้าที่เราก็เพียงแต่แค่ใส่ปุ๋ยบำรุงดิน แต่การเติบโตให้ดอกให้ผลเป็นเรื่องของเขา ไม่อยู่ในอำนาจของเรา
1/23/202328 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25651229pm--ใช้ชีวิตทุกนาทีอย่างมีค่า

29 ธ.ค. 65 - ใช้ชีวิตทุกนาทีอย่างมีค่า : ในขณะที่คนที่บ่นว่าไม่มีเวลาๆ ชีวิตกลับเหนื่อยล้าแล้วก็บางทีก็ถูกกระแสสังคมพัดพาไปจนไม่รู้เนื้อรู้ตัว กว่าจะรู้ว่าเวลาเหลือน้อยก็สายไปเสียแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเร็วหรือผ่านไปช้า ตื่นเช้ามาก็เตือนตัวเตือนใจอยู่เสมอว่าเวลาเราเหลือน้อยลง ยิ่งปีใหม่กำลังใกล้เข้ามา นั่นก็หมายความว่าเราใกล้ความตายเข้าไปทุกที ก็ถามตัวเองว่าเวลาที่เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ นี้เราจะใช้อย่างไรให้มีคุณค่า เวลานี่ถ้าหากว่าเราใช้ให้ดีก็มีประโยชน์ ถือว่ามีท่าทีมุมมองต่อเวลาอย่างเช่น ถ้าเรามองว่าเวลานี้ย่อมกลืนกินสรรพสิ่งกับทั้งตัวมันเอง เวลาแต่ละนาทีจะมีคุณค่า แล้วขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งกระตุ้นให้เราเร่งทำความดี เร่งฝึกสติเร่งทำความเพียรเพื่อให้เกิดปัญญาเข้าใจชีวิต   แต่ว่าบางคนก็มองเวลานี้เป็นศัตรู เพราะเวลาที่ผ่านไปก็หมายความว่าทำให้เราแก่ แก่เร็วขึ้นทำให้เราใกล้ความตายมากขึ้น แล้วคนจำนวนไม่น้อยมองเวลาเป็นศัตรู ถึงกับหรือบางทีก็มองเวลาว่าไม่มีคุณค่าต้องฆ่าเวลา   แต่ถ้ามองเวลานี้เขาเป็นเครื่องเตือนเรา ยิ่งเวลาเหลือน้อยยิ่งตั้งอยู่ในความไม่ประมาท แล้วยิ่งต้องเร่งทำความดี เร่งฝึกจิตฝึกใจให้มั่นคงเข้มแข็งไม่หวั่นไหวต่อความทุกข์ หรือว่าความแก่ความเจ็บความป่วยหรือความตายที่จะตามมา อันนี้มันเป็นสิ่งที่เวลาเขาจะเตือนเราก็นับว่าเป็นครูที่ช่วยทำให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทมากขึ้น
1/17/202324 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25651228pm--ความจริงเป็นสิ่งที่ต้องรู้จักวาง

28 ธ.ค. 65 - ความจริงเป็นสิ่งที่ต้องรู้จักวาง : แต่คนเราก็มักจะวางไม่เป็น เพราะว่าเราไปยึดมั่นกับสิ่งต่างๆ มาก อย่าว่าแต่อะไรเลย ความคิดความเห็น อารมณ์ความรู้สึกนี่ เราก็ยึดมั่น แต่ถ้าเรารู้จักเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เริ่มจากความคิด ความคิดที่มันเกิดขึ้นมามากมาย แล้วเราก็ไปหลงยึดเอาจริงเอาจังกับมันทุกเรื่อง ให้เรารู้จักปล่อยรู้จักวางบ้าง อย่างแรกที่เราจะได้คือความสงบ ใจไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ถูกความคิดรบกวน และสอง มันก็ ทำให้เรามีทักษะในการที่จะปล่อยวางสิ่งอื่นๆ ตามมา โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศ รวมทั้งความถูกความผิด สิ่งเหล่านี้ถ้าเราไม่รู้จักปล่อยรู้จักวางบ้าง เราไปยึดมั่นสถานเดียว มันก็สร้างความทุกข์ให้กับเรา   แต่ว่าเราจะปล่อยวางมันได้ เราต้องมีสติ ต้องมีประสบการณ์ เพราะหลายคนก็รู้ว่าปล่อยวางดี แต่ว่าปล่อยไม่ได้ เพราะว่ามันยึดตะพึดตะพือ ฉะนั้นการปล่อยวาง ถ้าเราไม่รู้จักฝึก มันก็ทำยากในชีวิตจริง แต่ถ้าเราฝึกเริ่มจากการฝึกปล่อยวางความคิด การเจริญสติ การสร้างความรู้สึกตัว มันก็เป็นแบบฝึกหัด ในขณะที่เราจะได้รู้จักปล่อยวางความคิด แล้วต่อไปเราก็จะปล่อยวางสิ่งต่างๆ ถึงเวลาใช้ก็ใช้มันให้เป็น ถึงเวลายึดก็ยึดมันให้ถูก แต่ถึงเวลาที่จะวางก็วางได้
1/17/202331 minutes, 5 seconds
Episode Artwork

25651227pm--ชักชวนใจให้ใฝ่ประพฤติธรรม

27 ธ.ค. 65 - ชักชวนใจให้ใฝ่ประพฤติธรรม : มีนักปราชญ์กรีกคนหนึ่ง เขาพูดว่า ถ้าเราโกรธใครก็ตาม นั่นแปลว่าเรากำลังปล่อยให้เขาเป็นเจ้านายเรา เพราะว่าเรากำลังยอมให้เขามามีอิทธิพลรบกวนจิตใจของเรา คนที่เป็นอิสระ คนที่รักอิสระ คนที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ย่อมไม่ปล่อยให้ความโกรธ ความเกลียด มาครอบครองใจ พอเห็นความอิสระหรืออิสรภาพในความหมายนี้ มันก็ทำให้เห็นคุณค่าของการปฏิบัติธรรม เห็นคุณค่าของการเจริญสติ เพราะการเจริญสติช่วยทำให้สิ่งเร้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งยั่วยุหรือสิ่งเย้ายวนมามีอิทธิพลต่อจิตใจของเราได้ยาก เวลาเจอสิ่งเสพที่ให้ความเอร็ดอร่อย เราก็ไม่ปล่อยใจให้เป็นทาสของมัน ไม่หลงติดในสิ่งนั้น อันนี้ก็เรียกว่าเป็นอิสระแบบหนึ่ง หรือเวลามีอะไรมายั่วยุ แทนที่จะโกรธ ใจเรากลับสงบได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นอิสระที่คนเราควรจะมี   แต่ว่าคนจำนวนมากไม่ค่อยจะตระหนักเท่าไหร่ อิสระของเขากลับหมายความว่าจะทำอะไรก็ได้ตามใจ แต่ว่าการทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นการทำตามอำนาจของกิเลส หรือทำตามแรงผลักดันชักจูงของสิ่งภายนอก อาจจะเป็นวัตถุสิ่งเสพหรืออาจจะเป็นคนก็ได้ อย่างเช่นเวลาโกรธใครหรือเวลาเกลียดใคร คนก็ไม่ตระหนักว่า เรากำลังปล่อยให้เขามามีอำนาจเหนือจิตใจของเรา เวลาทำอะไรก็นึกถึงเขา แม้จะนึกด้วยความโกรธ ด้วยความเกลียด แต่ก็ทำให้เราไม่มีความสงบในจิตใจ   ถ้าเกิดคนตระหนักว่าการปฏิบัติธรรมจะช่วยทำให้เราไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์พวกนี้เข้ามาครอบงำใจ ซึ่งก็หมายถึงว่าไม่ปล่อยให้ใครมามีอำนาจเหนือเรา จนนอนไม่หลับ จนความดันขึ้น อิสรภาพที่แท้จริงคืออันนี้ และการเจริญสติจะทำให้เราเข้าถึงอิสรภาพอย่างนี้ได้ โดยเฉพาะถ้าเจริญสติจนเกิดปัญญา ชนิดที่ว่าไม่มีความยึดติดถือมั่นในสิ่งใด ไม่ว่าอะไรก็ไม่ทำให้เราทุกข์ได้ ในทางตรงข้ามเรากลับรู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์ด้วยปัญญา
1/9/202326 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25651226pm--หลงแค่ไหนใจก็ยังรู้สึกตัวได้

26 ธ.ค. 65 - หลงแค่ไหนใจก็ยังรู้สึกตัวได้ : เราเจริญสติบ่อยๆ พยายามทำความรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าเราจะอาจจะยังทำได้ไม่ดีนัก แต่ถึงเวลาที่มันเกิดความหลง มันจะหลงไม่ได้นาน มันจะเศร้า มันจะโกรธไม่ได้ต่อเนื่อง มันจะมีจังหวะที่เกิดความรู้ตัวขึ้นมา เกิดสติขึ้นมา และนั่นก็อาจจะมากพอที่จะทำให้เรากลับมาเป็นผู้เป็นคนหรือรู้เนื้อรู้ตัวได้ ฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราทำเป็นอาจิณ ทำเป็นทุนเอาไว้ มันก็ทำให้ความหลงมันไม่สามารถจะครอบงำจนเราหมดเนื้อหมดตัว 100% ยังมีโอกาสที่จะฟื้นขึ้นมา มีโอกาสที่จะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ 
1/9/202327 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25651225pm--มองบวกด้วยปัญญา

25 ธ.ค. 65 - มองบวกด้วยปัญญา : หลวงพ่อคำเขียนชอบพูดว่า เปลี่ยนทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ เปลี่ยนหลงให้กลายเป็นความไม่หลง เปลี่ยนความโกรธให้กลายเป็นความไม่โกรธ อันนี้ก็เป็นอุบายโกศลอีกอย่างหนึ่ง คือความฉลาดในการเปลี่ยนสิ่งที่เป็นลบให้กลายเป็นบวก เปลี่ยนขยะให้กลายเป็นปุ๋ย ฉะนั้นถ้าเราเจออะไรก็ตาม แม้ว่ามันจะแย่ แต่พอเราให้ความหมายใหม่ ว่ามันเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ได้เหมือนกัน มันก็ทำให้เราไม่เพียงแต่จะไม่ทุกข์แล้วนะ แต่ว่ายังได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นด้วย   กิเลส ความโกรธ ก็มีประโยชน์ ถ้าเรามองว่ามันเป็นแบบฝึกหัด เป็นอุปกรณ์ที่สอนให้เรามีสติ ให้เรามีความรู้สึกตัวไวๆ อันนี้ก็จัดว่าเป็นอุบายโกศล หรือว่ากุศโลบายอย่างหนึ่งที่เราควรจะมี พูดง่ายๆ ก็คือรู้จักเปลี่ยนทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาให้กลายเป็นประโยชน์ในการฝึกจิต ในการเพิ่มพูนธรรมะให้เจริญงอกงามในใจเรา 
12/30/202231 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25651218pm--ฝึกใจให้กลับมารู้ตัว

18 ธ.ค. 65 - ฝึกใจให้กลับมารู้ตัว : การรู้กายนี่สำคัญ อย่าไปดูแคลนมัน ฉะนั้นถ้าเราฝึกกายบ่อยๆ ความรู้สึกทางกายจะเป็นตัวช่วยให้จิตกลับมาได้ไว แล้วพอจิตกลับมาไวๆ หรือกลับมาได้ไวขึ้นๆ แปลว่าสติของเราดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ทำให้เรามีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ตรงนี้แหละที่เราเรียกว่ามีความก้าวหน้าแล้ว อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านใช้คำว่า มันเก่งเมื่อมันกลับมา ฉะนั้นถ้ามันคิดมากคิดเยอะก็ไม่เป็นไร ขอให้กลับมาไวๆ กลับมาทุกทีก็แล้วกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่ากว่ามันจะกลับมามันช้านะใหม่ๆ ก็ต้องอดทน อย่าเร่งรีบ ทำไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะเห็นผล เห็นว่าความรู้สึกตัวเกิดขึ้นต่อเนื่องมากขึ้น รู้เนื้อรู้ตัวได้ไวขึ้น
12/25/202227 minutes, 27 seconds
Episode Artwork

25651217pm--ความรู้ที่ช่วยพาตัวให้รอดได้

17 ธ.ค. 65 - ความรู้ที่ช่วยพาตัวให้รอดได้ : เราฝึกสร้างความรู้สึกตัวจากความหลง รู้ว่าหลง แล้วพอมันหายหลงก็กลับมารู้สึกตัว ก็ให้จดจำความรู้สึกนั้นเอาไว้ จดจำบ่อยๆ มันจะรู้ตัวได้ไวขึ้นๆ แล้วมันจะหลุดจากอารมณ์ หรือถอนใจออกมาจากอารมณ์นั้นได้เร็วขึ้นๆ แล้วเราจะพบว่าความรู้ชนิดนี้มันสำคัญมาก เพราะมันจะนำพาเราไปสู่ความรู้เกี่ยวกับกายและใจ ความรู้เกี่ยวกับตัวเราเอง รวมทั้งความรู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไร และทำอย่างไรใจถึงจะปลอดจากความทุกข์ได้ เป็นความรู้ที่สามารถจะช่วยเราได้ ไม่ว่าในยามสุขหรือในยามทุกข์ เป็นสิ่งที่เกื้อกูลเราอย่างแท้จริง
12/24/202229 minutes, 11 seconds
Episode Artwork

25651216pm--หัดฟังเสียงของกายและใจบ้าง

16 ธ.ค. 65 - หัดฟังเสียงของกายและใจบ้าง : คนเราถ้ารู้จักฟังเสียงภายใน ต่อไปเสียงภายนอกที่เป็นเสียงที่สามารถชักนำให้เราเกิดความรู้ความเข้าใจในชีวิตได้ ก็จะได้ยินชัดขึ้น เสียงของครูบาอาจารย์ก็จะไม่ได้เป็นเสียงที่ฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เสียงธรรมะจากธรรมชาติ ก็จะชัดเจนในความรู้สึกของเรามากขึ้น คนที่รู้จักฟังเสียงภายใน เริ่มจากเสียงของร่างกาย แล้วต่อมาก็เสียงของจิตใจ ก็จะมีความสามารถในการที่จะฟังเสียงธรรมะจากสิ่งแวดล้อมภายนอก รวมทั้งจากธรรมชาติได้ แม้กระทั่งเสียงต่อว่าด่าทอ ก็สามารถจะฟังให้เป็นธรรมะได้ เพราะว่ารู้จักแยกแยะ เพราะในใจของเราบางทีมันก็มีเสียงยุแหย่ อย่างที่เคยพูดไปแล้ว เสียงยุแหย่ เสียงเชิญชวนเกลี้ยกล่อมของกิเลส ฉะนั้นคนเราบางทีก็แยกแยะไม่ออกเหมือนกัน ถ้าหากเราไม่รู้จักฟังเสียงภายในอย่างแท้จริง บางทีก็ไปหลงเชื่อเสียงยุแหย่ เสียงหว่านล้อมของกิเลส ก็เข้ารกเข้าพงไป แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าไม่มีสติมากพอ ที่จะใคร่ครวญแยกแยะได้ว่าอะไรคือเสียงที่มันจะพาเราไปสู่หนทางที่ดีงาม หรือเสียงอะไรที่จะพาเราเข้ารกเข้าพง   แต่ถ้าหากเราหมั่นใคร่ครวญหมั่นมองตนอย่างมีสติ ก็จะเริ่มแยกแยะออก แยกแยะระหว่างเสียงของกิเลส เสียงยุแหย่ กับเสียงของความตื่นรู้ เสียงของปัญญา เสียงของโพธิจิต และต่อไปก็รวมทั้งทำให้เราได้ชัดเจนเสียงของธรรมชาติ เสียงของธรรมะที่แสดงตัวออกมาจากธรรมชาติรอบตัวได้ ต้องหมั่นฝึกเอาไว้ ฟังเสียงภายใน เสียงของกาย เสียงของใจ โดยอาศัยสติเป็นสื่อเป็นสะพาน ที่จะเปิดโอกาสให้เราได้รับรู้เสียงเหล่านั้น
12/22/202227 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25651210pm--อย่าหลงเชื่อเสียงยั่วยุในหัว

10 ธ.ค. 65 - อย่าหลงเชื่อเสียงยั่วยุในหัว : แต่หากว่าเรามีสติ ความหลงหรือว่าการถูกครอบงำด้วยอารมณ์ มันก็เกิดขึ้นได้ยาก แล้วพอเรามีสติมีความรู้สึกตัว มันก็ไม่มีทางที่ตัวร้ายหรือว่าเสียงยุเสียงแหย่มันจะมารบกวนจิตใจเราได้ หรือถึงแม้ว่าเราจะไม่มีสติทัน อารมณ์จึงเกิดขึ้น เกิดความยินดีร้าย เกิดความพอใจไม่พอใจ เกิดความหงุดหงิดติดใจขัดใจ แต่ก็ยังไม่สายที่เราจะมีสติ มีสติเห็นอารมณ์ มีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น หรือพอเผลอไปแล้ว หลงไปแล้ว มันมีเสียงยุเสียงแหย่ตามมา เรามีสติก็ไม่ปล่อยใจให้คล้อยตามเสียงยุเสียงแหย่ มันจะหว่านล้อมอย่างไร ใจเราก็ไม่หลงเชื่อ มันจะยุให้เราลองเล่นยา เราก็ไม่ทำ มันจะยุให้เราทุจริต เราก็ไม่ทำ มันจะยุให้เราโดดลงหน้าผา เราก็ไม่สนใจ มันจะยุให้ไปดูคลิปโป๊ หรือว่าไปมีกิ๊ก มันก็เป็นสักแต่ว่าเสียงยุที่ไม่มีความหมายต่อจิตใจของเรา อันนี้เพราะมีสติรู้ทัน จนแม้กระทั่งมันมีเสียงด่า เสียงจ้วงจาบพระรัตนตรัย ด่าครูบาอาจารย์ เสียงตำหนิต่อว่าติเตียนพ่อแม่ เราก็เห็นมันรู้ทันมัน แต่ก่อนก็คิดแต่จะไปต่อสู้เอาชนะมัน กดข่มผลักไสมัน เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี   แต่พอเรามีสติ เรารู้จักวิธีที่จะดูมันเฉยๆ อย่างที่ครูบาอาจารย์เรียกว่ารู้ซื่อๆ มันช่วยได้เยอะนะ คนที่เป็นทุกข์มากเพราะมันมีเสียงด่าพ่อแม่ ตำหนิติเตียนครูบาอาจารย์ หรือจ้วงจาบพระรัตนตรัย ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ก็แค่รับรู้แล้วก็ไม่สนใจมัน มันจะโวยมันจะวาย มันจะบ่นอย่างไร มันจะพูดยังไงเราก็ไม่สนใจ ที่ทำอย่างนั้นได้เพราะมีสติ ถ้าไม่มีสติ มันอดไม่ได้ที่จะไปสู้รบตบมือเสียงในหัวของเหล่านั้น   และหลายคนก็พบว่าพอไม่สนใจมัน แค่รับรู้แต่ไม่สนใจ สุดท้ายเสียงนั้นก็ค่อยเบาลงไปๆ แล้วก็หายไปในที่สุด แต่ก่อนที่มันจะเบาลงไป มันก็จะหาทางยั่วยุ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เราหันไปสู้รบตบมือกับมัน แต่พอเราไม่สนใจเพราะเรามีสติ ในที่สุดมันก็ค่อยจางหายไป 
12/20/202226 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25651209pm--อย่าปล่อยใจให้อารมณ์ครอบงำ

9 ธ.ค. 65 - อย่าปล่อยใจให้อารมณ์ครอบงำ : แล้วบางทีตัวหลงหรือตัวกิเลส ถ้าพูดกับมัน ถ้าเตือนสติดีๆ นี่ก็อาจจะไม่ฟัง แต่ถ้าหากว่ามาเตือนด้วยคำพูดที่ไม่ถูกใจกิเลส มันก็ชะงักได้เหมือนกัน แล้วผลที่ตามมาคือสติกลับมาเลยนะ สองคนนี้พอเจ้านายทักแบบนี้ว่า ใครที่ขี้เหร่พูดก่อน ได้สติขึ้นมาเลย แล้วพอได้สติก็รู้เลย ที่ทำไปเมื่อกี้นี่มันแย่ แต่ตอนที่จมอยู่ในอารมณ์ ไม่คิดที่จะเรียกสติกลับมาเลย มีแต่จะปล่อยใจให้ทำตามอารมณ์ หรือจมดิ่งอยู่ในอารมณ์นั้น ใครเตือนยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ หรือยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่ แต่ว่าพอเจอคำพูดแบบนี้ ได้สติกลับมาเลย แล้วพอได้สติก็รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร แต่ว่าคนเราถ้าจะรอให้มีสติเมื่อมีใครมาทัก เมื่อมีใครมาบอก มันคงไม่พอ มันต้องรู้จักเรียกสติกลับมาด้วยตัวเอง ใหม่ๆ กว่าจะมีสติ มันก็หลงจมเข้าไปในอารมณ์อยู่พักใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเศร้า ทั้งที่เตือนตนว่าถ้าฉันโกรธเมื่อไหร่ ฉันจะกลับมามีสตินะ อย่างบางคนรู้ว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ก็ตั้งใจว่าถ้าโกรธเมื่อไหร่จะกลับมาตามลมหายใจ หรือกลับมาอยู่กับพุทโธ แต่พอถึงเวลาโกรธจริงๆ มันลืมไปหมดเลยที่ตั้งใจจะทำอะไร พุทโธก็ลืม ลมหายใจก็ลืม มันจะไม่ลืมได้อย่างไร เพราะขนาดตัวนี้ยังลืม คือลืมตัว เพราะฉะนั้นอย่างอื่นนี่ก็ลืมไปได้ไม่ยาก ต่อเมื่ออารมณ์มันเบาบางลงแล้วจึงนึกขึ้นมาได้ พอโกรธมันทุเลาเบาบางจึงนึกขึ้นมาได้ นี่เราไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ แต่ว่าเจอแบบนี้ไม่ต้องท้อนะ ก็ขอให้ตั้งใจไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่ากว่าจะมีสติกลับมามันก็ล่วงเลยไปมากแล้ว หรือว่าปล่อยใจไปตามอารมณ์ หรือว่าก่อความเสียหายไปไม่น้อยแล้ว
12/13/202228 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25651208pm--จากผิดเป็นถูก

8 ธ.ค. 65 - จากผิดเป็นถูก : บางทีสิ่งที่เกิดขึ้น คือเลขหนึ่งนี่เราห้ามไม่ได้ คุมไม่ได้ แต่เลขสองนี่เราสามารถจะเลือกได้ สามารถจะคุมหรือกำกับได้ ทีแรกหลงแต่ต่อมาก็รู้ ทีแรกฟุ้งแต่ต่อมาก็รู้ทัน ทีแรกทุกข์แต่ต่อมาก็เห็นประโยขน์จากทุกข์ ทีแรกล้มแต่ต่อมาก็เรียนรู้ที่จะลุกและทรงตัวโดยที่ไม่ล้มง่ายๆ ต่อไป ทีแรกล้มเหลวแต่ต่อมาเราก็เรียนรู้จากความล้มเหลว จะเห็นได้ว่า สิ่งที่เราทำหลังจากมีความทุกข์ มีความล้มเหลว มีความฟุ้ง มีความหลง มีความเผลอพลาด อาจจะสำคัญกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรก แต่ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญตรงนี้ พอเราทุกข์ เริ่มต้นด้วยทุกข์ ต่อมาก็ทุกข์หนักขึ้น ทีแรกล้มเหลวแต่ต่อมาก็ล้มเหลวหนักขึ้น ทีแรกก็หลงแต่ต่อมาก็หลงหนักขึ้น ทีแรกก็ทำผิดแต่ต่อมาก็ทำผิดหนักขึ้น   เพราะฉะนั้น บางครั้งมันไม่ใช่เลขหนึ่งนะที่สำคัญ เลขสองน่ะสำคัญกว่า อย่าปล่อยให้เลขหนึ่งมันมากำหนดการกระทำของเราในลำดับถัดไป แต่เราต้องรู้จักเลือกที่จะทำให้มันดีขึ้น และนั่นก็จะเป็นหนทางสู่ความเจริญงอกงามและการเพิ่มพูนปัญญา ให้เราสามารถอยู่ในโลกที่มันผันผวนแปรปรวนได้ ด้วยใจที่สงบและจิตที่เป็นปกติ
12/11/202225 minutes, 29 seconds
Episode Artwork

25651207pm--ธรรมที่มีอุปการะมาก

7 ธ.ค. 65 - ธรรมที่มีอุปการะมาก : ถ้าเราเข้าใจการทำงานของสัมมาสติ หรือคุณสมบัติของสัมมาสติ เราจะพบว่ามันมีความสำคัญต่อชีวิตของเรามากที่เดียว เพียงแค่ไม่สลบไสล ไม่ละเมอ อันนั้นยังไม่พอ อันนั้นยังไม่ใช่เป็นเพราะอานุภาพของสติ แต่ถ้าหากว่าเราสามารถจะดำรงชีวิตอย่างสงบเย็น ไม่ถูกกิเลสครอบงำ อีกทั้งยังดำเนินชีวิตโดยที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวกูของกู ไม่ยึดในความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกู มันก็ทำให้ชีวิตนี้โปร่งเบา สงบเย็นได้ เพราะฉะนั้นที่ว่าสติเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก มันจึงเป็นคำที่มีความหมายตามตัวอักษรเลยทีเดียว ไม่ใช่เป็นแค่การพูดชนิดที่เป็นการให้ความสำคัญเกินเลยของสติ แต่ที่จริงแล้วเป็นธรรมที่มีอุปการะมากจริงๆ 
12/10/202228 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25651206pm--เอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง

6 ธ.ค. 65 - เอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง : พวกนักวิ่งหลายคนพอเขาสามารถจะก้าวข้ามหรือเอาชนะขีดจำกัดของตัวเองได้ หลายคนพบว่ามีความสุขได้ง่าย ไม่ต้องแสวงหาเงินทองชื่อเสียง อยู่ง่ายๆ ก็มีความสุข เพราะว่าความสุขจากการเอาชนะขีดจำกัดของตัวเองได้ ก็สามารถจะมาหล่อเลี้ยงชดเชยความสุขจากสิ่งเสพ ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องไปวิ่งไล่ล่าเพื่อให้ไปถึงเพดานแห่งความสุขก็ได้ แต่คนเราถึงไม่ใช่นักวิ่ง ถ้าเราปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา ถ้าเราได้พบความสงบซึ่งเกิดจากสติ จากความรู้สึกตัว ก็สามารถจะมาหล่อเลี้ยงจิตใจเรา ทำให้จิตใจเราไม่ต้องไปแสวงหาความสุขจากสิ่งเสพ และมาพบกับความเบื่อที่เพดานแห่งความสุขเขยิบขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ ปัญหานี้จะหมดไป ถ้าหากว่าเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ในเรื่องของสมาธิภาวนา
12/7/202228 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25651202pm-ฝึกใจให้รู้ทันความคิด

2 ธ.ค. 65 - ฝึกใจให้รู้ทันความคิด : หลายคนบอกว่าปฏิบัติแล้วยาก ส่วนหนึ่งเป็นพราะมันง่วง ส่วนหนึ่งเพราะมันน่าเบื่อ แต่ถ้าหากเราอดทนทำไปเรื่อยๆ มันก็จะระลึกนึกขึ้นมาได้ไว แล้วจะพบเลยว่าความระลึกนึกขึ้นมาได้แบบนี้ มันทำให้ใจสงบได้เร็ว มันเป็นความสงบไม่ใช่เพราะไม่คิดนะ แต่สงบเพราะรู้ทันความคิด ซึ่งอันนี้เป็นงานของสติ แล้วถ้าเราทำบ่อยๆ สติเราจะมีกำลัง จนกระทั่งเราสามารถที่จะปล่อยวางความคิดนึกและอารณ์ต่างๆ ได้เร็วขึ้น แล้วช่องว่างที่ปราศจากอารมณ์หรือไม่ถูกอารมณ์รบกวน ที่เราเรียกว่าความสงบ มันก็จะต่อเนื่อง แล้วเราก็จะรู้สึกได้ถึงความสงบ ไม่ใช่สงบเพราะไม่คิด แต่สงบเพราะรู้ทันความคิด อันนี้แหละคือสิ่งที่เราพึงคาดหวังจากการมาปฏิบัติที่นี่ รวมทั้งจากการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราด้วย
12/6/202230 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25651201pm--อยู่ง่ายเพราะรู้จักตนเอง

1 ธ.ค. 65 - อยู่ง่ายเพราะรู้จักตนเอง : เวลาพูดถึงความสงบ หลายคนนึกถึงสมาธิ แต่อย่าไปมองข้ามสติเด็ดขาดเลยนะ เพราะสติมันสำคัญมาก มันทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ เราอาจจะห้ามความคิดไม่ได้ และเราห้ามได้ยากด้วย แต่เราสามารถที่จะทำให้ความคิดนั้นไม่มารบกวนจิตใจได้ ก็เพราะเรามีสติ รู้ทันความคิด รู้จักปล่อยรู้จักวาง แล้วถ้าทำอย่างนี้ได้ชีวิตมันจะอยู่ง่ายขึ้น ในด้านหนึ่งเราจะไม่เป็นทาสของความสะดวกสบาย เราจะไม่ยอมทุ่มเทอะไรต่ออะไรหลายอย่าง เพื่อแลกความสะดวกสบาย ทั้งที่สิ่งที่เสียไปนั้นมันมีค่า เราจะไม่เป็นทาสของความสะดวกสบาย และขณะเดียวกัน เราก็จะพบกับความสบายที่ใจด้วย ไม่ใช่แค่สบายกายอย่างเดียว ใจก็สบายด้วย สบายเพราะเบา สบายเพราะสงบ สบายเพราะว่ามันไม่มีอะไรมารบกวน ไม่มีอะไรที่ต้องแบกต้องยึด มารู้จักกับความสบายแบบนี้บ้าง อันนี้มันจะช่วยทำให้การอยู่ในโลกนี้มันง่ายขึ้น มันจะไม่ยากเหมือนเดิม
12/4/202228 minutes, 13 seconds
Episode Artwork

25651130pm--หลุดจากทุกข์เมื่อใจยอมรับ

30 พ.ย. 65 - หลุดจากทุกข์เมื่อใจยอมรับ : ที่จริงการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ มันเป็นเคล็ดลับที่เราควรจะมีนะ เพราะบ่อยครั้งความทุกข์ของคนเรามันเกิดขึ้นจากการที่เรายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเจอสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง หรือเหตุการณ์ รวมทั้งทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น พอเจอเข้าแล้วยอมรับไม่ได้ ก็เลยผลักไส ไอ้การผลักไสนี่เป็นตัวที่สร้างความทุกข์ แต่ทันทีที่เรายอมรับได้ความทุกข์ก็จะลดลง เช่นเสียงดังหลายคนก็ไม่ชอบ พอไม่ชอบแล้วเป็นยังไง ใจมันก็เกิดอาการต่อสู้ผลักไส แต่ถ้าเสียงไม่หายก็ยิ่งทุกข์ ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ จนกระทั่งเกิดความโกรธ แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นก้อนใหญ่เลย คือ การที่ผลักไส ไม่ยอมรับ ไม่ใช่เกิดจากเสียงนะ แต่เกิดจากใจของเราที่ไม่ยอมรับ แต่ทันทีที่ใจยอมรับได้ ความทุกข์มันลดลงไปเยอะเลย   อันนี้ก็รวมถึงความหนาวความร้อน หรือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เช่น ความเจ็บ ความปวด ความเมื่อย แม้กระทั่งอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจ เช่น ความเครียด ความหงุดหงิด พวกนี้ก็ไม่มีใครชอบนะ แต่เพราะไม่ชอบจึงผลักไส และยิ่งผลักไสมันก็ยิ่งทุกข์ แต่พอยอมรับมันได้ โดยเฉพาะถ้ามีสติ หรือถ้ารู้จักสิ่งที่ครูบาอาจารย์เรียกว่า “รู้ซื่อๆ” แค่รู้ซื่อๆ คือรับรู้เฉยๆ โดยที่ไม่ผลักไส มันก็ช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ   ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกหรือสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน ลองสังเกตดูจะพบว่าความทุกข์มันเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อเราผลักไสมัน เมื่อเราไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอเรายอมรับมันได้ความทุกข์ก็ลดลง และถึงตอนนั้นมันก็จะคิดอ่านหาวิธีว่า แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไร แต่ถ้าเราเริ่มจากการต่อต้านผลักไสเสียแล้ว บางทีมันคิดอะไรไม่ออกนะ เพราะว่ามันเจอความทุกข์ เจอความหงุดหงิด เจอความโกรธกลุ้มรุมเล่นงาน แล้วบางทีก็ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง แต่สถานการณ์อาจจะดีขึ้นได้ จนรอดพ้นจากวิกฤติได้ เพียงแต่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
12/2/202229 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25651129pm--เผชิญทุกข์ด้วยภูมิคุ้มใจ

29 พ.ย. 65 - เผชิญทุกข์ด้วยภูมิคุ้มใจ : ระยะห่างจากผู้คนที่อาจจะติดเชื้อเพื่อ Social distancing การวางระยะห่างทางด้านความสัมพันธ์ คือไม่เข้าใกล้เกินไป ทำให้ไม่ติดเชื้อ ทำนองเดียวกันสติทำให้เกิดระยะห่างภายใน ที่ทำให้ความทุกข์เข้ามาครอบงำใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเราตระหนักชัดแล้วว่า ในเมื่อเราหนีไม่มีทุกข์ไม่พ้น โดยเฉพาะทุกข์ที่เป็นโลกธรรมฝ่ายลบ ที่เป็นอนิฏฐารมณ์ ที่เกิดจากความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ประสบกับสิ่งที่ไม่รัก เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับทุกข์ ไม่ใช่หนีมัน แต่อยู่กับทุกข์ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ เพราะว่าใจมีเครื่องรักษาเรียกว่าคุ้มใจ สิ่งนั้นคือขันติ สิ่งนั้นคือสติ   และที่สำคัญคือปัญญา ปัญญาที่เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง เห็นว่ามันเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง หรือเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันไม่เที่ยงที่จะยึดมั่นถือมั่นได้ หรือว่ามีปัญญาเพียงแค่รู้ว่า มีกับหมด ได้กับเสีย พบกับพราก เจอกับจากเป็นของคู่กัน เวลามีก็ไม่ดีใจ   เพราะฉะนั้นเวลาหมดก็ไม่เสียใจ เวลาได้ก็ไม่ได้ดีใจ เพราะเวลาเสียก็ไม่เสียใจ เวลาพบก็ไม่ลิงโลด เวลาพรากก็จะไม่เศร้าโศก เวลาใครชมก็ไม่หลงใหลปราบปลื้ม เวลาใครเขาตำหนิก็ไม่ทุกข์ อันนี้คือเห็นธรรมดาของโลกว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง อันนี้เรียกว่าเป็นปัญญาเป็นภูมิคุ้มใจ รักษาใจของเราไม่ให้ทุกข์ได้
12/1/202227 minutes, 50 seconds
Episode Artwork

25651124pm--เก่งตรงที่กลับมาได้ไว

24 พ.ย. 65 - เก่งตรงที่กลับมาได้ไว : ถ้าเราคิดว่า เราจะสงบเพราะไม่มีความโกรธ ไม่มีความเศร้า ไม่มีความเครียด ไม่มีความวิตกกังวลเลย มันยากนะ ปุถุชนเนี่ย มันก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น แต่พอมีแล้วเรารู้ทันได้เร็ว ใจที่เผลอจมเข้าไปในอารมณ์นั้นหลุดออกมาได้เร็ว พอหลุดออกมาได้เร็ว ไอ้พวกนี้มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะมันเกิดขึ้นเพราะความหลงหรือมีตัวหลง หรือความหลงนี่เป็นอาหารบำรุงเลี้ยงมัน พอจิตกลับมาอยู่กับความรู้สึกตัว ความหลงหายไป ไอ้ความทุกข์เหล่านั้นมันก็หายไปด้วย แต่ต่อไปมันจะไม่ใช่แค่รู้สึกตัว มันจะรู้ความจริงว่า ‘ไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้’ พอไม่ยึดมั่นถือมั่นกับอะไรเลย มันก็ไม่มีที่ตั้งแห่งความทุกข์ มันมีแต่ทุกข์ แต่ไม่มีผู้ทุกข์ ถ้าไม่มีผู้ทุกข์แล้วใครจะทุกข์ละนะ แล้วที่ไม่มีผู้ทุกข์เพราะมันเห็น มันรู้ความจริงว่า ไม่มีอะไรที่ยึดว่าเป็นเรา-เป็นของเราได้   ทั้งหมดนี้ก็เริ่มจากการที่มารู้ตัว แล้วรู้ตัวได้เพราะกลับมาได้ไว รู้ทันได้เร็ว แล้วที่รู้ทันได้เร็วกลับมาได้ไว เพราะยอมให้มันไป แล้วก็ได้อาศัยการที่ใจมันไปนี่แหละ เพื่อฝึกให้กลับมาได้ไวๆ ลองทำความเข้าใจให้ดีนะ ที่หลวงพ่อคำเขียนพูดว่า มันเก่งตรงที่กลับมา ไม่ใช่เก่งตรงที่ไม่ไป ไม่ใช่เก่งตรงที่นิ่งหรือไร้ความคิด
11/30/202229 minutes, 7 seconds
Episode Artwork

25651123pm--ทุกข์แก้ได้ถ้าหาเหตุเจอ

23 พ.ย. 65 - ทุกข์แก้ได้ถ้าหาเหตุเจอ : การหมั่นมองตัวอยู่เสมอมันจะช่วยทำให้เราเจอสมุทัย หรือเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง โดยเฉพาะเมื่อมันมีความทุกข์ใจขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความหงุดหงิด ความเบื่อหน่าย ความคับแค้น กลับมาดูใจของเราอยู่เสมอ แล้วก็แก้ที่ใจของเรา มันก็จะช่วยทำให้ทุกข์บรรเทาเบาบาง
11/29/202227 minutes, 28 seconds
Episode Artwork

25651122pm--คำถามง่ายๆแต่สำคัญ

22 พ.ย. 65 - คำถามง่ายๆแต่สำคัญ : ฝึกเอาไว้ ด้วยการที่เราหมั่นถามตัวเราเอง เริ่มต้นจากการถามตัวเอง หรือระลึกอยู่เสมอว่าฉันทำอะไรอยู่ ต่อไปก็ฉันคิดอะไรอยู่ ฉันรู้สึกอะไรอยู่ แล้วก็จะนำไปสู่การเห็น การยอมรับความคิด อารมณ์ และความรู้สึก โดยที่ไม่ไปตกอยู่ในการครอบงำของมัน
11/28/202224 minutes, 53 seconds
Episode Artwork

25651121pm--มารู้ตัวดีกว่า

21 พ.ย. 65 - มารู้ตัวดีกว่า : จากความรู้ตัวก็จะกลายเป็นความรู้ความจริง เห็นความจริงของโลก มันก็จะรู้ลึกและรู้กว้าง และมันช่วยทำให้เราสามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ ด้วยความรู้ทัน ใช้กายและใจให้เป็นประโยชน์ โดยที่ไม่ตกเป็นทาสของกายและใจ หรือไปยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เพราะถ้าเราไปยึดมั่นว่ามันเป็นเราเป็นของเราเมื่อไหร่ เราก็กลายเป็นของมันในทันที เพราะฉะนั้นให้หมั่นรู้ตัวบ่อยๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมารู้งี้ในภายหลัง ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
11/26/202228 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25651113pm--ฝึกใจให้รู้ตัว

13 พ.ย. 65 - ฝึกใจให้รู้ตัว  ท่ามกลางความเป็นไปของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง มีการเคลื่อนไหวหรือมีความแปรปรวน คือความสงบที่แท้จริง” ซึ่งสงบแบบนี้ได้มันต้องมีสติ มีความรู้สึกตัว ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมาจากการฟังธรรมเยอะๆ บ่อยๆ แต่เกิดจากการปฏิบัติ ซึ่งต้องอาศัยการลงแรง ต้องเจอกับความเมื่อย ต้องเจอกับความง่วง ต้องเจอกับความเบื่อ แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันก็จะสอนให้เรามีสติ รวมทั้งความคิดฟุ้งปรุงแต่งต่างๆ ถ้าเราไม่ไปกด ไม่ไปห้ามมัน มันก็จะสอนให้เรามีสติรู้ทันความคิดได้เร็ว แต่ก่อนที่จะไปรู้ทันความคิด ก็ให้มารู้กายก่อน เวลาเดินก็ให้รู้ตัวว่าเดิน เวลายกมือก็ให้รู้ตัวว่ายกมือ ตอนนั้นมันจะรู้สึกว่ามือยก กายขยับ เท้าเขยื้อน อันนี้เรียกว่ารู้กาย เป็นความรู้ตัวแบบหนึ่ง ต่อไปมันก็จะรู้ความคิด รู้อารมณ์ ก็เป็นการรู้ตัวอีกระดับหนึ่ง
11/25/202228 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25651112pm--อย่าปล่อยให้ความจำเป็นนายเรา

12 พ.ย. 65 - อย่าปล่อยให้ความจำเป็นนายเรา : อย่าให้ความจำเป็นนายเรา ถ้าความจำเป็นนายเรานี่แย่นะ เพราะบางครั้งคนเราก็มีความจำที่เจ็บปวด บางครั้งก็มีความจำที่มันทำให้ขมขื่น บางครั้งก็ทำให้อาจจะรู้สึกเจ็บปวดกับเหตุการณ์บางอย่าง การที่เราจำเหตุการณ์นั้นได้ มันก็ดี มีประโยชน์ แต่ว่าถ้าปล่อยให้เป็นนายเรา มันก็เหมือนกับโซ่ที่ตรึงเราเอาไว้ เพราะว่ามันก็จะทำให้เราจมอยู่ในกับอดีต บางคนที่ไม่สามารถที่จะอยู่กับปัจจุบันหรือเดินไปข้างหน้าได้เลยเพราะว่าจมอยู่กับอดีต เพราะว่าถูกความทรงจำที่เจ็บปวดมันล่ามเอาไว้   บางทีก็ไม่ใช่ความทรงจำที่เจ็บปวด มันอาจจะเป็นอดีตที่รุ่งเรืองหรืออาจจะเป็นวันวานอันหวานชื่นก็ได้ แต่ว่ามันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ก็เสียดายอาลัย ก็ยังจมอยู่กับอดีตที่เคยสวยงาม หรือบางคนอาจจะเคยประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นนักกีฬาเหรียญทอง แต่ตอนนี้ไม่มีคนรู้จักแล้ว ก็ยอมรับกับปัจจุบันไม่ได้ ก็จมอยู่กับเรื่องราวในอดีต กับเรื่องที่มันเป็นความรุ่งเรืองเรืองโรจน์หอมหวาน แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว   ถ้าปล่อยให้อดีตมาเป็นนายเราหรือปล่อยให้ความทรงจำเป็นนายเรา เราก็ไม่สามารถที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า แล้วก็อยู่กับปัจจุบันอย่างมีความรู้สึกตัวหรือมีความสุขได้เลย คนเราถ้าไม่อยู่กับปัจจุบัน มันก็ทุกข์ได้ง่าย มันก็เหมือนกับถูกล่ามไว้กับอดีต มันก็ทำให้ชีวิตยากที่จะพบกับความสดใส ความชื่นบาน หรือว่าใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์   ความจำนั้นถ้าเราเป็นนายมัน มีประโยชน์ เราใช้มันก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากมาย แต่ถ้าปล่อยให้มันเป็นนายเรา แย่เลย เราไม่สามารถจะเดินต่อไปข้างหน้าได้เลย 
11/25/202226 minutes, 56 seconds
Episode Artwork

25651111pm--อย่าเอายาพิษของคนอื่นมาใส่ปากเรา

11 พ.ย. 65 - อย่าเอายาพิษของคนอื่นมาใส่ปากเรา : พระพุทธเจ้าให้ข้อคิดเตือนใจได้ดีนะ มีพราหมณ์คนหนึ่งมาตามด่าท่าน พระองค์กำลังเดินกลับเชตวัน พราหมณ์ก็เดินตามมาด่า พระองค์ก็ไม่ตอบโต้ จนกระทั่งถึงเชตวันแล้ว พระองค์ก็เลยนั่งสนทนากับเขาว่า “เคยมีคนมาหาท่านที่บ้านไหม” พราหมณ์ก็บอกว่า “มีสิ ข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นคนขาดเพื่อน ไม่ใช่เป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก มีคนมาหาข้าพเจ้าที่บ้านอยู่เนืองๆ” “แล้วท่านทำอย่างไร” “ข้าพเจ้าก็เอาของมาต้อนรับ” พระพุทธเจ้าก็เลยถามว่า “ถ้าเขาไม่รับของของท่าน ของนั้นจะเป็นของใคร” พราหมณ์ก็ตอบว่า “ก็เป็นของข้าพเจ้าน่ะสิ” พระพุทธเจ้าก็เลยตอบว่า “ท่านด่าเรา แต่เราไม่รับคำด่าของท่าน คำด่าทั้งหมดก็เป็นของท่านน่ะสิ” พราหมณ์นี่อึ้งเลยนะ พูดง่ายๆ คือคำด่านี่มันจะมีผลก็ต่อเมื่อเรารับ ถ้าเราไม่รับหรือไม่ใส่ใจ มันก็ไม่มีความหมาย ไม่มีพิษสง นี่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของสุมาอี้กับคนอื่น สุมาอี้ถูกขงเบ้งด่ายังไง สุมาอี้ก็ไม่รับ ไม่สนใจ แถมหัวเราะ ไม่เอามาเป็นอารมณ์ แต่คนอื่นนี่เอาจริงเอาจังมาก เขาด่าว่าเป็นหมา ก็ไปรับสมอ้างว่า “เออ ฉันเป็นหมาจริงๆ” ก็เลยกระอักเลือดตายหรือไม่ก็หัวใจวายตาย   อันนี้ก็เป็นบทเรียนสอนใจ ที่บางทีมันมีพลังยิ่งกว่าหนังสือธรรมะ เพราะเป็นภาพที่จำลองมาจากธรรมชาติของมนุษย์ ฉะนั้นถ้าเราเจอคำด่าโดยเฉพาะจากคนที่มุ่งร้าย ให้เรานึกถึงสุมาอี้เอาไว้ อย่าทำตัวเป็นจิวยี่ อองลอง หรือโจจิ๋น เพราะถ้าทำอย่างนั้น เราก็โง่เท่านั้นเอง เพราะเราไปเข้าทางเขา
11/25/202226 minutes, 49 seconds
Episode Artwork

25651110pm--ฝึกตนจนพ้นขีดจำกัดของตัวเอง

10 พ.ย. 65 - ฝึกตนจนพ้นขีดจำกัดของตัวเอง : มันก็ธรรมดานะ เพราะคนเราพอเจอความยากลำบากมันก็ต้องมันความอดทน ต้องมีใจที่ฮึดสู้ถึงจะผ่านจุดนั้นมาได้ แต่สิ่งที่หลายคนพบว่ามันเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในก็คือ เป็นคนที่สุขง่าย อยู่กับตัวเองง่าย แต่ก่อนก็ติดสุขนะ อยากเที่ยว อยากกิน อยากดื่ม อยากช้อป แต่พอผ่านประสบการณ์การซ้อมการวิ่งมานานๆ มันกลายเป็นคนสุขง่าย อยู่ง่าย มีความพึงพอใจในชีวิตอย่างง่ายๆ ชีวิตไม่ต้องการอะไรมาก อาจเป็นเพราะได้พบความสุขจากการวิ่ง คนเราพอมีความสุขจากการวิ่ง หรือความสุขจากการที่ได้เห็นตัวเองในมุมที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ พอภูมิใจในตัวเอง มันก็เป็นความสุขที่ทำให้ไม่ต้องไปพึ่งพาความสุขจากสิ่งอื่นหรือความสุขจากภายนอก   แล้วหลายคนก็ตั้งข้อสังเกตนะ คนที่ผ่านประสบการณจากการวิ่งมามากๆ เขาจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่ขี้อวด และบ่นน้อย อันนี้ก็เป็นการตั้งข้อสังเกตของหลายคน ที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของคนที่ผ่านการวิ่งมานานๆ ผ่านการซ้อมมาเยอะๆ ซึ่งอันนี้ก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรมนะ เพราะคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง สุดท้ายก็เป็นคนที่สุขง่ายอยูง่าย เป็นคนที่มีอัตตาตัวตนเบาบาง ไม่โอ้อวด แต่ถ้ายังโอ้อวดยังมีตัวตนอยู่ ก็แสดงว่ายังปฏิบัติธรรมไม่มากพอ หรือยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่ถ้าหากปฏิบัติธรรมจริงจัง มันจะมีคุณสมบัติบางส่วนคล้ายกับคนที่ผ่านการวิ่งมานานๆ ผ่านการฝึกซ้อมเคี่ยวกรำตัวเองมาอย่างหนัก จึงอดไม่ได้ที่จะมองว่า การวิ่งระยะทางไกลๆ หรือการซ้อมเคี่ยวกรำตัวเองอย่างสม่ำเสมอ มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง
11/25/202229 minutes, 41 seconds
Episode Artwork

25651109pm--ความดีที่ทำเป็นนิจย่อมไม่สูญเปล่า

9 พ.ย. 65 - ความดีที่ทำเป็นนิจย่อมไม่สูญเปล่า : สิ่งที่เราทำซ้ำๆ ถ้าเป็นสิ่งที่ดี มีคุณค่า มีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกศรัทธาในพระรัตนตรัย หรือการมีศรัทธาในการทำวัตรสวดมนต์ หรือการรู้สึกดื่มด่ำผูกพันกับการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรือการระลึกนึกถึงครูบาอาจารย์อยู่เนืองๆ รวมทั้งการสวดมนต์อยู่บ่อยๆ สิ่งเหล่านี้มันไม่สูญเปล่านะ จิตมันจำได้ แล้วถึงเวลาสิ่งที่เราทำนี่จะออกมาทำงาน ช่วยน้อมใจให้เป็นกุศล ชนิดที่ว่ากายนี่ก็ยอม ‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’ กายแม้มันจะไม่ไหว แต่พอเจอจิตที่เป็นกุศลขึ้นมา มันก็ยอมน้อมตามไปด้วย ที่เคยปวดก็หายปวด ที่เคยพูดไม่ได้ก็ดันร้องเพลงได้ หรือที่เคยหัวใจเต้นเร็ว หายใจเหนื่อยหอบ มันก็สงบขึ้นมา หายใจเป็นปกติ หัวใจก็เต้นเป็นปกติ แม้จะชั่วคราวก็ตาม ฉะนั้น สิ่งที่เราทำซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำวัตรสวดมนต์ ไม่ว่าจะเป็นการเจริญสติ การแผ่เมตตา การระลึกถึงครูบาอาจารย์บ่อยๆ การน้อมระลึกถึงพระรัตนตรัยอยู่เนืองๆ เป็นอาจิณ พวกนี้มันไม่สูญเปล่าเลย ในยามวิกฤติจะมาช่วยกู้ใจเราออกจากความทุกข์ ออกจากความอกุศลได้ ถึงเวลาจะตายก็สงบ แล้วก็ไปดี ไม่มีความหวาดวิตกอะไร
11/23/202230 minutes, 37 seconds
Episode Artwork

25651108pm--ดูจันทรุปราคา แล้วย้อนดูตน

8 พ.ย. 65 - ดูจันทรุปราคา แล้วย้อนดูตน : คืนนี้เป็นคืนพิเศษสำหรับหลายคน เพราะนอกจากตั้งหน้าตั้งตารอที่จะลอยกระทงแล้ว ก็ยังหวังที่จะได้ดูเหตุการณ์ที่สำคัญที่นานๆ จะเกิดสักครั้งหนึ่งคือจันทรุปราคา เป็นเหตุการณ์ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้งโดยเฉพาะการมีจันทรุปราคากับพระจันทร์เต็มดวง จันทรุปราคาก็มีหลายชื่อ เช่น จันทรคราส แล้วก็ชื่อโบราณชื่อ ราหูอมจันทร์ สมัยก่อนเขาเชื่อเลยว่ามีราหูจริงๆ มาอมจันทร์ เพราะฉะนั้นพอเกิดเหตุการณ์นี้ ทุกคนก็จะพากันตีกราะเคาะไม้ ส่งเสียงดัง จุดประทัด เพื่ออะไร เพื่อไล่ราหูให้คายดวงจันทร์ ดวงจันทร์จะได้สว่างเหมือนเดิม เราก็เชื่ออย่างนี้มานานว่า ดวงจันทร์อับแสงเพราะว่ามีราหูอมดวงจันทร์   จนกระทั่งเรามารู้ในช่วงเวลาไม่กี่สิบปีมานี้ ว่าที่ดวงจันทร์ดับหรือว่าหมอง มันไม่ใช่เพราะราหูจากที่ไหนหรอก แต่เป็นเพราะเงาของโลกเรา เงาของโลกเรานี่แหละที่ไปทำให้ดวงจันทร์อับแสง ไม่ใช่ราหูที่ไหน เราก็เพิ่งมารู้ว่าที่ดวงจันทร์อับแสง ไม่ใช่เพราะใครที่ไหนเลย แต่เป็นเพราะโลกเรานี่เอง หลงไปโทษราหูกันเป็นหลายศตวรรษทีเดียว แต่ตัวการที่แท้คือโลกเรานี่แหละ ซึ่งเราก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
11/23/202229 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25651031pm--ทำตัวให้ดีแล้ว ทำใจให้ดีด้วย

31 ต.ค. 65 - ทำตัวให้ดีแล้ว ทำใจให้ดีด้วย : ที่จริงถ้าพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทำความดี คำสอนในพระพุทธศาสนาก็มีแค่ศีลก็พอ ส่วนสมาธิ ปัญญาก็ไม่จำเป็น ไตรสิกขาก็ไม่จำเป็น สอนแค่ศีลก็พอ แต่พระพุทธศาสนาท่านสอนเรื่องไตรสิกขา มีศีล สมาธิ และปัญญา สมาธิ ปัญญาเป็นเรื่องที่มากไปกว่าการทำความดี หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่ามันเป็นเรื่องของการทำใจให้ดี ทำดี ถ้าหากว่าจำกัดอยู่แค่ศีล มันก็ไม่พอน่ะที่จะช่วยทำให้คนเราพ้นทุกข์ได้ ทำดีแล้วมันต้องมีอีกประการหนึ่งก็คือทำใจให้ดีด้วย ถ้ามีแต่ทำดีไม่ต้องมีศีล ไม่ต้องมีไตรสิกขา หรือมีแค่ศีลก็พอ สมาธิภาวนาก็ตัดทิ้งไปนั้น หรือว่าพระพุทธศาสนาสอนแต่เรื่องทำดีละชั่ว โอวาทปาติโมกข์ก็มีแค่ 2 ประการก็พอ ไม่ต้องมีข้อที่ 3 คือว่าทำจิตใจให้ผ่องใส หรือบุญกิริยาวัตถุก็มีแค่สองคือทาน ศีล ไม่ต้องมีภาวนา   แต่เราก็ทราบน่ะว่านอกจากทาน ศีลแล้ว ก็ต้องมีภาวนาด้วย นอกจากศีลก็ต้องมีสมาธิและปัญญาด้วยน่ะ ถึงจะเป็นพระพุทธศาสนา หรือเป็นพุทธธรรมที่ครบถ้วน นอกจากทำดีละชั่วหรือเว้นชั่วแล้ว ก็ต้องทำจิตให้ผ่องใสบริสุทธิ์ด้วย มันจึงจะเป็นพระพุทธศาสนาที่ครบถ้วน
11/23/202230 minutes, 48 seconds
Episode Artwork

25651030pm--ไตร่ตรองมองใจอยู่เสมอ

30 ต.ค. 65 - ไตร่ตรองมองใจอยู่เสมอ : ถ้าเราไม่รู้จักมอง มันก็ไม่เห็น แล้วก็ง่ายที่จะไปโทษสิ่งภายนอก แต่ถ้าเรารู้จักมองก็จะเห็นว่า ใจนี่เป็นตัวการที่สำคัญของทุกเรื่องในชีวิตเราเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับรู้โลกรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นความสุข ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ อย่าว่าแต่ทุกข์ใจหรือสุขใจเลย แม้กระทั่งทุกข์กายหรือสุขกายมันก็มีใจเป็นองค์ประกอบร่วมที่สำคัญ แล้วยิ่งความทุกข์ใจด้วยแล้ว ใจนี่เป็นตัวการล้วนๆ เลยก็ว่าได้ พอปรับที่ใจมันก็หายทุกข์ อย่างพ่อคนที่ว่า พอเข้าใจว่าตัวเองทุกข์เพราะอะไร หรือพอลดความคาดหวังหรือปรับความคาดหวังในตัวลูก ยอมรับว่าลูกเขาก็เลือกหนทางที่ดีสำหรับเขา หรือยอมรับว่าเราก็โชคดีกว่าพี่ชาย พี่ชายเรายังเคราะห์หนักกว่าเราเยอะเลยนะ เรานี่โชคดีกว่าพี่ชายเยอะ แค่นี้ก็น่าจะพอใจแล้ว   แต่เป็นเพราะเราต้องการอะไรที่มันมากไปกว่านั้น แล้วก็ไม่พอใจสิ่งที่มี ได้สิ่งดีๆ แล้วก็ยังไม่พอใจ อยากจะได้มากไปกว่านั้น มันก็เลยทุกข์ “สิ่งที่ได้มามันก็ดีอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะอยากจะได้มากกว่านั้น” พอยอมรับหรือพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ได้ มันก็หายทุกข์เลยนะ   นี่ก็เป็นเรื่องของใจที่รู้จักปรับใจ เพราะรู้ว่าเหตุแห่งทุกข์ที่แท้ก็คือใจนั่นเอง ใจในที่นี้ก็หมายถึงความยึดติดถือมั่น หรือความคาดหวัง หรืออุปาทาน   ฉะนั้น ให้พยายามกลับมาดูใจของเราอยู่เรื่อยๆ ดูใจบ่อยๆ มันก็จะเห็นความจริงของตัวเอง และเห็นถึงความสำคัญของการดูแลรักษาใจ รวมทั้งการฝึกใจและรู้จักปรับเปลี่ยนใจ ให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริง
11/23/202227 minutes, 38 seconds
Episode Artwork

25651029pm--ทำงานไปด้วยปล่อยวางไปด้วย

29 ต.ค. 65 - ทำงานไปด้วยปล่อยวางไปด้วย : นี่ก็คือการทำงานแบบปล่อยวางอย่างหนึ่ง คือปล่อยวางในผล สร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ดี ส่วนผลมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราคุมไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือรอ แล้วพอผลสำเร็จเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นความสำเร็จของกูๆ แต่คนส่วนใหญ่พอทำงานสำเร็จ มันจะยึดว่าเป็นของกูๆ เวลาใครมาแตะ เวลาใครมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็จะไม่พอใจ หรือบางทีก็กลัวว่าเขาจะมาแย่งผลงานของฉันไป มีความหวงแหนในผลงาน แต่สิ่งที่ย่าทำ มันเป็นอุปมาเลยนะ ว่าเมื่อทำสำเร็จแล้วไม่ยึดว่าเป็นของเรา จับหนูได้ก็ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ เวลาเราทำงาน ถ้าเราทำงานแบบนี้บ้าง มันจะไม่เครียด ก็คือว่าสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ดี ส่วนผลสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่ หรือเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่ต้องไปวิตก ไม่ต้องไปกังวล ก็เพียงแต่คอย ว่าผลมันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่   แต่คนเดี๋ยวนี้มีความเครียดมาก เครียดกับผล เครียดกับความสำเร็จ ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทั้งที่มันเป็นเรื่องของอนาคต และก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจที่เราจะควบคุมบังคับบัญชาได้ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานอะไรก็ตาม จะเป็นการปลูกต้นไม้ ทำสวน จะเป็นงานที่ใช้ความคิด หรือแม้แต่เป็นการเดินทาง สิ่งที่เราทำได้คือเดินไปเรื่อยๆ ส่วนจะถึงเมื่อไหร่ มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัย แต่ขณะเดินทาง แม้กระทั่งไปเที่ยว หลายคนก็เครียด เมื่อไหร่จะถึงสักทีๆ หลวงพ่อคำเขียนก็ชอบพูดอยู่เสมอว่า ถึงต่อเมื่อมันถึง หรือสำเร็จต่อเมื่อมันสำเร็จ นี่ก็เรียกว่าเป็นการปล่อยวาง
11/7/202227 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25651028pm--สมดุลที่ชีวิตต้องมี

28 ต.ค. 65 - สมดุลที่ชีวิตต้องมี : ถ้ามีปัญญาเข้าใจเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ต้องระดับพระอรหันต์หรอกนะ ถ้าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของฟ้าดิน อันนี้เป็นภาษาของคนจีนสมัยก่อน เข้าใจว่าเป็นเรื่องของฟ้าดิน มันไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมอะไรได้ ยอมรับ ปราชญ์จีนหลายคน พอเขายอมรับความจริงได้ เขาก็ไม่ไปต่อสู้กับโชคชะตา ไม่ต่อสู้กับฟ้าดิน ก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ สมถะ เพราะว่านี่คือสิ่งเดียวที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นปัญญาในการเข้าใจความจริงของชีวิตและโลก เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้เลย เราจะมีแต่ปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างเดียวไม่พอ มีปัญญาในการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับส่วนรวม หรือแม้กระทั่งกับตัวเอง ไม่พอ มันต้องมีปัญญาในการเข้าใจชีวิตและโลกด้วย ไม่อย่างนั้นความรู้แม้จะมากเพียงใด ความสามารถจะประหนึ่งเทพยดาเพียงใด สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด อย่างที่เขาเรียกว่า ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะว่าเจอความผันผวนปรวนแปร ที่มันทำให้สิ่งต่างๆ ไม่เป็นดั่งใจ หรือสิ่งที่หมายมั่นปั้นมือไม่เป็นไปดั่งใจ   คนเราถ้าหากว่าสามารถจะยอมรับว่าโลกและชีวิตนี่มันไม่สามารถจะเป็นไปดั่งใจเราได้ทุกอย่าง ก็จะสามารถทรงใจให้เป็นปกติได้ แล้วก็อยู่ท่ามกลางความผันผวนปรวนแปรได้ และนี่คือดุลยภาพหรือสมดุลที่เราต้องมี ถ้าไม่มีก็เอาตัวรอดได้ยาก
11/6/202227 minutes, 21 seconds
Episode Artwork

25651027pm--สงบอย่าลืมสติ

27 ต.ค. 65 - สงบอย่าลืมสติ : แต่ถ้ามีสติ มีความรู้สึกตัว มันมีความคิดเกิดขึ้น มันก็ไม่หลงเข้าไปในความคิดง่ายๆ หรือไม่ถลำจมเข้าไปในอารมณ์ง่ายๆ เพราะสติทำให้เห็นความคิด ทำให้รู้ทันความคิด ทำให้เห็นอารมณ์ ไม่ถลำเข้าไปในความคิด ไม่ถลำเข้าไปในอารมณ์ ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วมันไม่เกิดความคิด หรือมีความคิดเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าเราไปคิดว่าปฏิบัติแล้วมันต้องไม่ให้มีความคิด แล้วก็ทำอะไรเพื่อให้มันไม่มีความคิด อันนี้อาจจะเรียกว่าตั้งเป้าผิดแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดามากนะ จิตนี่มันง่ายที่จะปรุงความคิด สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ที่ว่า ให้เรารู้ทันความคิด อย่างที่หลวงปู่ดุลย์ท่านบอกว่า ความคิดมันเกิดขึ้นได้เสมอ เหมือนกับลมหายใจ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อดับความคิด เอาแค่ว่าให้รู้ทันเมื่อจิตคิดนึกไป แค่นี้ก็พอ อย่าฝันทั้งๆ ที่ตื่น หมายถึงอย่าหลงคิดไปโดยไม่รู้ตัว   อันนี้คือสิ่งที่นักปฏิบัติมักจะมองข้าม หรือไม่ค่อยตระหนักเท่าไหร่ เพราะไปเข้าใจว่า ถ้าเราจะภาวนาให้ได้ผลมันต้องไม่มีความคิด หรือสงบโดยที่ปราศจากความคิด ที่จริงถ้าสงบแล้วปราศจากความคิด แต่ว่ามีสติหรือมีความสึกรู้สึกตัว ก็ยังดีนะ   ถ้าเราเอาความรู้สึกตัวเป็นหลัก หรือเอาสติเป็นหลัก แม้มันไม่สงบก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย “สงบก็รู้ว่าสงบ ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง” อันนี้ถือว่าดี มันยังดีกว่า “สงบแต่ไม่รู้ว่าสงบ หรือสงบแบบไม่รู้ตัว” สงบแบบไม่รู้ตัวนี่มันแย่กว่าฟุ้งแต่รู้ตัว หรือรู้ทัน   ฉะนั้น ให้เรามาให้ความสำคัญกับการรู้สึกตัวหรือการมีสติรู้ทันความคิดดีกว่า มันจะคิดมากหรือคิดน้อยก็ไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าให้มีความรู้ตัว เป้าหมายของนักปฏิบัติที่มีประสบการณ์อยู่ตรงนี้แหละนะ ไม่ใช่ให้ดับความคิด แต่ให้มีสติ ให้มีความรู้สึกตัว
11/6/202226 minutes, 42 seconds
Episode Artwork

25651026pm--เตรียมใจให้พร้อมตาย

26 ต.ค. 65 - เตรียมใจให้พร้อมตาย : ที่เรากลัวตายเพราะมันยังมีความรู้สึกว่ากูจะตายๆ มันมีความสำคัญหมั่นหมายว่ากูที่กำลังจะตาย รู้สึกทรมานมากถ้ามีความสำคัญมั่นหมายแบบนั้น แต่ถ้าหากว่าเจริญสติมีปัญญา จนกระทั่งมันละความหลงผิดว่ามีกู มันก็มีแต่ความตาย แต่ไม่มีผู้ตาย และสุดท้ายแม้แต่ความตายก็ไม่มีด้วย มีแต่การเปลี่ยนสภาพ ความตายจะว่าไปก็เป็นสมมติอย่างหนึ่ง สมมติเวลาชีวิตเราสิ้นสุด เราก็เรียกว่านั่นแหละคือความตาย แต่จริงๆ ชีวิตมันไม่ได้สิ้นสุด มันยังไปต่อ รูปก็ยังคืนสู่ดิน น้ำ ไฟ ลม น้ำก็ยังมีความสืบเนื่องต่อไป มันไม่มีอะไรที่สิ้นสุด มันยังมีความสืบเนื่องต่อไปเรื่อยๆ   แม่น้ำเจ้าพระยา เราก็เรียนมาว่ามันสิ้นสุดที่อ่าวไทย แต่จริงๆ แล้ว ที่สิ้นสุดนี่คือชื่อเท่านั้นแหละ เพราะว่าตัวน้ำ มันก็ไม่ได้จบตรงที่อ่าวไทย น้ำก็ยังไหลต่อ เพียงแต่ไหลจากแม่น้ำสู่ทะเล มันยังมีความสืบเนื่องของน้ำ สิ่งที่สิ้นสุดก็คือชื่อนั่นแหละ แต่ว่าน้ำไม่ได้สิ้นสุด มันก็ยังไปต่อ   เพราะฉะนั้นเวลาระลึกถึงความตาย เราหมายถึงความสิ้นสุดของชีวิต ที่จริงมันไม่ได้สิ้นสุดหรอก มันไปต่อ มีความสืบเนื่อง ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ มันก็ไม่มีแม้กระทั่งความตาย   หรืออย่างที่ท่านติชนัทฮันห์บอกว่าเมฆไม่เคยตาย เพราะเมฆแค่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นฝน ฝนตกลงมากลายเป็นแม่น้ำลำคลอง เสร็จแล้วมันก็อาจจะเหือดแห้งไป แต่มันไม่ได้ตาย มันแค่เปลี่ยนสภาพ ถ้าเราเข้าใจแบบนี้ มันก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว เพราะมันไม่มีแม้กระทั่งความตาย และผู้ตาย   พวกนี้ก็ต้องฝึกเอานะ ต้องฝึกฝน จนกระทั่งสติแก่กล้า ปัญญาแทงทะลุถึงสัจธรรม จึงจะเรียกว่าเมื่อถึงเวลาก็พร้อมตายหรือเต็มใจตาย พวกเราถ้าฝึกมาถึงตรงนี้ได้ คือเต็มใจตาย มันไม่มีความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นเลย"
11/6/202228 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25651025pm--ใช้กายให้ถูก ดูแลใจให้เป็น

25 ต.ค. 65 - ใช้กายให้ถูก ดูแลใจให้เป็น : ถ้าเรามีสติเห็น ก็จะเห็นเลยนะ กายทำอะไรมันก็เป็นรูปที่ทำ ไม่ใช่เราทำ กายเดินไม่ใช่เราเดิน ใจมันคิด ไม่ใช่เราคิด ความคิดก็ไม่ใช่เรา ความโกรธก็ไม่ใช่เรา ถ้าเรามีสติเลย กายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา ตรงนี้แหละคือความจริงของกายและใจ ที่เราควรจะรู้จัก แล้วมันจะช่วยทำให้เราเกี่ยวข้องกับกายและใจได้อย่างถูกต้อง ไม่ตกเป็นทาสของกายและใจ หรือว่าไม่ตกเป็นทุกข์ ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับกายและใจ คือกายทุกข์ มันไม่ใช่เราทุกข์ เช่นเดียวกันใจทุกข์ ก็ไม่ใช่เราทุกข์ ความโกรธเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่เราโกรธ   อันนี้คือการปฏิบัติธรรมในขั้นที่ลึกลงไป หรือขั้นที่สูงขึ้นไป รู้กายรู้ใจ รวมทั้งรู้ถึงความจริงของกายและใจ มันไม่ใช่เพียงแค่ว่าใช้กายและใจให้ถูกต้องอย่างเดียว มันไม่ใช่แค่ดูแลกายและใจให้ดี ทั้งหมดนี้มันต้องทำควบคู่กับการที่รู้กายรู้ใจด้วย จนเห็นความจริงของกายและใจ จึงจะใช้กายและใจอย่างถูกต้อง จึงจะเรียกว่าดูแลกายและใจอย่างเหมาะสม   การปฏิบัติธรรมหลักๆ ก็มีเท่านี้แหละ ที่เหลือก็เป็นการขยายความ เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง หรือการรู้กายและใจที่ลึกซึ้ง จนกระทั่งไม่ติดยึดในกายและใจนี้ แล้วก็สามารถที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ที่เกิดกับกายและใจได้
11/6/202230 minutes, 16 seconds
Episode Artwork

25651024pm--ฝึกสติไม่ใช่เรื่องยาก

24 ส.ค. 65 - ฝึกสติไม่ใช่เรื่องยาก : หน้าที่ของเราคือรู้ทันมัน อย่าทำผิดหน้าที ที่จริงหน้าที่ของเราคือเปิดโอกาสให้ตัวรู้มันทำงาน ให้สติมันทำงาน เปิดโอกาสให้เขาได้ทำงาน ซึ่งใหม่ๆ ก็เชื่องช้า แต่ว่าเราต้องให้โอกาสเขา ถ้าเขาทำบ่อยๆ ทำบ่อยๆ เขาจะทำได้เร็วขึ้น ถ้าเราวางใจแบบนี้ มันจะทำให้การปฏิบัติเป็นเรื่องง่าย มันจะง่ายกว่าสิ่งที่เราพาตัวเองมาถึงนี่ มันไม่ได้ยากกว่าเลยนะ การปฏิบัติจริงๆ มันไม่ได้ยากกว่าการพาตัวเองมาถึงนี่ ถ้าเราปฏิบัติถูกมันง่าย หลวงพ่อเทียนถึงกับบอกว่าให้ทำเล่นๆ ทำเล่นๆ จะมีอะไรที่ง่ายกว่าการทำเล่นๆ อย่าไปหวังผล อย่าไปเน้นคุณภาพ ใหม่ๆ ก็ต้องเน้นปริมาณก่อน แล้วที่เหลือสติมันทำงานเอง   ความรู้สึกตัวมันทำงานเอง ถ้าเราวางใจแบบนี้ได้ การปฏิบัติมันจะกลายเป็นเรื่องง่าย สิ่งที่ยากก็คงมีแต่ว่าพยายามเคี่ยวเข็ญตัวเองให้มันเดินบ่อยๆ เดินทั้งวัน หรือว่าปฏิบัติยกมือสลับกับเดินทั้งวัน ตรงนี้มันยาก ที่เหลือเรื่องการวางใจกลายเป็นเรื่องง่าย จะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่เราเข้าใจ
11/2/202229 minutes, 34 seconds
Episode Artwork

25651015pm--สุขเปี่ยมจิตเมื่อเป็นมิตรกับตัวเอง

15 ต.ค. 65 - สุขเปี่ยมจิตเมื่อเป็นมิตรกับตัวเอง : แต่ถ้าคนเราสามารถเข้าถึงความสุขภายใน ไม่ต้องมีทรัพย์มาก แต่ให้มีความรู้สึกตัว มีสติ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะอยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องพรั่งพร้อมด้วยวัตถุสิ่งเสพ ไม่ต้องมีบริษัทบริวารเยอะก็สามารถที่จะอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องถึงกับบรรลุธรรมอย่างพระภัททิยะก็ได้ แต่ถ้าหากว่าเรารู้จักเข้าถึงความสุขภายใน เริ่มต้นจากการมีความรู้สึกตัว การรักตัวเอง การอยู่กับตัวเองได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก แล้วพออยู่กับตัวเองได้ มันก็ไม่ต้องไปดิ้นรนหาความสุขอะไรต่างๆ มาปรนเปรอ   ในทางตรงข้ามถ้าไม่พบตัวเอง ไม่รู้จักความรู้สึกตัวแล้ว แม้จะได้ทุกอย่างที่ต้องการที่ใฝ่ฝัน มีชื่อเสียง มีเงินทอง มีอำนาจ แต่ข้างในกลับว่างเปล่า เคว้งคว้าง ทำให้ต้องดิ้นรนแสวงหา แต่ยิ่งดิ้นรนแสวงหามากเท่าไหร่ก็ไม่พบ
11/2/202239 minutes, 39 seconds
Episode Artwork

25651015pm--มีตนเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง

15 ต.ค. 65 - มีตนเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง : เมื่อพระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าก็ตรัสกับพระอานนท์ เมื่อได้ทราบว่ามีพระสงฆ์จำนวนมาก เศร้าโศกเสียใจที่พระพุทธองค์จะปรินิพพาน พระองค์ก็ตรัสว่า “ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจะหวังอะไรจากพระองค์อีก เพราะพระองค์แสดงธรรมจนหมดสิ้นแล้ว ไม่มีนอกไม่มีใน ฉะนั้นอย่าหวังอะไรจากพระองค์อีกเลย ถ้าจะหวังพึ่งก็หวังพึ่งตนเอง” แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า “จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง” เกาะในที่นี้หมายถึงว่าที่ๆ น้ำท่วมไม่ถึง ก็หมายถึงกิเลสหรือความทุกข์ท่วมไม่ถึง แผ้วพานไม่ถูก จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง และพระองค์ก็ตรัสว่าให้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่าหวังพึ่งสิ่งใดเลย   อันนี้ก็เป็นข้อคิดที่ชาวพุทธทั้งหลายก็ควรจะระลึกไว้ว่า เมื่อเรามาได้มีโอกาสมารู้จักพุทธศาสนา ได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรม เราต้องทำตนให้เป็นเกาะ หรือมีธรรมะเป็นที่พึ่งให้ได้ เปรียบเหมือนกับว่ามีเครื่องรักษาจิตที่มั่นคงแน่นหนา ถึงตอนนั้นไม่ว่าฝนจะกระหน่ำอย่างไร หรือเปรียบเหมือนกับทุกข์ภัย ที่ไม่ว่าจะมาอย่างไร ก็ไม่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์ หรือว่าสั่นสะเทือนได้   อันนี้แหละคือความหมายของการมีตนเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เรียกร้องวิงวอนว่าขออย่าได้เกิดอันตรายกับเรา เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่สกัดกั้นไม่ได้ แต่ว่าหน้าที่ของเราคือรักษาใจของเรา ให้มีธรรมะเป็นเครื่องรักษา
11/2/202228 minutes, 57 seconds
Episode Artwork

25651014pm--น้อมธรรมนำชีวิต

14 ต.ค. 65 - น้อมธรรมนำชีวิต : ถ้าเราไม่ลืมธรรมะ ธรรมะก็จะไม่ทิ้งเราในยามที่ชีวิตมันพลิกผัน สุขมันกลายเป็นทุกข์ ต้องนอนติดเตียงหรือต้องสูญเสียคนรัก พลัดพรากจากสิ่งที่เคยมี สิ่งที่เคยให้ความสุขกับเรา ธรรมะจะไม่ทิ้งเรา ธรรมะจะช่วยกอบกู้จิตใจของเราให้ออกจากทุกข์ได้ ต้องนึกถึงธรรมะเอาไว้ในยามสุขเอาไว้นะ ในยามที่ประสบความสำเร็จ ในยามที่ชีวิตอยู่ในช่วงขาขึ้นไม่ว่าในทางสุขภาพ ในทางการงาน พูดง่ายๆว่าในทางโลก ใจไม่ทิ้งธรรม นึกถึงธรรมแล้วก็ปฏิบัติธรรมเอาไว้ แล้วในยามทุกข์ ธรรมะก็จะพาเรา อาจจะออกจากทุกข์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ทำให้เราอยู่กับทุกข์ได้โดยใจไม่ทุกข์
11/2/202227 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25651010pm--เจริญในธรรมเพราะยอมให้ว่ากล่าว

10 ต.ค. 65 - เจริญในธรรมเพราะยอมให้ว่ากล่าว : อย่างที่บอกการที่คนเราจะน้อมรับคำวิจารณ์ หรือคำว่ากล่าวตักเตือนได้ ต้องมีคุณธรรมหลายอย่าง หรือมีหลักคิดหลายประการ ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ชี้วัดถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติ แต่มองในแง่หนึ่งถ้ามีตรงนี้ หรือถ้าหากว่าสามารถน้อมรับคำว่ากล่าวตักเตือนได้ด้วยใจที่ปกติ และก็รู้จักเอาไปปรับปรุงแก้ไขตัวเอง การที่คนเราจะก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปมันก็จะมี จะว่าไปแล้วมันก็เป็นตัวชี้วัดเลยว่าคนเราจะก้าวหน้าในทางธรรมได้หรือไม่ ก็ดูตรงนี้แหละ ดูตรงที่ว่าเมื่อถูกว่ากล่าวตักเตือนแล้วทำอย่างไร ถ้าโกรธโมโห การที่จะก้าวหน้าไปยิ่งกว่านั้นมันก็ยาก 
10/30/202233 minutes, 3 seconds
Episode Artwork

25651009pm--สอนตนจนพ้นทุกข์

9 ต.ค. 65 - สอนตนจนพ้นทุกข์ : อย่างในสมัยพุทธกาลก็มีพระรูปหนึ่ง ท่านเดินผ่านบ้านของคหบดีคนหนึ่ง แล้วก็นางทาสีก็กำลังร้องเพลง เป็นเพลงที่เกี่ยวกับความผิดหวัง ผิดหวังในความรัก ความรักมันแปรเปลี่ยนไป แล้วก็โยงไปถึงว่าความไม่เที่ยงของชีวิต ชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน มีรักก็มีเลิก ท่านพิจารณาท่านก็เห็นชัดเลย อนิจจัง ปรากฏว่าเกิดปัญญาเลย เกิดปัญญาเข้าใจพระไตรลักษณ์ จิตหลุดพ้นเลย เป็นพระอรหันต์เลย เป็นพระอรหันต์เพราะได้ยินเสียงร้องเพลงของนาทาสี ครูบาอาจารย์สอนแต่ว่าท่านฟังแล้วไม่บรรลุธรรม แต่พอนางทาสีร้องเพลง เป็นเพลงเกี่ยวกับความรัก ความผิดหวังในความรัก แต่ท่านฟังแล้วเอามาสอนใจตัวเอง บรรลุธรรมเลย เป็นพระอรหันต์   แล้วก็มีเรื่องเล่าในประเทศจีนว่าพระหนุ่มเดินผ่านโรงเตี๊ยม ตอนนั้นก็กลางคืน ก็กำลังมีการร้องเพลงเกี้ยวพาราสี ตอบโต้กันภายในโรงเตี๊ยม แล้วก็มีตอนหนึ่งที่ผู้หญิงก็พูดขึ้นมาว่า ถ้าเธอไม่มีใจให้ฉัน ก็ขาดกัน   พระหนุ่มนี่ได้ยินพอดี ท่านบรรลุธรรมเลย เพราะว่าท่านเห็นเลยว่า เมื่อมีความผูกพันยึดติดถือมั่น มันก็มีแต่ทุกข์ แต่ถ้าหากว่าละทิ้งหรือตัดความยึดติดถือมั่นได้ ทุกข์ก็ดับไป ผู้หญิงนี่ไม่ได้ร้องในความหมายนั้นเลย อาจจะเป็นการตัดพ้อ ว่าถ้าเธอไม่มีใจให้ฉันก็เลิกกัน แต่ว่าพระหนุ่มฟังแล้วนี่กำลังสอนสัจธรรมเลยว่า ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นเมื่อไหร่ หรือถ้าหากว่าตัดความผูกพันกันเมื่อไหร่ ตัดความผูกพันในสิ่งใดเมื่อไหร่ มันก็หมดทุกข์ทันทีเลย บรรลุธรรมเลยนะ แล้วก็ถึงกับกราบเลย กราบผู้ที่ร้องเพลงนี่ ที่หน้าโรงเตี๊ยมเลย เพราะว่ากำลังสอนธรรม   อันนี้ก็เป็นตัวอย่างของคนที่รู้จักเรียนรู้จากทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าผ่านเข้ามาทางตา ทางหู หรือผ่านเข้ามาในชีวิต ก็สามารถที่จะหยิบมาเพื่อเตือนตน หรือเพื่อทำให้เกิดปัญญา เข้าใจในความจริงของชีวิต หรือเกิดความเพียรในการปฏิบัติ   ฉะนั้นเราต้องรู้จักเปิดโอกาสให้สิ่งต่างๆ สอนเรา หรือรู้จักเรียนรู้จากสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยในการเตือนตนให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม และเพื่อให้การปฏิบัติของเราได้เจริญงอกงาม ถึงพร้อมด้วยจริยธรรมคือความดี หรือว่าแจ่มแจ้งในสัจธรรมคือความจริง อันนี้คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะพ้นทุกข์ หรือจนกว่าจะเข้าใจแจ่มแจ้งในความจริงของชีวิต จนเป็นอิสระจากความทุกข์ทั้งมวล
10/30/202227 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25651008pm--วิชาที่ต้องเรียน

8 ต.ค. 65 - วิชาที่ต้องเรียน : เราก็ควรจะมีความฉลาดในการเรียนรู้แบบนี้บ้าง ก็คือว่าเรียนรู้จากทุกประสบการณ์ โดยเฉพาะอนิฏฐารมณ์ คือเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา ที่ไม่เป็นไปดั่งใจ รวมทั้งถือเอาคนที่เขาทำตัวหรือพูดไม่ถูกหูเรา เอามาเป็นครูสอนเรา ให้เราได้รู้จักตัวเอง หรือเอามาเป็นครูที่สอนให้เรารู้ว่ามีอะไรที่เราจะต้องฝึกฝนให้ดีขึ้นไปกว่านี้ เพราะอย่าลืมว่าวิชาชีวิตนี่ คือสิ่งที่เป็นวิชาที่เราต้องเรียนไปจนตาย ตราบใดที่เรายังไม่ได้บรรลุอรหัตผล เพราะถ้าเราไม่เรียนรู้วิชาชีวิต เมื่อเจอความผันผวนแปรปรวน เราก็จะเอาตัวไม่รอด ฉะนั้นถ้าเราอยากจะเอาตัวให้รอด และสามารถที่จะฟันฝ่าความทุกข์ได้ วิชาชีวิตคือวิชาหนึ่งที่เราต้องเรียน หรือเรียกว่าเป็นวิชาเดียวก็ได้ที่เราต้องรู้
10/30/202227 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25651007pm--มองตนจนว่างจากกู

7 ต.ค. 65 - มองตนจนว่างจากกู : การที่เราทำอะไรด้วยสติ ก็จะเห็นเลยว่ามันไม่ใช่เราที่ทำ แต่เป็นรูปที่ทำหรือเป็นกายที่ทำ เวลาเดินจงกรมก็ไม่ใช่เราเดิน แต่เป็นรูปที่เดินหรือเป็นกายที่เดิน มันไม่ยึดว่าเป็นเราเดิน เวลาคิดก็เห็นว่ามันมีความคิดเกิดขึ้น ไม่ใช่เราคิด เวลาปวดก็เป็นความปวดที่เกิดขึ้นกับกายแต่ไม่ใช่เราปวด คือไม่มีผู้ปวด พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันมีความทุกข์แต่ไม่มีผู้ทุกข์ นอกจากเกิดความสงบ เกิดการวางจากทุกข์แล้ว ก็ยังทำให้เกิดปัญญาที่เห็นความจริงด้วย ในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านก็แนะนำการปฏิบัติว่า ให้เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เห็นเวทนาในเวทนา ความหมายหนึ่งก็คือ เห็นกายว่าเป็นกาย-ไม่ใช่เรา เห็นเวทนาว่าเป็นเวทนา-ไม่ใช่เรา เห็นจิตหรือารมณ์ความคิดว่าเป็นจิต-ไม่ใช่เรา   มันคือการเห็นความจริงนั่นเอง เป็นเพราะเราหลง เป็นเพราะเราไม่มีสติ เราก็เลยหลงไม่เห็นความจริง ไปมองว่ากายคือเรา ไปมองว่าเวทนาคือเรา ไปมองว่าจิตคือเรา แต่ที่จริงแล้วสติทำให้เราเห็นความจริงที่ซื่อตรงๆ เลยว่า เห็นกายว่าเป็นกาย-ไม่ใช่เรา เห็นเวทนาว่าเป็นเวทนา-ไม่ใช่เรา เห็นจิตว่าเป็นจิต-ไม่ใช่เรา   มันเป็นความจริงที่ซื่อตรงมาก แล้วก็ช่วยทำให้ความทุกข์ลดลง เวลาปวดมันก็ปวดแต่กาย ใจไม่ได้ปวดด้วย เวลาโกรธ พอเห็นความโกรธเข้า นอกจากความโกรธจะดับแล้ว ไอ้ตอนที่มันยังไม่ดับก็เห็นว่าโกรธนี่ไม่ใช่เรา ถ้าเราโกรธนี่มันทุกข์นะ เหมือนกับว่าเราไปอยู่กลางกองไฟ   แต่ถ้าเราเห็นความโกรธก็เหมือนกับว่าถอยออกมาจากกองไฟ กองไฟยังมีอยู่นะ แต่เราไม่ค่อยทุกข์แล้ว เพราะมีระยะห่างระหว่างกองไฟกับเรา อันนี้คือภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเห็น ไม่เข้าไปเป็น มันทำให้ใจสงบ แล้วทำให้สว่างเห็นความจริงว่ามันไม่มีเรา
10/30/202226 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25651006pm--เปิดโอกาสให้สติทำงาน

6 ต.ค. 65 - เปิดโอกาสให้สติทำงาน : สติของเราก็มีความสามารถในการจำ เพราะมันเป็นหน้าที่ของสติอยู่แล้ว และสิ่งที่เราอยากให้สติจำได้คือ ความโกรธเป็นอย่างไร ความหงุดหงิดเป็นอย่างไร ความดีใจเป็นอย่างไร ความรู้สึกตัวเป็นอย่างไร พอมันไม่รู้สึกตัวเพราะความหลง สติจะจำได้ แล้วความรู้ทันก็จะเกิดขึ้น เมื่อรู้ทันความหลง ความหลงหายไป ความรู้สึกตัวก็มาแทน ทั้งหมดนี้ก็มาสรุปตรงที่ว่า ให้ทำบ่อยๆ ทำซ้ำๆ ทำเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ไปทำแทนสติ แต่เราให้สติทำงาน แล้วต่อไปเราจะสบาย เหมือนกับเวลามีน้ำสกปรกน้ำเน่าขัง เราไม่ต้องไปขุดหรือไปวิดน้ำให้เหนื่อยเสียเวลา เราปล่อยน้ำดีเข้าไป น้ำดีมันก็ไปไล่น้ำเสียเอง   ฉันใดก็ฉันนั้น เวลามีความหลงมีความทุกข์ เราไม่ต้องไปทำอะไรกับความหลงความทุกข์นั้นหรอก ปล่อยให้สติทำงาน สติก็จะไปจัดการกับความหลงความทุกข์นั้นเอง มันทำได้ถ้าเราเปิดโอกาสให้มันทำบ่อย ๆ
10/22/202226 minutes, 45 seconds
Episode Artwork

25651005pm--ความคิดมีไว้ให้เรารู้ทัน

5 ต.ค. 65 - ความคิดมีไว้ให้เรารู้ทัน : หลวงพ่อเทียนท่านเน้นเสมอว่าอย่าไปห้ามความคิด ท่านบอกว่ายิ่งคิดก็ยิ่งรู้ ปล่อยให้มันคิดไป พอคิดหรือหลงคิด มันก็เป็นแบบฝึกหัดให้สติรู้ทัน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ ใหม่ๆมันรู้ได้แค่ 10% แต่ต่อไปมันก็จะรู้ 20% แล้วก็รู้ 30% มันจะรู้ได้มากขึ้นเรื่อยๆเพราะว่ายอมให้หลง หรือว่ายอมเผลอ ยอมให้มีความคิดต่างๆเกิดขึ้น ครูบาอาจารย์ บอกว่าอย่าไปส่งจิตออกนอก อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำแต่ก็พึงระลึกว่าเราไม่สามารถบังคับจิตไม่ให้ส่งออกนอกได้ แต่ถ้ามันส่งไปเมื่อไหร่ก็ให้มีสติรู้ทัน ใหม่ๆ มันจะรู้ทันช้า เราก็ต้องอดทน แล้วก็ต้องรู้จักคอย ทำไปเรื่อยๆมันก็จะรู้ทันได้ไวขึ้น สัมมาสติก็จะทำงานได้ไวขึ้น สัมมาสติก็จะทำได้เร็วขึ้น   เพราะฉะนั้นเราต้องเตือนใจตัวเองว่าเรายอม อนุญาตให้ทุกความคิดมันเกิดขึ้นได้ เพราะว่าเราไม่สามารถบังคับให้มีแต่ความคิดที่ต้องการหรืออารมณ์ที่พึงปรารถนา แล้วจริงๆมันก็เป็นธรรมชาติของจิตที่จะคิดสารพัด นั่นเป็นหน้าที่ของมัน แต่หน้าที่ของเราคือรู้ทันมัน   เหมือนกับเราดูถนน แล้วก็มีรถผ่านไปผ่านมา หน้าที่ของเราคือดูรถที่ผ่านไปผ่านมา แต่ว่าไม่ใช่ไปห้ามรถ ให้มันหยุดก็ไม่ใช่ หรือว่าเห็นรถคันไหนดี ก็ขึ้นรถไปเลยก็ไม่ใช่ รถนี่ก็คือความคิดนั่นแหละ ไม่ต้องไปห้ามมัน แต่ก็ไม่ใช่ไปตามมัน ก็แค่ดูมัน เห็นมันมาเห็นมันไป บางทีก็ไม่มีรถเลย บางทีก็มีรถแล่นเป็นสาย ก็แค่ดูมัน และถ้าเราดูมันเห็นมันบ่อยๆ ต่อไปมันก็จะรู้ทันได้ไว แล้วก็ไม่หลงตกเป็นทาสของความคิดรวมทั้งอารมณ์ที่เกิดขึ้น
10/22/202225 minutes, 49 seconds
Episode Artwork

25651004pm--เติมสติให้ใจ

4 ต.ค. 65 - เติมสติให้ใจ : แล้วพอเราสติของเราไว มันก็ทำให้เรารู้กายได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อเนื่อง และพอรู้กายได้ดี ต่อไปมันจะรู้ใจ เวลาคิดนึกอะไรมันก็จะรู้ได้ไว แต่ว่าใหม่ๆ อย่าเพิ่งไปสนใจว่าเราจะรู้ทันความคิดหรือเปล่า อย่าเพิ่งไปสนใจ เพราะถ้าไปสนใจเราจะอดไม่ได้ที่จะไปดักจ้องความคิด พอเราไปดักจ้องความคิด เราก็หลงเข้าไปในความคิดเลย เพราะความคิดนี่มันมีแรงดึงดูด หรือมีอุบายที่จะดูดใจของเราให้หลงเข้าไป จากเรื่องนั้นไปเรื่องนี้ จากเรื่องนี้ไปเรื่องนั้น 10 เรื่องกว่าจะมารู้ตัวว่าถูกความคิดมันหลอก ความคิดแบบนี้เราเรียกว่าลักคิด หลวงพ่อคำเขียนเรียกว่าลักคิด เหมือนลักพาจิตของเราไปเลย เพราะว่าจิตของเราสติยังอ่อน แต่พอสติของเราไวขึ้นๆ มันจะมีกำลัง แล้วมันก็จะรู้ทัน ไม่ปล่อยให้ความคิดมันหลอกลวง หรือลักพาจิตของเราไป มันจะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้ไวขึ้น
10/22/202227 minutes, 25 seconds
Episode Artwork

25651003pm--สงบดีแต่อย่าติด

3 ต.ค. 65 - สงบดีแต่อย่าติด : แม้ความสงบเป็นของดี มันช่วยทำให้เราไม่ติดสุขที่หยาบๆ เป็นอิสระจากกามสุข แต่ความสงบนี่ ติดเมื่อไหร่ก็เป็นทุกข์เมื่อนั้น ของดีถ้าหากว่าเรายึดมันเมื่อไหร่ ดีมันก็กลายเป็นเสียไปเลย ความคิดที่ถูก ถ้ายึดเข้าไว้ ก็กลายเป็นความคิดที่ผิดไปเลย อย่างที่หลวงพ่อเฟื่อง โชติโกท่านบอก ความเห็นของเราแม้จะถูก แต่ถ้ายึดเข้าไว้มันก็ผิด คนไม่ค่อยเข้าใจนะ สิ่งดีๆ ถ้าปฏิบัติไม่ถูก มันกลายเป็นโทษไปเลย อันนี้เขาเรียกว่าทำผิดในสิ่งที่ถูก สิ่งที่ถูกถ้าไปปฏิบัติไม่ถูก ก็กลายเป็นผิดไปเลย   ต้องระวังทำผิดในสิ่งที่ถูก ก็คือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ดี แม้ความสงบจะเป็นสิ่งที่ดี ช่วยทำให้เป็นอิสระจากกามสุข สุขที่หยาบได้ แต่พอไปยึดเข้าไว้ มันก็ผิดไปเลย เพราะมันสามารถจะทำให้เกิดทุกข์ได้
10/22/202227 minutes, 59 seconds
Episode Artwork

25650930pm--มีสุขแต่ไม่ติดสุข

30 ก.ย. 65 - มีสุขแต่ไม่ติดสุข : ความสุขเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา ตรงข้ามกับความทุกข์ซึ่งไม่มีใครต้องการ ในเมื่อความทุกข์เป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ เราจึงควรเกี่ยวข้องกับมันอย่างถูกต้อง หาไม่แล้วเราก็จะลงเอยด้วยการซ้ำเติมตนเอง อันที่จริงแม้กระทั่งความสุข เราก็ควรปฏิบัติให้ถูกต้องด้วย หาไม่ความสุขก็จะกลายเป็นโทษ ใช่หรือไม่ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับผู้คนทั้งหลายล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมาก่อน ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของหลายคน พระพุทธองค์ไม่ได้สอนให้ปฏิเสธความสุข แท้จริงทรงแนะนำว่าเราไม่ควรละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม แต่ก็อย่าหลงใหลมัวเมาหรือยึดติดความสุขเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะมันไม่เที่ยง ไม่จิรังยั่งยืน ส่วนความทุกข์ ในเมื่อเราไม่ชอบ ก็อย่าเอาทุกข์มาทับถมตน แทนที่จะจมอยู่ในความทุกข์หรือ “เป็น”ทุกข์ ก็ควรรู้จักมันหรือ “เห็น”มัน ด้วยการวางใจอย่างถูกต้อง ความสุขหรือความทุกข์ย่อมไม่อาจครอบงำจิตใจเราจนเรากลายเป็นทาสของมัน
10/17/202225 minutes, 23 seconds
Episode Artwork

25650928pm--แก้ที่ตนก่อนเปลี่ยนคนอื่น

28 ก.ย. 65 - แก้ที่ตนก่อนเปลี่ยนคนอื่น : เป็นเพราะลืมมองตน ผู้คนจึงมักสร้างปัญหาหรือมีส่วนทำให้ปัญหาลุกลามขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเมื่อใดที่คิดจะแก้ปัญหา ควรหันมาสำรวจตนเองก่อนที่จะเรียกร้องหรือจัดการคนอื่น แม้แต่การช่วยคนอื่นก็เช่นกัน เพียงแค่ดูแลตนเองให้ดีก็สามารถช่วยคนอื่นได้มาก
10/17/202227 minutes, 37 seconds
Episode Artwork

25650927pm--รู้ทันจิต อย่าให้ความคิดหลอก

27 ก.ย. 65 - รู้ทันจิต อย่าให้ความคิดหลอก : การที่เรามาเจริญสติ เป็นการฝึกให้เราได้มาหันมาดูใจของเรา หันมาสำรวจความรู้สึกนึกคิดของเรา แล้วก็เห็นมันอย่างที่มันเป็น เริ่มต้นจากการเห็นอย่างที่มันเป็นก่อน แม้ว่าสิ่งที่เห็นมันจะเป็นเรื่องภายใน แต่เมื่อเราเริ่มที่จะเห็นความรู้สึกนึกคิดอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่อยากเห็น การที่เราจะเห็นโลกตามความเป็นจริงในระดับหนึ่ง มันก็เป็นไปได้ การเห็นความรู้สึกนึกคิดตามความเป็นจริง ก็คือการดูมันโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่ารู้ซื่อๆ รู้ซื่อๆ ก็คือแค่รู้โดยที่ไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ไปตัดสินว่าดี ไม่ดี   อารมณ์บางอย่างเราเคยคิดว่ามันไม่ดี แล้วพอมันเกิดขึ้นก็พยายามจะกำจัดมัน เช่น ความโกรธ ความกลัว ความเศร้า ความเกลียด ความอิจฉา มันไม่ดี ต้องกำจัดมัน ต้องข่มมัน อันนั้นก็อาจจะมีประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ว่าสิ่งที่เราควรทำขั้นต่อไป ก็คือรู้เท่าทันมัน และก็เห็นมันอย่างที่มันเป็น เรียกว่าเห็นโดยที่ไม่ตัดสินว่าดีหรือไม่ดี   การที่เราเห็นมันอย่างที่มันเป็น หรือการที่เรารู้ซื่อๆ มันเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ใจเราไม่ถูกอารมณ์พวกนี้ครอบงำ เพราะยิ่งเราผลักไสมัน เราก็ยิ่งเข้าไปยึดติด ยิ่งผลักไส ยิ่งกดข่ม ก็ยิ่งเป็นการเสริมพลังให้กับมัน เป็นการต่ออายุให้กับมัน หรือว่าเข้าทางมัน ยิ่งไม่ชอบก็ยิ่งต้องแค่วางใจเป็นกลาง แล้วก็ดูมัน เห็นมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปๆ แต่ใหม่ๆ อาจยังไม่เห็นขนาดนั้น แต่ว่าก็เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น เห็นแล้วไม่เข้าไปเป็น ทำบ่อยๆ เข้า ก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา
10/17/202226 minutes, 8 seconds
Episode Artwork

25650926pm--ทำความดี เห็นความจริง

26 ก.ย.  65 - ทำความดี เห็นความจริง : ตอนที่ยังเริ่มมาสนใจพุทธศาสนาใหม่ๆ ท่านก็สอนว่าให้รู้จักคิดดี อย่าคิดร้ายคิดชั่ว แต่พอมาภาวนา ยอมรับหรืออนุญาตให้ความคิดชั่วมันเกิดขึ้นได้ แต่ว่าไม่เข้าไปยึดมัน อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนท่านว่า คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง อย่าไปสนใจ ก็แค่ดูมัน เห็นมัน มันจะมีความอิจฉา มันจะมีเสียงด่าพ่อแม่ จ้วงจาบครูบาอาจารย์ ก็แค่เห็นมัน ดูมัน ตอนที่ยังไม่ปฏิบัติ ก็ทนไม่ได้กับความคิดแบบนี้ เพราะมันเป็นความคิดที่ไม่ดี แต่พอเรามาปฏิบัติ เราเริ่มที่จะเห็นว่ามันเป็นธรรมดา ที่จะมีความคิดแบบนั้นในหัว เพราะว่าจิตของเรามันก็เหมือนกับเรือนว่าง เรือนว่างริมถนน ที่จะมีใครมาใช้มาพักก็ได้ คนดีมาพักก็ได้ คนชั่วมาพักก็ได้ ผู้ร้ายมาพักก็ได้ ใจเราก็เป็นอย่างนั้นแหละ หน้าที่ของเราก็คือดูมัน แล้วก็เห็นมัน แต่ว่าไม่เข้าไปยึด แล้วก็ไม่ทำตามมัน   ต่อไปจะเห็นว่าที่คิดนี่ไม่ใช่เรา ความคิดมันเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่เราคิด คิดดีก็ไม่ใช่เรา คิดชั่วก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วจะไปทุกข์ร้อนทำไม ต่อไปก็จะเห็นอารมณ์นี่ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความโกรธก็ไม่ใช่เรา เห็นความโกรธจึงไม่มีผู้โกรธ เห็นความเครียดจึงไม่มีผู้เครียด มันเริ่มที่จะเห็นความจริง แล้วก็เริ่มที่จะปล่อยเริ่มที่จะวาง   และต่อไปก็จะเห็นความจริงของรูปของนาม ของกายและใจ เห็นไปเรื่อยจนกระทั่งเห็นว่ามันไม่มีเรา มีแต่รูปกับนาม หรือมีแต่ขันธ์ 5 ที่มารวมกันเป็นกองสังขาร และเราก็จะเกิดความรู้รอบในกองสังขารขึ้นมา ว่ามันไม่ใช่เรา เรานี่เป็นสมมุติ นาย ก. นาย ข. สัตว์ บุคคล นี่เป็นสมมุติ แต่ว่าถ้ามองให้เห็นอย่างลึกซึ้ง ก็จะพบว่ามันไม่มีเรา มีแต่ขันธ์ 5 หรือกองสังขาร ความยึดในตัวเราในของเราก็ไม่มี เพราะฉะนั้นความทุกข์เพราะเรา ทุกข์เพราะของเรา ก็หมดไป   สรุปก็คือว่าอย่ามัวแต่ทำความดีอย่างเดียว ให้ฝึกจิตให้เข้าถึงความจริงด้วย เห็นความจริงจนกระทั่งรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ รู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเรา
10/17/202223 minutes, 46 seconds
Episode Artwork

25650925pm--ขัดใจให้งดงาม

25 ก.ย. 65 - ขัดใจให้งดงาม : การฝึกด้วยการทำให้เกิดความผิดหวัง ทำให้เกิดการขัดใจ เพราะว่าจิตใจคนเราถ้ามันถูกขัดเมื่อไหร่ มันก็มีโอกาสที่จะงดงามได้ ที่จริงเราไม่ต้องรอให้ครูบาอาจารย์มาขัดใจเรา หรือมาก่อกวนเพื่อทำให้เราเกิดการเรียนรู้ ที่จริงสิ่งที่ขัดใจเรามันมีตลอดเวลา มันมีอยู่ทุกวัน ไม่ใช่แต่ครูบาอาจารย์ อาจจากสิ่งแวดล้อม อาจจะเป็นดินฟ้าอากาศ แล้วก็จากผู้คนรอบข้าง คนในวัด คนในบ้าน คนใกล้ตัว ส่วนใหญ่พอเจอใครขัดใจนี่เราจะไม่ชอบ เกิดความโกรธ เกิดความโมโห แบบนี้เรียกว่าขาดทุน ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมก็เรียกว่าสอบตก แต่ถ้ามองว่าเขามาช่วยขัดใจเราให้สะอาด เขามาช่วยเป็นแบบฝึกหัดให้เรามีสติรู้ทัน หรือช่วยลบเหลี่ยมลบมุมให้จิตใจเราประณีตงดงาม ถ้าเราคิดแบบนี้ก็แปลว่าคนที่อยู่รอบข้างเรา คนที่ขัดใจเรา เขาก็เป็นครูบาอาจารย์เราได้เหมือนกัน ไม่ต้องรอให้ครูบาอาจารย์มาขัดใจเรา เพราะว่าคนที่อยู่รอบตัวเราก็พร้อมที่จะขัดใจเราได้อยู่เสมอ แต่สมัยนี้ก็ไม่แน่นะ บางทีครูบาอาจารย์ขัดใจ กลับไม่ชอบ กลับโมโห กลับต่อว่าครูบาอาจารย์ก็มี เพราะเดี๋ยวนี้เราปรารถนาการตามใจ ปรารถนาการทำอะไรที่มันถูกต้อง บางทีครูบาอาจารย์ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราโมโห ทั้งที่สิ่งที่ท่านทำไม่ถูกต้องก็จริง แต่เป็นไปเพื่อขัดใจเรา
10/16/202228 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25650924pm--ฉลาดแต่ขาดเฉลียว

24 ก.ย. 65 - ฉลาดแต่ขาดเฉลียว : คนทุกวันนี้ใช้ชีวิตอย่างผิดทิศผิดทาง ก็เพราะว่าลืมจุดหมายไป ว่าเราต้องการอะไรอย่างแท้จริง ไปสนใจจดใจกับวิธีการ บางทีเลยไม่ต่างจากคนที่พยายามผลักประตู ดันอยู่นั่นแหละ ผลักประตูอยู่นั่นแหละ มันไม่เปิดสักที ถ้าฉุกคิดสักหน่อยก็จะบอกว่า เป็นเพราะว่าประตูนี้มันไม่ได้ต้องดัน มันแค่ดึง แต่หลายคนไม่คิดจะดึงเลยนะ จะดันอย่างเดียวเลย จะผลักอย่างเดียวเลย ถ้าฉุกคิดสักหน่อยว่าประตูนี้เขาอาจจะใช้ดึงก็ได้ ไม่ใช่ผลักเอา แต่เป็นเพราะความลืมตัว หรือความมุ่งมั่นจะเอาให้ได้ๆ ฉะนั้นการที่เรามาเจริญสติ มาฝึกความรู้สึกตัว มันถึงเป็นเรื่องสำคัญ มันไม่ใช่เป็นความฟุ่มเฟือย หรือไม่ใช่เป็นส่วนเกินของชีวิต แต่เป็นสิ่งสำคัญเลยทีเดียว เป็นเพราะเราหลง ไม่รู้สึกตัว เราจึงพาชีวิตผิดทิศผิดทาง อาจจะมีความสามารถในการแก้ปัญหา มีความสามารถในการหาเงินหาทอง แต่ก็ลงเอยด้วยความเครียดความทุกข์ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเลย   ถ้าหากเราเฉลียวใจสักหน่อยว่าทำเพื่ออะไร ถ้าเราทำเพื่อความสุข แต่มาลงเอยแบบนี้ มันคุ้มไหม มันถูกทางหรือยัง หรือว่าเราอาจจะฉลาดเหมือนกับกาตัวนั้น แต่มองภาพรวมแล้วมันไม่ฉลาดเลย มันโง่ แต่มันยังหลงเชื่อว่ามันฉลาด สามารถจะเอาน้ำในขวดโหลมากินได้ ทั้งๆ ที่มันไม่ต้องทำอย่างนั้นเลยก็ได้
10/16/202224 minutes, 9 seconds
Episode Artwork

25650923pm--ถึงพร้อมด้วยประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน

23 ก.ย. 65 - ถึงพร้อมด้วยประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน : ถ้าหากเราเข้าใจจุดสาระสำคัญของพุทธศาสนา เราก็สามารถจะปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้อย่างครบถ้วน ในขณะที่อยู่ในโลกก็อยู่อย่างมีคุณค่า ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะความผันผวนปรวนแปรของโลก ก็ยังสามารถที่จะเข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจด้วย และรู้จักทำประโยชน์ เรียกว่ามีทั้งความสงบเย็นและก็เป็นประโยชน์ อยู่ในใจ เหนือเกื้อโลก อาจจะสรุปเหลือแค่ 2 ก็ได้ สงบเย็น และเป็นประโยชน์ สงบเย็นเพราะว่าจิตใจเป็นอิสระจากโลกธรรม 8 เป็นอิสระจากความยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งปวง ก็สงบเย็น เมื่อสงบเย็นแล้ว ก็ไม่ได้พึงพอใจเท่านั้น ก็ยังออกไปทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น แต่ถ้าไม่ค่อยเข้าใจพุทธศาสนาอย่างครบถ้วนแล้ว ก็จะไปจับอยู่แค่บางจุด หรือแค่จุดใดจุดหนึ่ง เช่น เน้นเรื่องความสงบเย็น แต่ลืมเรื่องการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น เป็นต้น เพราะฉะนั้นในการศึกษาพุทธศาสนานี้ ต้องอาศัยการศึกษาที่รอบด้าน ที่สำคัญต้องปฏิบัติด้วย ถ้าเราศึกษาไม่ถี่ถ้วน การปฏิบัติก็จะบกพร่องได้
10/16/202228 minutes, 35 seconds
Episode Artwork

25650922pm--เรียนรู้โดยไม่ต้องพึ่งถ้อยคำ

22 ก.ย. 65 - เรียนรู้โดยไม่ต้องพึ่งถ้อยคำ : ความรู้สึกตัวเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราสามารถที่จะถอดรหัสจากรูปกับนาม รวมทั้งที่อยู่รอบตัว เช่น รูปที่กระทบตา เสียงที่กระทบหู เมื่อก่อนมองไม่ออกว่ามันบอกอะไรเรา แต่พอเรามีความรู้สึกตัวแล้วรู้จักวางความคิดลง มันก็จะเห็น ได้ยินสิ่งที่ธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นรูป นาม หรืออารมณ์ภายนอกนั้นบอกกับเรา ต้องหมั่นฝึกเอาไว้นะ อย่าไปสนใจแต่การเรียนรู้ผ่านถ้อยคำหรือคำพูด มันจะทำให้เราขาดโอกาส เพราะอย่างที่ผู้รู้เขาบอกว่า ข้อมูลนี่มันส่งผ่านภาษาพูดแค่ 7 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือนั้นไม่ได้ผ่านภาษาพูด บางทีเขาก็ใช้สิ่งที่เรียกว่าอวจนภาษา แต่ที่จริงมันมากกว่านั้น
10/16/202226 minutes, 44 seconds
Episode Artwork

25650921pm--ทำเหตุให้ดี ผลย่อมเกิดขึ้น

21 ก.ย. 65 - ทำเหตุให้ดี ผลย่อมเกิดขึ้น : เวลาเราทำอะไรก็ตาม อย่าว่าแต่การภาวนาเลย แม้กระทั่งการทำงาน สิ่งสำคัญคือการสร้างเหตุสร้างปัจจัย หรือเขาเรียกว่าประกอบเหตุให้ถึงพร้อม และถ้าประกอบเหตุให้ถึงพร้อม ผลมันย่อมทนอยู่ไม่ได้ ผลมันย่อมแสดงตัวออกมา เหมือนกับต้นไม้ ถ้าหากว่าได้น้ำ ได้ปุ๋ย เมื่อถึงเวลามันก็ออกดอกออกผล จะรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม หมายถึงคนปลูกนะ ต้นไม้มันก็ออกดอกออกผลในที่สุด มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยากของเรา เพราะฉะนั้นจึงควรประกอบเหตุให้ถึงพร้อม   และในบางกรณี จะเรียกว่าส่วนใหญ่ก็ได้ ต้องวางความอยาก โดยเฉพาะอยากได้ลงเสีย เพราะว่าความอยากได้นี่แหละ ซึ่งก็คือตัณหานี่แหละ มักจะเป็นอุปสรรคขัดขวาง ให้การประกอบเหตุไม่ถึงพร้อม โดยเฉพาะถ้าทำเรื่องที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เช่นเรื่องการบำเพ็ญทางจิต เรื่องการบำเพ็ญทางจิตมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพียงแค่มีตัณหา และเกี่ยวข้องกับตัณหาไม่ถูก ปล่อยให้มันรบกวนจิตใจ มันก็ทำให้การประกอบเหตุที่จะนำไปสู่ผล เกิดขึ้นได้ยาก
10/14/202224 minutes, 10 seconds
Episode Artwork

25650920pm--เปลี่ยนขยะเป็นปุ๋ย

20 ก.ย. 65 - เปลี่ยนขยะเป็นปุ๋ย : ส่วนใหญ่เราไปสนใจแต่ว่า “อะไร” มากกว่า “อย่างไร” ขอให้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับเรา ขอให้สิ่งแย่ๆ อย่าได้เกิดขึ้นกับเรา ถ้าสิ่งแย่ๆ เช่น ทุกข์ เกิดขึ้นกับเราเมื่อไรนี่ ฉันแย่แน่ๆ มันยังไม่ทันแย่หรอกนะ เพราะว่าแม้มันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือว่าเราจะใช้มันอย่างไร อะไร” ไม่สำคัญเท่ากับว่า “อย่างไร” เจออะไร ไม่สำคัญเท่ากับว่าเรารู้สึกกับมันอย่างไร หรือเห็นประโยชน์ของมัน หรือหาประโยชน์จากมันได้อย่างไร อันนี้สำคัญกว่า เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้นกับเรานี่ โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นลบ ความทุกข์ก็ดี อารมณ์อกุศลก็ดี ลองมองดีๆ นะ ถ้าเรารู้จักใช้มัน มันก็เกิดประโยชน์ได้
10/14/202225 minutes, 15 seconds
Episode Artwork

25650919pm--รู้สึกตัว อย่าด่วนสรุป

19 ก.ย. 65 - รู้สึกตัว อย่าด่วนสรุป : อย่าเชื่อเพียงเพราะการอนุมาน อย่าเชื่อเพียงเพราะรูปลักษณะมันน่าจะเป็นไปได้ เพราะว่าบทเรียนจากผู้คนมากมาย มันบอกว่าการสรุปของคน ถ้าด่วนสรุปก็อาจจะผิดได้ ทั้งๆ ที่ดูมีเหตุผล แต่ถึงแม้ว่าเราไม่มีความสามารถในการคิดเผื่อได้ แต่อย่างน้อยถ้ามีสติ มันรู้ทันความคิด มันก็ไม่หลงเชื่อความคิด ก็ดูมัน แล้วก็สุดท้ายความจริง ที่ปรากฏก็อาจจะตรงข้ามกับความคิดที่เกิดขึ้นก็ได้ ฉะนั้นเราต้องรู้จักทักท้วงความคิด อย่าไปหลงเชื่อมัน และสิ่งที่จะช่วยทำให้เราเป็นนาย เป็นอิสระจากความคิดได้ ไม่ตกเป็นทาส คือการที่เราเห็นมัน ไม่เข้าไปเป็น ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราก็จะเป็นนายมัน เราก็จะใช้ความคิด แต่ถ้าไม่เช่นนั้น ความคิดมันก็ใช้เรา ความคิดนี่เป็นบ่าวที่ดี แต่เป็นนายที่เลว ถ้าเราใช้มัน มีประโยชน์นะ แต่ถ้ามันใช้เรานี่ เราแย่เลย พาเราเข้ารกเข้าพงไปได้ง่ายๆ 
10/13/202226 minutes, 20 seconds
Episode Artwork

25650918pm--กระทบกาย แต่ใจไม่กระเทือน

18 ก.ย. 65 - กระทบกาย แต่ใจไม่กระเทือน : แต่ฝนไม่ว่าจะตกหนักแค่ไหน เราทุกคนในที่นี้ก็ไม่มีใครที่เปียกปอน เพราะอะไร ก็เพราะว่ามีหลังคาคอยป้องกัน ฝนตกหนักแค่ไหน จะกระทบหลังคาดังเพียงใด แต่ว่าเราไม่เปียก เราห้ามฝนไม่ให้ตกไม่ได้ เหตุปัจจัย พร้อมฝนก็ตก เราห้ามไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือว่าตกแล้วตัวเราไม่เปียก ก็เหมือนกับชีวิตของเรา จะห้ามไม่ให้มีเหตุร้าย จะห้ามไม่ให้มีอะไรมากระทบกับชีวิตของเรา มันทำไม่ได้ อาจจะทำได้เพียงแค่ช่วยบรรเทาไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง แต่ว่าในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้   มีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเรา กับบ้านของเรา กับรถยนต์ของเรา ข้าวของเครื่องใช้ของเรา แม้กระทั่งกับร่างกายของเรา ตลอดจนคนที่เรารัก อันนี้เป็นสิ่งที่ห้ามได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ไม่ให้มันกระเทือนไปถึงใจ ทำได้นะ พูดง่ายๆ คือว่าแม้จะเสียทรัพย์ แต่ว่าใจไม่เสีย แม้ว่าจะป่วยกาย แต่ว่าใจไม่ป่วย อันนี้ทำได้ แล้วก็เป็นสิ่งที่ควรทำด้วย 
10/13/202222 minutes, 2 seconds
Episode Artwork

25650917pm--รู้ตัวเมื่อใด ใจเบาเมื่อนั้น

17 ก.ย. 65 - รู้ตัวเมื่อใด ใจเบาเมื่อนั้น : จริงอยู่คนเราอาจไม่ได้กำอะไรที่มือ แต่ใจนั้นกำไว้แน่น พอกำไว้แน่น ความทุกข์จึงตามมา ที่จริงเพียงแค่คลายหรือปล่อย เราก็เป็นอิสระจากทุกข์ได้ แต่คนเราส่วนใหญ่เหมือนกับลิง คือ ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมคลาย กำไว้อย่างนั้น ไม่ได้กำที่มือ แต่กำที่ใจ เรียกว่ายึดติด ความทุกข์ของคนเราเมื่อถึงที่สุดแล้วก็เกิดจากความยึดติด เป็นเพราะใจเรากำไว้ไม่ยอมปล่อย ทุกข์กายนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ สารพัด เช่น อากาศร้อน อากาศหนาว เชื้อโรค อาหารเป็นพิษ มลภาวะ หรือภัยธรรมชาติ หรือมีคนมาทำร้าย แต่ถ้าเป็นทุกข์ใจแล้ว สาเหตุมีอยู่ประการเดียว ถ้าสาวไปให้ถึงที่สุด ก็คือความยึดติด 
10/13/202226 minutes, 30 seconds
Episode Artwork

25650916pm--อย่าละเลยงานภายใน

16 ก.ย. 65 - อย่าละเลยงานภายใน : ที่รู้ทันเพราะอะไร เพราะว่ามีความคิดเป็นแบบฝึกหัด เหมือนกับเป็นการบ้าน และยิ่งรู้ทันความคิด มันก็ยิ่งเกิดความรู้สึกตัวตามมา อันนี้คือสิ่งสำคัญที่คนขยันทำงาน ทำงานด้วยความมุ่งมั่นนี่ จะทำใจลำบาก เพราะเขาจะพยายามมุ่งให้ได้ความสำเร็จ ความสำเร็จคือจิตที่สงบ พอมีเพราะหวังผลสัมฤทธิ์แบบนี้ เขาจะพยายามควบคุมทุกตัวแปรเพื่อให้จิตสงบ ซึ่งรวมไปถึงการควบคุมความคิด สุดท้ายจิตก็ยิ่งเครียดยิ่งฟุ้ง ทำไปก็ยิ่งทุกข์   เพราะฉะนั้น ต้องยอมนะ อนุญาตให้ทุกอารมณ์มันเกิดขึ้นได้ แล้วมันก็จะเป็นตัวที่ค่อยๆ ฝึกจิตของเราให้มีสติ มีความรู้สึกตัวมากขึ้น อันนี้เป็นการบ้านอย่างแรกที่เราควรจะฝึกหรือทำให้ได้ แล้วมันก็จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในการปฏิบัติในลำดับต่อๆไป 
10/13/202226 minutes, 54 seconds
Episode Artwork

25650915pm--อุบายคลายหลงในสมมติ

15 ก.ย. 65 - อุบายคลายหลงในสมมติ : เห็นอารมณ์ เห็นความคิด เห็นความโกรธ แต่ไม่เป็นผู้โกรธ ไม่เป็นผู้คิด แต่ก็ต้องตระหนักว่ามันยังมีผู้เห็นอยู่ แล้วผู้เห็นคือเราเห็น ในความเข้าใจ ต่อเมื่อไถ่ถอนความยึดมั่นในตัวตนในเรา จนกระทั่งมันมีแต่การเห็น แต่ไม่มีผู้เห็น ตรงนี้แหละที่จะทำให้เข้าใจเรื่องอนัตตา เข้าถึงอนัตตา แล้วก็สามารถที่จะเข้าถึงปรมัตถสัจจะ โดยที่ไม่ติดสมมติสัจจะได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นอุบาย เป็นขั้นตอนในการที่จะช่วยให้เราไม่หลงติดในสมมติ ไม่ว่าจะเป็นสมมติบัญญัติ หรือสมมติสัจจะได้
9/21/202228 minutes, 40 seconds
Episode Artwork

25650914pm--เข้าถึงความจริง ไม่ติดสมมติ

14 ก.ย. 65 - เข้าถึงความจริง ไม่ติดสมมติ : เวลามันมีความโกรธ มันก็ไม่ใช่เราโกรธ แต่เป็นแค่ความโกรธที่เกิดขึ้นกับใจ ถ้าเราเห็นไปว่ามันมีแต่ความโกรธ แต่ไม่มีผู้โกรธ มันมีแต่ความคิด แต่ไม่มีผู้คิด อันนี้เรียกว่าเริ่มไถ่ถอนออกจากความยึดมั่นในตัวตน เริ่มที่จะถอนออกมาจากสมมติสัจจะ เริ่มที่จะเข้าใกล้ปรมัตถสัจจะ การเจริญสติ ก็เป็นวิธีการที่จะทำให้แยกตัวคนหรือตัวเราออกไป จนเห็นเป็นรูปและนาม อย่างที่เขาเรียกว่าแยกรูปแยกนาม ก็คือแยกคนที่เป็นสมมติออกมาเป็นรูปกับนาม แต่ก่อนนี่เห็นแต่คน เห็นแต่เราๆ แต่พอเราเจริญสติ มันก็ชำแรก หลวงพ่อคำเขียนใช้คำว่าถลุง ถลุงคือแยก คือย่อย จากเดิมที่เป็นเราๆ ก็แยกออกมาเป็นรูปกับนาม แล้วบางทีก็เรียกว่าแยกรูปแยกนาม   ที่จริงรูปกับนามมันแยกกันอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็นเป็นรูปเป็นนาม เราเห็นเป็นคน เป็นเรา แต่พอเราเจริญสติ มันก็เริ่มที่จะเห็นว่ามันไม่มีเรา มันมีแต่รูปกับนาม อันนี้แหละเป็นขั้นต้นของการที่จะเข้าใจเรื่องสมมติสัจจะ เข้าใจคือว่าไม่ยึดติด แต่ว่าใช้มันตามควรตามโอกาส แต่ว่าได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นแค่สมมติ เป็นเรื่องของการยอมรับ เป็นเรื่องของการสมมติขึ้นมาเอง แต่ไม่ใช่ความจริงแท้สูงสุด 
9/21/202227 minutes, 33 seconds
Episode Artwork

25650912pm--ไม่เป็นทุกข์เพราะรู้ทุกข์

12 ก.ย. 65 - ไม่เป็นทุกข์เพราะรู้ทุกข์ : อารมณ์ที่เป็นอกุศลก็เหมือนกัน แม้มันจะแย่อย่างไร เช่น ความโกรธ ความเศร้า ความอิจฉา พยาบาท แต่ถ้าเรารู้ทัน มันก็ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ เหมือนกับกองไฟ ถ้าหากว่าเราอยู่ห่างจากกองไฟมากเท่าไหร่ ความทุกข์เพราะกองไฟมันก็น้อยลง แต่ที่เราทุกข์เพราะอะไร เพราะว่าเราเผลอปล่อยตัวเข้าไปในกองไฟนั้น ปล่อยให้ไฟมันเผา หรือว่าเวลามีความหนักอกหนักใจ ความหนักอกหนักใจไม่ได้สร้างปัญหา แต่ที่เป็นปัญหาเพราะเราไปแบกมันเอาไว้ เหมือนกับหิน ถ้ากองอยู่บนพื้น มันไม่สร้างปัญหาให้กับเรา แต่เป็นเพราะเราไปแบกมันเอาไว้ หนามมันแหลมอย่างไร ถ้าเราไม่เดินไปทิ่มมัน เดินไปเหยียบมัน หรือเอามือไปทิ่มมัน มันก็ไม่เจ็บ ถ่านมันจะร้อนอย่างไร ถ้าเราไม่จับมัน มันก็ไม่ลวกมือ ไม่เผามือ   ศิลปะของการดำเนินชีวิตก็คือว่า เมื่อเจอถ่านร้อนก็ไม่ไปถือ เมื่อเจอหินหนักก็ไม่ไปแบก เมื่อเจอหนามแหลมก็ไม่ไปเหยียบหรือว่าไปยื่นมือให้มันทิ่มเอา ก็คือวางระยะห่างจากมัน ก็คือรู้ทันมัน เช่นเดียวกันความทุกข์ อารมณ์ และความคิดที่เป็นอกุศล มันเกิดขึ้นแต่ว่าพอเรารู้ทัน ก็ไม่เข้าไปแบกเข้าไปยึด ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวด้วย มันเกิดระยะห่างขึ้น   สมัยนี้เราพูดถึงเรื่องระยะห่างทางสังคม social distancing แต่สิ่งที่สำคัญ ไม่ว่าจะมีโควิดหรือไม่ก็คือ การวางระยะห่างทางจิตใจ หรือว่า mental distancing หรือ spiritial distancing คือใจเราห่างจากสิ่งเหล่านั้น ห่างได้เพราะอะไร เพราะเรารู้ทัน   เพราะฉะนั้นทุกข์นี่ไม่ใช่เป็นสิ่งเลวร้าย ถ้าหากว่าเรารู้ทันมัน นั่นแหละคืออานิสงส์หรือประโยชน์ของการรู้ทุกข์ เป็นประโยชน์เบื้องต้นเลยทีเดียว ถ้าเรารู้ทุกข์เป็น เราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นไม่อยากเป็นทุกข์ ก็ต้องรู้ทุกข์ให้เป็น
9/21/202225 minutes
Episode Artwork

25650911pm--การค้นพบตัวเองที่สำคัญ

11 ก.ย. 65 - การค้นพบตัวเองที่สำคัญ : คนเราถ้าไม่รู้ทันความคิด ไม่รู้ทันอารมณ์ มันก็สามารถสร้างทุกข์ให้กับตัวเองได้ และสิ่งที่ต้องการคือความสงบนี่มันก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย การภาวนานี่คนส่วนใหญ่ก็ปรารถนาแต่ความสงบ สงบที่เขาเข้าใจคือไม่คิดอะไร แล้วก็ไปห้ามความคิดหรือไปกดข่มอารมณ์ด้วย มันมีความคิดก็กดมันเอาไว้ มันมีอารมณ์เกิดขึ้นก็กดมันเอาไว้ เพราะคิดว่านี่มันจะทำให้ตัวเองสงบ แต่ที่จริงแล้ว สิ่งที่ดีกว่าก็คือ”การเห็น” เห็นความคิดและอารมณ์ ซึ่งจะเห็น หรือรู้ทันมันได้ ก็ต้องยอมให้มันเกิดขึ้น อนุญาตให้มันเกิดขึ้น ไม่กดข่มมัน ใหม่ๆ ก็ไม่เห็นนะ พอมันเกิดขึ้นทีไร มันก็ครองใจเราทันที เรียกว่า “เข้าไปเป็น”   แต่ต่อไปนี่เราฝึกการเห็นบ่อยๆ ฝึกเห็นบ่อยๆ มันก็จะเห็นได้เร็วขึ้น แล้วมันก็จะเข้าไปเป็นน้อยลง พอเห็นเมื่อไรนะ มันก็จะครองใจเราไม่ได้ และนี่ก็คือการค้นพบที่สำคัญเลย เพราะมันหมายถึงการที่เราสามารถจะเป็นอิสระจากความคิดและอารมณ์ได้
9/21/202223 minutes, 39 seconds
Episode Artwork

25650910pm--วางใจอย่างไรเมื่อเจอทุกข์

10 ก.ย. 65 - วางใจอย่างไรเมื่อเจอทุกข์ : ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากอนิฏฐารมณ์ หรือจากความทุกข์ มันได้กำไร ฉะนั้นท่าทีที่ควรทำเวลาเราเจอทุกข์ มันก็มีแค่ 2 อย่างเท่านั้นแหละนะ อันที่ 1 คือรักษาใจไม่ให้ทุกข์ โดยเฉพาะถ้าเราเป็นคนที่รักตัวเอง เมื่อเจอทุกข์กับทรัพย์สิน กับเงินทอง กับร่างกาย กับงานการ กับความสัมพันธ์ แค่นี้มันก็พอแรงอยู่แล้ว อย่าปล่อยให้ใจทุกข์ไปด้วย ให้ความทุกข์มันถูกจำกัดอยู่แค่ทุกข์กาย หรือว่าทุกข์ในทรัพย์ แต่รักษาใจไม่ให้ทุกข์ และดีกว่านั้นก็คือว่าหาประโยชน์จากทุกข์ให้ได้ หรือประโยชน์ในทางธรรม ก็จะช่วยทำให้ได้กำไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น
9/19/202226 minutes, 33 seconds